Share

บทที่ 14

ดวงตาซ่งหว่านฉิ่งเบิกกว้างราวกับกระดิ่ง

เสิ่นอวี้มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเย็นชา จึงจะเอ่ยปาก “เจ้านับว่ารู้เรื่องสัญญาหมั้นระหว่างเสิ่นจ้านสองตระกูลไม่น้อยเลยนะ”

อย่างที่ซ่งหว่านฉิ่งพูด สัญญาหมั้นของเสิ่นจ้านสองตระกูลเป็นเพียงการตกลงแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ โดยส่งคนออกมาตระกูลละหนึ่งคน ขอแค่ทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลเสิ่นกับตระกูลจ้านก็เพียงพอ

เพียงแต่ต่อมา ตระกูลจ้านมีจ้านอวิ๋นเซียวเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียว เขามีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อยและถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องอย่างรวดเร็ว กลายเป็นขุนพลและท่านอ๋องที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าฉี สัญญาหมั้นนี้ย่อมตกไปเป็นของเขา

ส่วนตระกูลเสิ่น ตอนนั้นมีเพียงเสิ่นซินกับเสิ่นอวี้ลูกสาวสองคน

เสิ่นซินเป็นลูกสาวสายตรงคนโตของท่านโหวเสิ่นกับฮูหยินใหญ่นางกู้ จิตใจบริสุทธิ์บุคลิกสง่างาม เป็นแบบอย่างของเหล่าคุณหนูชนชั้นสูงในเมืองหลวง ส่วนเสิ่นอวี้เป็นลูกอนุภรรยาที่เกิดมาเพราะหลิ่วอี๋เหนียงวางยาท่านโหวเสิ่น และยังอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของหลิ่วอี๋เหนียง พูดจาเย่อหยิ่ง การกระทำหยาบคายไร้มารยาท

แต่จ้านอวิ๋นเซียวกลับเลือกนาง

ทุกคนต่างรู้สึกว่านางก็แค่โชคดี จึงได้รับความสำคัญจากท่านอ๋อง

แต่เวลานั้น ไม่รู้ว่าหลิ่วอี๋เหนียงกับซ่งหว่านฉิ่งเคยรังเกียจจ้านอวิ๋นเซียวต่อหน้านางกี่ครั้งแล้ว และหาโอกาสให้นางได้พบองค์ชายสามกี่ครั้งแล้ว และก็ไม่รู้ว่าองค์ชายสามเคยจัดฉากพบโดยบังเอิญกี่ครั้ง แสดงภาพลักษณ์ของสุภาพชนอันอ่อนโยนต่อหน้านาง

หัวใจทั้งดวงของนาง กระโจนเข้าใส่องค์ชายสามอย่างสุดใจ

ไม่มีใครรู้ว่าจ้านอวิ๋นเซียวเลือกนางเพราะอะไร

ตัวนางเองยิ่งไม่รู้

เพียงแต่ยิ่งเขามายุ่งกับนางมากเท่าไร นางก็ยิ่งรังเกียจเขามากเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นเขามักจะจ้องนางด้วยความรักที่ลึกซึ้ง กระหายที่จะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ นางมักจะรู้สึกขยะแขยง อยากให้เขารีบไปตายเสีย

หลิ่วอี๋เหนียงกับซ่งหว่านฉิ่งถึงขั้นช่วยนางหลบหน้าจ้านอวิ๋นเซียว

หลายครั้งที่เวลาจ้านอวิ๋นเซียวเอ่ยปากอยากถามอะไร ก็ถูกผู้หญิงตรงหน้าคนนี้กับหลิ่วอี๋เหนียงขัดตลอด

ตอนนั้นนางคิดว่าหลิ่วอี๋เหนียงกับซ่งหว่านชิงกำลังช่วยตนไล่แมลงวันจริงๆ ตอนนี้จึงจะพบว่าพวกนางหวังดีเสียที่ไหน? ทั้งหมดเป็นเพียงแผนการเท่านั้น!

ในหัวใจเสิ่นอวี้เย็นไปหมด

นางค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปที่หน้าประตู

ร่างกายซ่งหว่านฉิ่งแข็งทื่อ มองดูนางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตนเองทีละก้าว ถูกความหนาวเหน็บในดวงตานางมองจนขนลุกซู่ สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว “น้องหญิง ข้า…”

“เพี๊ยะ!”

เสิ่นอวี้เอื้อมมือ เหวี่ยงฝ่ามือออกไปอย่างแรง!

ทุกคนในห้องต่างตกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่านางจะลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่ก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

ซ่งหว่านฉิ่งยิ่งเบิกตากว้าง อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าลงมือต่อหน้าองค์หญิงใหญ่

นางกุมใบหน้าที่แสบร้อน กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “น้องหญิงเจ้า…”

พูดไม่ทันจบ เสิ่นอวี้ง้างมือ เหวี่ยงฝ่ามือใส่ใบหน้าอีกข้างหนึ่งของนาง

สองฝ่ามือนี้ตบแรงมาก แก้มซ่งหว่านฉิ่งบวมทันที เลือดเสี้ยวหนึ่งปรากฏตรงมุมปาก ผมเผ้ากระจัดกระจายไปทั่วพื้น มองนางอย่างเหลือเชื่อ ยากที่จะเชื่อว่าเจ้าคนโง่ที่ปล่อยให้นางปั่นหัวและเชื่อฟังนางทุกอย่างก่อนหน้านี้ เหตุใดตอนนี้จึงดุร้ายยากจะรับมือเช่นนี้!

นางหันหลังให้แสง ยืนอยู่ตรงหน้านาง

สายตาที่ฝังอยู่ในเงามืดนั้นนิ่งราวบ่อน้ำเย็น เสียงที่เปล่งออกมายิ่งราวกับคลานออกมาจากนรก ทุ้มต่ำจนน่าตกใจ “ข้อหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วสัญญาหมั้นของตระกูลเสิ่นกับตระกูลจ้านจะเป็นของใคร ไม่ใช่องค์หญิงใหญ่มาเลือกสะใภ้ แต่เป็นท่านอ๋องเลือกชายา!”

“เสิ่นอวี้!”

องค์หญิงใหญ่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกล่วงเกิน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พลันก็ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ!

กำลังจะระเบิด จ้านอวิ๋นเซียวมองนางแวบหนึ่ง

องค์หญิงใหญ่ชะงักฉับพลัน สองมือกำหมัดแน่

ซ่งหว่านฉิ่งได้ยินองค์หญิงใหญ่ตะคอก เดิมทีคิดว่าเสิ่นอวี้ซวยแน่ แต่ปรากฏว่าต่อมาไม่มีอะไรเลย

มีเพียงเสียงทุ้มเย็นของเสิ่นอวี้ เหมือนลูกเห็บกระแทกใส่หัวใจของนางทีละคำ “ข้อสอง คนนอกเรียกเจ้าว่าคุณหนูเสิ่นรอง เจ้าอย่าคิดว่าตนเองก็เป็นลูกสาวของจวนโหวจริงๆ ต่อให้สัญญาหมั้นของตระกูลเสิ่นตกไปเป็นของสุนัข เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์”

ซ่งหว่านฉิ่งรู้สึกอับอายมาก เงยหน้าขึ้นมองนาง มีความอาฆาตปรากฏขึ้นในดวงตาอย่างอดไม่ได้

นางคิดไม่ถึงว่าเสิ่นอวี้จะอยู่ที่นี่

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเสิ่นอวี้จะตบหน้านางต่อหน้าผู้คน และยังพูดจาไร้ความปรานีเช่นนี้

เมื่อก่อนนางไม่เป็นเช่นนี้

นางโง่คนนี้กลิ้นลงมาจากเขาเยี่ยนหนาน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้แล้ว?

เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจซ่งหว่านฉิ่ง ความกลัวเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นในใจอย่างไม่สามารถควบคุม ความคับข้องใจในดวงตายิ่งลึกซึ้ง

เสิ่นอวี้เห็นทุกอย่าง แต่ไม่ใส่ใจแล้ว

“ข้อสาม”

เสิ่นอวี้เอ่ยปาก กลิ่นอายบนตัวสุขุมเยือกเย็นยิ่งกว่าฝนยามราตรีข้างนอก “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเสิ่นไม่มีคุณหนูรองอย่างเจ้า! แม่นางซ่งควรไปที่ไหนก็ไปที่นั่น หากกล้าคิดไม่ซื่ออีก รำมาถึงตรงหน้าข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

ร่างซ่งหว่างฉิ่งสั่นสะท้าน อดไม่ได้ที่จะกล่าวแก้ตัวเสียงเบา “ข้าจะไปที่ไหน ก็ไม่ถึงคราวที่น้องหญิงจะมา…” พลางคิดในใจ ขอแค่หลิ่วอี๋เหนียงร้องไห้โวยวายต่อหน้าเสิ่นจิ้น…

พูดไม่ทันจบ มีเสียงตะคอกที่เย็นชาดังมาจากในห้อง!

“หุบปาก!”

ซ่งหว่านฉิ่งตกใจจนขวัญกระเจิง พอเงยหน้าขึ้นจึงจะพบว่าเสิ่นจิ้งเดินออกมาจากข้างใน มองนางด้วยความโกรธและกล่าว “จวนโหวเลี้ยงเจ้า แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเช่นนี้! ข้าเวทนาเจ้าสูญเสียพ่อแม่ไร้ที่พึ่ง เจ้ากลับหน้าเนื้อใจเสือ พยายามแทงอวี้เอ๋อร์ของข้าจากข้างหลัง แย่งสัญญาณหมั้นของนาง?!”

ซ่งหว่านฉิ่งถูกเขาตะคอกจนตัวสั่น หวนคือสติจึงจะรู้สึกกลัวอย่างแท้จริง รีบแสร้งทำตัวน่าสงสาร

“ท่านลุงเขย ท่านฟังข้าอธิบาย มันไม่ใช่เช่นนี้ จวนโหวเลี้ยงข้ามาตั้งหลายปี ข้าจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร…ข้าแค่…อีกอย่างพ่อแม่ข้าก็ตายหมดแล้ว หากท่านลุงเขยไม่รับข้าไว้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปที่ไหน หลังกลับถึงบ้าน ข้าจะอธิบายกับท่านให้ชัดเจนแน่นอน ฮือๆๆ…”

จากนั้นก็ขดตัวเป็นก้อนเริ่มหลั่งน้ำตา

ครั้งแรกที่เสิ่นอวี้เห็นท่าทางนางร้องไห้คร่ำครวญไร้ที่พึ่งเช่นนี้ ก็เกิดความรู้สึกสงสารจริงๆ จึงวิ่งไปขอร้องฮูหยินใหญ่

แต่ตอนนี้ในใจกับเหลือเพียงเสียงหัวเราะที่เย็นชา “ตระกูลเสิ่นเลี้ยงเจ้านั่นคือไมตรีจิต ไล่เจ้าออกไปนั่นคือสิ่งที่พึงกระทำ โลกใบนี้มีคนที่น่าเวทนามากมาย เลี้ยงคนอย่างเจ้าเหตุใดไม่เลี้ยงสุนัขจรจัดแทน?  สุนัขยังรู้จักกระดิกหางเลย!”

เสียงสะอื้นของซ่งหว่านฉิ่งหยุดกะทันหัน เงยหน้ามองนางอย่างตะลึงงัน

นางไม่เข้าใจ เหตุใดคนโง่ที่นางพูดอะไรก็เชื่อ คืนนี้จึงกลายเป็นบีบคั้นคนเช่นนี้ คำพูดคำจาก็มีจุดยืนชัดเจนเช่นนี้

นางอดไม่ได้ที่จะหดคอ มองข้างในแวบหนึ่ง กลับเห็นจ้านอวิ๋นเซียวกำลังมองเสิ่นอวี้อย่างออกรส และนิ้วมืออดไม่ได้ที่จะลูบจมูกอย่างครุ่นคิด

ความรักในดวงตานั้นเก็บซ่อนไม่มิด

เพียงแต่เมื่อเห็นนางกลับควบแน่นกลายเป็นน้ำแข็งหมื่นปีอย่างรวดเร็ว และความเกลียดชังไร้ที่สิ้นสุด

ซ่งหว่านฉิ่งเจ็บจี๊ดตรงหัวใจ ก้มหน้าลงฉับพลัน เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ยากจะควบคุม

พลันความคิดก็เปลี่ยนไปเกลียดเสิ่นอวี้จนหมั่นเขี้ยว

เสิ่นอวี้หัวเราะอย่างเย็นชา

จ้านอวี้เซียวขึ้นชื่อด้านการปฏิเสธผู้หญิงเป็นที่หนึ่ง เมื่อชาติที่แล้วผู้คนต่างด่าว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกตัวร้ายเอาแต่ใจและโง่เขลา เห็นได้ชัดว่าไม่อยู่ในขอบเขตคำว่า ‘ผู้หญิง’ เลย

ก็คนเช่นนี้แหละ ไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งองค์หญิงแคว้นอื่นที่หลงใหลเขา นับประสาอะไรกับซ่งหว่านฉิ่ง

เสียงหัวเราะเย็นชานี้ไม่มีการปิดบัง

ซ่งหว่านฉิ่งรู้สึกอับอายมาก ส่วนองค์หญิงใหญ่เลิกคิ้ว

หวนคือสติอดไม่ได้ที่จะแอบด่าซ่งหว่านฉิ่งไร้ประโยชน์ และสงสัยว่าเหตุใดเสิ่นอวี้จึงกลายเป็นคนนิสัยโหดเหี้ยมเด็ดขาดกะทันหัน แต่ดูงิ้วมาถึงขั้นนี้ ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว จึงพูดขัดพวกนาง “พอแล้ว ปัญหาของจวนโหว พวกเจ้ากลับไปจัดการเอาเอง!”

เสิ่นอวี้หันไปมองนาง รอยยิ้มเย็นชาแล่นผ่านแววตาแล้วหายไป นางกล่าว “พี่หญิงที่แสนดีของข้าอุตส่าห์ส่งยาช่วยชีวิตมาให้ องค์หญิงใหญ่ยาก็ไม่เอาแล้วหรือเจ้าคะ?”

งิ้วเรื่องนี้ แรกเริ่มนางก็คาดหวังเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

เหตุใดจึงไม่ดูแล้ว

สีหน้าองค์หญิงใหญ่ครึ้มลงทันที สองมือกำหมัดแน่นกะทันหัน

ขณะกำลังจะระเบิด เสียงที่ทุ่มต่ำและเฉยเมยของจ้านอวิ๋นเซียวดังมาจากข้างเตียง “ก็แค่ตัวตลกโลดเต้น ข้าไม่ต้องการยาของนาง ให้นางไสหัวไป!”

หัวใจซ่งหว่านฉิ่งราวกับถูกมีดกรีด คุกเข่าหน้าประตูอย่างเหม่อลอย

คนคนนี้นอกจากอ่อนโยนต่อเสิ่นอวี้ ก็ไม่เคยเห็นเขายิ้มแย้มให้ใคร แม้แต่ในแวดวงของเมืองหลวง ทุกคนก็พูดลับหลังว่าปากของอ๋องหมิงหยางกับคุณหนูเสิ่นสามนั้นใกล้เคียงกัน

คุณหนูเสิ่นสามคนนั้น ย่อมเป็นเสิ่นอวี้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่รังเกียจและพูดจาไม่ดีกับเขา

ซ่งหว่านฉิ่งก้มหน้าลง ข่มไฟริษยาในใจ ร่างกายสั่นเทา

เสิ่นอวี้หันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวแวบหนึ่ง

ก็ไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนหรือไม่ รู้สึกว่าในสายตาของเขาที่มองตนเอง มีความรู้สึกสนใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง เสิ่นอวี้อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง

โชคดีที่เดิมทีนางก็ไข้ขึ้นสูง จึงดูไม่ออก

สายตากะพริบ นางมองไปทางเสิ่นจิ้น “ท่านพ่อ ในเมื่อท่านอ๋องฟื้นแล้ว เสวียโส่วก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้ให้ท่านอ๋องพักผ่อนก่อน พวกเรากลับไปค่อยคิดหาวิธี…”

จ้านอวิ๋นเซียวที่อยู่ข้างหลังหวนคืนสติ สายตาตกที่ไหล่ของนาง “บาดแผลของเจ้า…”

เสิ่นอวี้หันหน้าไปเห็นความกังวลที่ควบแน่นอยู่ในดวงตาเขา กล่าวเสียงแหบ “ไม่เป็นไร กลับไปทายาก็สิ้นเรื่อง…บาดแผลก็ไม่ได้ลึกมาก”

อยากพูดคำห่วงใยอีกสองสามคำ รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่กับซ่งหว่านฉิ่งอยู่ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก

ได้แต่กล่าวกับเสิ่นจิ้น “ท่านพ่อ พวกเรากลับกันเถอะ”

“กระหม่อมทูลลา…”

คนทั้งกลุ่มจากไป ไม่มีใครสนใจซ่งหว่านฉิ่ง

ซ่งหว่านฉิ่งรีบลุกขึ้นเดินตามราวกับสุนัขไร้เจ้าของจนกระทั่งเข้าจวนโหว เมื่อถึงชายคาบ้านก็ไล่ตามเสิ่นอวี้ “น้องหญิงเจ้าฟังข้าอธิบาย…”

“อธิบายอะไร?”

เสิ่นอวี้หันไปมองนางที่ยืนอยู่ใต้ชายคา “อธิบายว่าคืนนี้ที่เจ้ามา ไม่ใช่เพื่อส่งยาให้ท่านอ๋องและไม่ได้มาเพื่อเป็นภรรยา แต่มาเพื่อหาข่าวให้ข้าใช่หรือไม่?”

“เอ่อ…ใช่…”

ซ่งหว่านฉิ่งรีบพยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่นางจะพูดพอดี แต่ตอนนี้ถูกเสิ่นอวี้พูดออกมา ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง

กำลังคิดหาวิธีคลายความสงสัยของเสิ่นอวี้ สาวใช้สามคนของฮูหยินใหญ่ได้เดินเข้ามาแล้ว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แย่มาก “คุณหนูซ่ง ฮูหยินใหญ่เชิญ”

ไม่ทันสิ้นเสียง สองคนหิ้วปีกซ่งหว่านฉิ่งก็ไปเลย อีกคนกล่าวกับเสิ่นอวี้ “คุณหนูสาม ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ ฮูหยินใหญ่บอกว่าคืนนี้ดึกมากแล้ว นางมีเรื่องต้องจัดการเล็กน้อย พรุ่งนี้ท่านตื่นแล้วค่อยมาดูท่าน”

“น้องหญิง เจ้าต้องความเมตตาแทนข้าต่อหน้าฮูหยินใหญ่นะ ไม่เช่นนั้นฮูหยินใหญ่ตีข้าตายแน่ ข้าไปจวนอ๋องเพื่อหาข่าวให้เจ้าจริงๆ…”

ซ่งหว่านฉิ่งตกใจมาก จ้องเสิ่นอวี้ราวกับเป็นเส้นฟางช่วยชีวิต เอื้อมมือออกไปพยายามคว้าเสื้อนาง

เสิ่นอวี้หัวเราะอย่างเย็นชา หลบได้อย่างพลิ้วไหว หมุนกายเดินเข้าเรือน

ขอความเมตตาแทนนางหรือ?

ไม่สู้ช่วยสุนัขตะโกนถูกปรักปรํา! 

Bab terkait

Bab terbaru

DMCA.com Protection Status