Share

บทที่ 6

เสิ่นอวี้กุมบาดแผลที่ไหล่ จ้องประตูใหญ่โดยไม่ร้องสักนิด

เลือดย้อมเสื้อผ้าเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว นางกัดฟันอดกลั้นเอาไว้

เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิดอย่างทรมาน

จนครบหนึ่งเค่อ ข้างในก็ไม่มีคนออกมา ประตูใหญ่ที่หนาและหนักถูกล็อกจากด้านใน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

เสิ่นจิ้นมองดูลูกสาวของตนเอง อารมณ์ที่ผิดหวังในตอนแรกค่อยๆ กลายเป็นความเจ็บปวดที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่านางจะฟื้น ก็ต้องมารับเคราะห์เช่นนี้อีก ชั่วขณะอดไม่ได้ที่จะกล่าว “เจ้ากลับไปเถอะ ข้ากับผู้เฒ่าท่านนี้รอที่นี่เอง เจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน…แค๊กๆๆ…”

ขณะพูดเขาก็ไออย่างหนัก ราวกับไอจนปอดจะหลุดออกมาแล้ว

เสิ่นอวี้หันไปมองทางเขา ความรู้สึกผิดในใจกระเพื่อมเหมือนกระแสน้ำ ริมฝีปากขยับ แต่กลับพูดไม่ออก

แม้นางสร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้ ท่านพ่อก็ไม่โกรธเกลียดนาง และยังเป็นห่วงสุขภาพของนาง แม้นางจะเป็นลูกอนุภรรยาที่ได้เกิดมาเพราะหลิ่วอี๋เหนียงวางยาเขา เขาก็ไม่เคยรังเกียจนางแม้แต่น้อย

สุภาพชนที่ดีเช่นนี้ สุดท้ายกลับถูกนางทำร้าย…

เสิ่นอวี้น้ำตาคลอเบ้า มีคำพูดมากมายติดอยู่ในลำคอ ไม่สามารถพูดออกมา

เสวียโส่วที่อยู่ด้านข้างมองเสิ่นจิ้นแล้วมองนาง เขากล่าว “จวนอ๋องใช่ว่าจะยอมให้เจ้าเข้าไป แล้วเหตุใดเจ้าต้องมารับเคราะห์เช่นนี้?”

เสิ่นอวี้หวนคืนสติส่ายศีรษะ “เรื่องเกิดขึ้นเพราะข้า ข้าก็ควรจะรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ได้เจอเขา ข้าจะไม่กลับเจ้าค่ะ”

“แต่ฝนยิ่งอยู่ยิ่งตกหนักแล้ว…”

เสียงในหูของเสวียโส่วค่อนข้างเลือนราง ในหัวของนาง ปรากฏภาพจ้านอวิ๋นเซียวลากขาทั้งสองข้างที่อาบไปด้วยเลือด คลานอย่างตะเกียกตะกายสิบลี้มาหานาง เพื่อบอกให้นางรีบออกจากเมืองหลวง หากยังไม่ไปก็จะไม่ทันแล้ว

วันนั้นมีพายุหิมะตก หิมะบนพื้นสะสมลึกครึ่งฉื่อ[footnoteRef:1] [1: 1 ฉื่อ ประมาณ 3.33 เดซิเมตร]

ในสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นนั้น นางยังขวางเขาไว้หน้าประตูใหญ่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจึงจะออกมา ให้เขาไสหัวไปด้วยความรังเกียจ…

ตอนนั้น…

เสิ่นอวี้ทั้งเสียใจและเจ็บปวด น้ำตาไหลเงียบๆ ท่ามกลางพายุฝน

ทันใดนั้น มีเสียงดังมาจากหน้าประตู

ชายท่าทางสุภาพเรียบร้อย อายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งเดินออกมา ผิวของเขาขาวเปล่งปลั่ง หน้าตาสะอาดสะอ้าน แววตาสุกใส แต่ตรงเบ้าตากลับมีรอยฟกช้ำขนาดใหญ่

อาจเป็นเพราะไม่ได้หลับนอนหลายวัน ท่าทางของเขาแลดูซีดเซียวมาก ร่างกายที่เดิมทีก็บอบบางอยู่แล้วยิ่งแลดูผอมแห้ง ราวกับสามารถถูกลมพัดปลิว

เขาก็คือเสิ่นลั่วพี่ชายรองของนาง

เสิ่นลั่วคือลูกชายคนรองของฮูหยินใหญ่กับบิดานาง นิสัยอ่อนโยน ละเอียดอ่อน และมีความอดทนสูงมาก เรียนวิชาแพทย์กับย่วนเจิ้งสำนักแพทย์หลวงตั้งแต่เด็ก เข้าสำนักแพทย์หลวงปีที่อายุสิบเจ็ด

ตอนนี้อ๋องหมิงหยางบาดเจ็บสาหัสหมดสติ ตามหลักเขาควรอยู่ที่นี่

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าแผลบนใบหน้าเขาน่าจะโดนป๋ายชีตีเพราะรับเคราะห์แทนนาง

เสิ่นอวี้มองดูเขา ความเสียใจในใจก็ยิ่งทวีความเข้มข้น

เสิ่นลั่วเป็นอาจารย์ด้านทักษะการแพทย์คนแรกของนาง และยิ่งปฏิบัติต่อนางที่เป็นน้องสาวคนนี้อย่างอ่อนโยน ทุกครั้งที่กลับจากสำนักแพทย์หลวง เขาจะนำขนมหวานที่มีเฉพาะในวังมาฝากนางเสมอ แม้แต่ตนเองก็ไม่ยอมกิน

กลับบ้านเมื่อมีเวลาว่าง ก็จะสอนนางให้รู้จักยาสมุนไพร ประเมินชีพจร ตรวจลิ้น

ตราบใดที่นางร้องขอ เขาไม่เคยปฏิเสธ

แต่คนดีๆ คนหนึ่งเช่นนี้ ชาติที่แล้วถูกนางทำร้ายจนกระดูกสันหลังหัก อายุยังน้อยกลับได้แต่นอนอยู่บนเตียง ต้องพึ่งขันทีหลายคนหามไปหามมา หลายปีหลัง หมดความอดทนจนมองบนใส่

แม้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถหนีพ้นการวางแผนขององค์ชายสาม

เจ็ดปีต่อมาในช่วงฤดูหนาว องค์ชายสามเอายาที่นางปรุงไปวางยาพิษฮ่องเต้ ทว่ากลับโยนความผิดไปให้เขา!

สุดท้าย เสิ่นลั่ว พี่ชายใหญ่ และท่านพ่อถูกลงทัณฑ์เลาะกระดูกจนตาย

มีดถูกเฉือนบนร่างกายเขาสามพันกว่าครั้ง คนที่บอบบางอย่างเขาจะรับไหวได้อย่างไร?

เสิ่นอวี้มองดูเขาสั่นไปทั้งร่าง เอ่ยปาก “พี่ชายรอง” คำเดียวหัวใจแทบแตกสลาย

เสิ่นลั่วมองไปทางนาง ถอนหายใจทีหนึ่ง

“ป๋ายชีบอกว่าเจ้ามา ข้ายังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยอยู่เลย” พูดพลางรีบถอดผ้ากันฝนบนร่างกายให้นาง “กลับไปเถอะ ที่นี่ปล่อยให้ข้ากับท่านพ่อจัดการเอง”

แม้ถูกทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ แต่ในสายตาของเขา นางยังคงเป็นน้องสาวที่ต้องการคนปกป้อง

แต่ครั้งนี้ เสิ่นอวี้หนีไม่ได้

นางส่ายศีรษะ “อ๋องหมิงหยางบาดเจ็บสาหัส ข้าเป็นต้นเหตุ จะไปหลบข้างหลังท่านพ่อกับพี่ชายรองได้อย่างไร จะปล่อยให้ไฟโทสะของจวนอ๋องหมิงหยางมาลงที่ตัวพวกท่านได้อย่างไร? ข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ”

แล้วถาม “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างแล้วเจ้าคะ?”

เสิ่นลั่วตะลึงงันเล็กน้อย นี่ไม่เหมือนเสิ่นอวี้คนก่อน ก่อนหน้านี้นางเคยสนใจอ๋องหมิงหยางตั้งแต่เมื่อไร?

แต่เมื่อเห็นเสิ่นจิ้นมองดูตนตาปริบๆ จึงรีบกล่าวเข้าประเด็นหลัก “หมอหลวงท่านอื่นกำลังตรวจดูอาการ แต่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้อ๋องหมิงหยางฟื้น ก็ไม่สามารถรักษาขาไว้แน่นอน วรยุทธ์ก็น่าจะสลายไปอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นได้แค่คนพิการ”

เสิ่นจิ้นได้ยินแล้วถึงกับร่างกายโซเซ

อ๋องหมิงหยางจ้านอวิ๋นเซียว เป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของจวนอ๋องหมิงหยาง!

หากกลายเป็นคนพิการ ใครจะสืบทอดจวนอ๋องหมิงหยาง?  แล้วกองทัพสามแสนนายในมือควรไปอยู่ที่ใด?

เช่นนั้นไม่เท่ากับจวนอ๋องหมิงหยางจะถึงคราวตกต่ำแล้วหรือ?

ถึงเวลา ด้วยไฟโทสะของจวนอ๋องหมิงหยางจะไม่บดขยี้จวนโหวหรือ?

นี่เป็นเรื่องที่เสิ่นอวี้รู้นานแล้ว แต่ตอนนี้ได้ยินเขาพูด ก็ยังรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

ชาติที่แล้วนางโง่เขลาและเห็นแก่ตัวเพียงใด จึงวิ่งเข้าหาองค์ชายสามเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรัก ทำให้จวนโหวตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้?

สีหน้าเสิ่นอวี้ซีดขาว

เสิ่นลั่วมองดูนางถอนหายใจพลางกล่าว “ท่านอ๋องเฒ่ากระอักเลือดเพราะเหตุนี้ องค์หญิงใหญ่บอกว่าจะบดกระดูกเจ้านำไปโปรยทิ้ง…”

พูดพลางมองเสวียโส่ว “ด้วยการแต่งตัวของผู้เฒ่าท่านนี้ องค์หญิงใหญ่ไม่มีทางให้เขาเข้าไปแน่นอน เจ้ารออยู่ที่นี่ มีแต่จะทำให้ตัวเองอับอาย…”

แม้พูดกับเสิ่นอวี้

แต่มีหรือที่เสิ่นอวี้จะไม่รู้?

แต่นางไม่มีทางให้ถอยแล้ว ได้แต่กัดฟันกล่าว “ต่อให้นางเกลียดข้าเพียงใด รอหลังจากหมอหลวงไปหมดแล้ว แม้มีความหวังเพียงริบหรี่ ก็ต้องให้เสวียโส่วเข้าไปลองดู!”

“พี่ชายรอง ท่านเข้าไปแจ้งอีกทีเถอะ หากไม่ได้แก้พิษบนตัวท่านอ๋องภายในสิบวัน ต่อไปพิษจะแทรกซึมเข้ากระดูกและเส้นเลือด ก็จะไม่สามารถแก้ได้อีกแล้ว!”

เสิ่นอวี้ร้อนรนอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะคว้าแขนเสื้อเสิ่นลั่ว อ้อนวอนขอร้องเขา

เสิ่นลั่วมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง “เจ้ารู้ว่าเขาถูกพิษอะไร?”

แม้แต่หมอหลวงก็ดูไม่ออก

สีหน้าเสิ่นอวี้แข็งทื่อ กล่าวว่า “ไม่รู้ แต่…อยากลองเข้าไปดู!”

พิษที่จ้านอวิ๋นเซียวถูกคือพิษกู่[footnoteRef:2] [2: กู่ เป็นพิษซึ่งได้มาจากสัตว์พิษตามความเชื่อทางภาคใต้ของประเทศจีนโดยเฉพาะแถบหนานเยฺว่ ทำขึ้นโดยนำสัตว์พิษชนิดต่าง ๆ ใส่ลงในภาชนะ แล้วปิดผนึก ปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นบริโภคกันเอง ตัวสุดท้ายที่รอดมาเพียงหนึ่งเดียวเชื่อว่า มีพิษร้ายแรงที่สุด]

ชาติที่แล้วนางก็เพิ่งได้ยินจากปากของหยวนเฉินหลังจากผ่านไปหลายปี ยิ่งกว่านั้นไม่มีใครในต้าฉีสามารถใช้กู่ มันเป็นวิธีการของคนนอกรีตกลุ่มหนึ่งในฉู่ใต้จิ่วหลี หากพูดออกไปจริงๆ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

เสิ่นอวี้ย่อมไม่กล้าพูด

เห็นเพียงมองเสวียโส่วแวบหนึ่งแล้วกล่าว “หากเสวียโส่วตรวจดูแล้วยังไม่ดีขึ้น ข้ายินดีชีวิตแลกชีวิต!”

เสิ่นลั่วมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่านางฟื้นขึ้นมาครั้งนี้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

แต่สถานการณ์เร่งด่วน เขาไม่มีเวลามาคิดมาก ได้แต่ถอนหายใจหนึ่งที “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้…”

แต่ตระกูลเสิ่นก็ต้องปรองดองความสัมพันธ์กับจวนอ๋องอย่างเร่งด่วนจริงๆ ก็หวังว่าจ้านอวิ๋นเซียวจะสามารถดีขึ้นเร็วๆ อย่างไรก็ตามทั้งสองครอบครัวคบหากันมาหลายชั่วอายุคน ความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ดีแค่ทั่วไป แต่เป็นเพราะหลังจากเสิ่นอวี้จะยกเลิกการแต่งงาน จึงเกิดความบาดหมาง…

พอคิดเช่นนี้ก็กล่าว “ข้าจะลองเข้าไปดูอีกที”

การรอคอยที่ยาวนานอีกครั้ง

เสิ่นอวี้รู้ว่าพี่ชายรองเข้าไปครั้งนี้ ต้องถูกองค์หญิงใหญ่หาเรื่องไม่น้อยแน่นอน

องค์หญิงใหญ่ท่านนั้นคือมารดาผู้ให้กำเนิดของอ๋องหมิงหยาง ขณะเดียวกันก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรับมือยาก ชื่อเสียงที่ภาคภูมิใจของจวนอ๋อง โดยพื้นฐานแล้วมีความดีความชอบของนางเก้าส่วน

ในฐานะที่เป็นองค์หญิงใหญ่ของราชวงศ์ปัจจุบัน แม้กับสามีและลูกชายแท้ๆ ก็ชักสีหน้าใส่ไม่มากก็น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนตระกูลเสิ่นแล้ว

เสิ่นอวี้เป็นห่วงพี่ชายรอง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น

กำลังเดินวนอย่างร้อนรน ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นร่างเงาที่คุ้นเคยสายหนึ่งตรงมุมถนน วิ่งเข้าประตูข้างจวนอ๋องไปอย่างเร่งรีบแล้ว

ในม่านฝนอันแผ่วเบา แม้คนผู้นั้นคลุมผ้ากันฝนสีดำตัวใหญ่ และยังสวมหมวก แต่มองจากแผ่นหลังก็มองออกได้อย่างง่ายดายว่านางคือซ่งหว่านฉิ่งลูกพี่ลูกน้องที่แสนดีของนางคนนั้น!

Bab terkait

Bab terbaru

DMCA.com Protection Status