Share

บทที่ 9

เสิ่นอวี้มองนางแวบหนึ่ง พลันคุกเข่านอกประตูใหญ่เรือนฉือเฟิงโดยไม่ขัดขืน

องค์หญิงใหญ่ยังไม่หนำใจ นางชี้เสิ่นจิ้นกับเสิ่นลั่วที่เดินออกจากเรือน “พวกเจ้าก็เช่นกัน!”

เสิ่นจิ้นทุกข์ระทมเกินคำบรรยาย แต่ก็ต้องคุกเข่าลง

เสิ่นลั่วเดินออกมาคุกเข่าข้างกายเสิ่นอวี้โดยไม่พูดอะไร

องค์หญิงใหญ่จ้องทั้งสามคนตรงหน้า อย่างไรก็ไม่สามารถระงับความอัดอั้นตันใจที่อก มีความรู้สึกอยากฆ่าคนเห็นเลือดจึงจะหนำใจ สุดท้ายเป็นอวี้จู๋ที่กล่าวปลอบเกลี้ยกล่อม “องค์หญิงใหญ่ ท่านอ๋องเฒ่าก็ล้มป่วยแล้ว หากท่านล้มอีกคน ท่านอ๋องก็ไม่ฟื้น…จวนอ๋องจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”

“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หากท่านนอนไม่หลับ ก็เข้าไปงีบครู่หนึ่งก็ยังดี…ข้างนอกลมแรง ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ”

องค์หญิงใหญ่สั่นไปทั้งร่าง เขม็งตระกูลเสิ่นสามคนบนพื้นแวบหนึ่ง แล้วกล่าวกับองครักษ์ลับโดยรอบ “จับตาดูไว้ให้ดี ไม่ว่าใครก็ห้ามลุกขึ้น!”

เสิ่นจิ้นได้ยินแล้วรีบออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางกล่าวอ้อนวอน “องค์หญิงใหญ่ ท่านลงโทษข้ากับลั่วเอ๋อร์ไม่มีปัญหา แต่อวี้เอ๋อร์เดิมทีก็บาดเจ็บอยู่แล้ว และหมดสติหลายวันเพิ่งฟื้น บวกกับเมื่อครู่ก็ถูกกระบี่ของป๋ายชีแทง เลือดไหลออกจากบาดแผลตลอด…คุกเข่าเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะคุกเข่าถึงชีวิต”

“ท่านเมตตาสักครั้ง ให้นางไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

องค์หญิงใหญ่ไม่สะทกสะท้าน พลันกล่าวอย่างเย็นชา “ลูกชายของข้าก็ยังไม่ฟื้น นางมีสิทธิ์อะไรไปพักผ่อน?”

เสิ่นลั่วได้ยินแล้วคิ้วขมวด กล่าวว่า “ข้าคุกเข่าแทนนางเอง! องค์หญิงใหญ่ต้องการให้นางคุกเข่านานแค่ไหน ข้าจะคุกเข่าแทนนางนานเท่านั้น!”

สีหน้าองค์หญิงสามแปรปรวนเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด

เสิ่นอวี้ปวดใจจนขาดสติ เห็นนางจะบันดาลโทสะอีกครั้ง จึงกล่าว “ทำเองก็รับผิดชอบเองเจ้าค่ะ ข้ายินดีคุกเข่าจนตาย…องค์หญิงใหญ่เชิญกลับเถอะ”

“เช่นนั้นเจ้าก็คุกเข่าจนตาย!”

องค์หญิงใหญ่กัดฟัน มองนางอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง

อวี้จู๋ได้ยินแล้วรู้สึกกังวลเล็กน้อยจึงกล่าวเตือนสติ “องค์หญิงใหญ่ อย่างไรนางก็เป็นคนในใจของท่านอ๋อง ท่านให้นางคุกเข่าเช่นนี้ หากท่านอ๋องฟื้นมาเห็นภาพนี้ เกรงว่าจะเกิดรอยร้าวกับท่านอีกแล้ว…”

องค์หญิงใหญ่ได้ยินแล้วกำหมัด ใบหน้าที่เงียบขรึมอยู่แล้วเริ่มตึง พลันกล่าวด้วยความโกรธ “รอยร้าวระหว่างเขากับข้ายังน้อยอีกหรือ!”

อวี้จู๋ไม่กล้าพูดมาก ก้มหน้าประคองนางไว้

องค์หญิงใหญ่โมโหจนหน้าอกกระพืออย่างแรง หมุนกายจับแขนอวี้จู๋เดินเข้าเรือน ร่างกายสั่นเล็กน้อย แต่แผ่นหลังกลับยืดตรง

เสิ่นอวี้เงยหน้ามองดูแผ่นหลังของนาง

ในยามราตรี เสื้อคลุมสีดำปัดลายหงส์บนกายนางแลดูมืดครึ้ม เผยความรู้สึกกดขี่ทำให้หายใจไม่ออก ราวกับราชวงศ์หยวนที่ทับอยู่บนศีรษะของนาง

คำพูดประโยคนั้นของเสวียโส่วปรากฏขึ้นในศีรษะ “ข้าต้องการให้ราชวงศ์หยวนไหม้เป็นจุณ!”

องค์หญิงใหญ่หยวนเหอเป็นมารดาของจ้านอวิ๋นเซียว

วันข้างหน้า นางกับนางจะอยู่ด้วยกันอย่างไร?

ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ควบคู่เกิดพายุและฝนกระหน่ำเทลงมา ร่างกายที่บอบบางของเสิ่นอวี้โอนเอนไม่นิ่งท่ามกลางสายฝน ความเจ็บปวดที่หนาวร้อนสวนทางอยากจะทนไหว

เสิ่นลั่วเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะนาง ตกใจจนอุทาน “หน้าผากร้อนเช่นนี้ เจ้ายังจะมาผสมโรงอะไรอีก!”

พูดพลาง รีบหยิบยาหนึ่งเม็ดออกจากอกป้อนให้นางกิน

เสิ่นอวี้กินยาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา

ในยามราตรี ดวงตาของเสิ่นลั่วเต็มไปด้วยความกังวล เบ้าตาแดงก่ำ

“พี่ชายรอง”

นางเอ่ยปาก เสียงแหบแห้ง กลั้นร้องไห้กล่าว “พี่ชายรอง ข้าดวงแข็ง จะต้องดีขึ้นแน่นอน เสวียโส่วเข้าไปแล้ว อ๋องหมิงหยางน่าจะฟื้นในไม่ช้า…”

“เจ้านี่มัน!”

เสิ่นลั่วมองดูท่าทางของนาง ไม่บ่นพร่ำอะไรมากอีก เขากลัวว่านางจะล้มหมดสติ จึงยืมไหล่ให้นาง “เจ้าพิงพี่ชายรองครู่หนึ่ง…พูดไปพูดมา เจ้าไปหาผู้เฒ่าท่านนั้นมาจากที่ไหน?”

“รู้จักตอนเก็บสมุนไพรที่เขาเยี่ยนหนาน”

เสิ่นอวี้ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สิ่งที่พูดก็เป็นความจริง “ทักษะการแพทย์ของเขายอดเยี่ยม เพียงแต่ปกติจะไม่ลงมือ”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพักผ่อนสักครู่!”

เสิ่นลั่วทนดูไม่ได้ เอื้อมมือออกไปโอบไหล่ของนาง ให้นางพิงได้มั่นคงขึ้นเล็กน้อย

เสิ่นอวี้ขดอยู่ในอ้อมแขนของเขา น้ำตาคลอเบ้าอย่างไม่สามารถอดกลั้น

กระดูกสันหลังของคนข้างหลังยืดตรงมาก ยังสามารถช่วยนางบังฝนกันลม ไม่เหมือนชาติที่แล้ว ถูกคนไม่รู้คุณคนอย่างนางทำร้ายอย่างน่าสังเวชเช่นนั้น…เกิดอาการคันในลำคอกะทันหัน

พลันนางก็เริ่มไออย่างหนัก “แค๊กๆๆๆ แค๊กๆๆ…”

อย่างไรก็หยุดไม่ได้

เสิ่นลั่วเอื้อมมือออกไปตบหลังนาง แต่ไม่มีประโยชน์ ชั่วขณะขมวดคิ้วแน่น “คราวนี้ดีแล้ว ติดอยู่ที่นี่เจ้าอยากพักผ่อนกินยาก็ทำไม่ได้”

“พี่ชายรอง ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”

เสิ่นอวี้ปลอบใจเขา แต่ในความเป็นจริงกลับรู้สึกว่าตนเองใกล้จะไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกแน่นหน้าอกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เวลานี้เอง ป๋ายชีเดินออกมาจากในเรือน พลางโยนร่มมาหนึ่งคัน กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าท่านอ๋อง ก็คงปล่อยให้เจ้าตายเสียงดีกว่า”

เสิ่นอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น กำลังจะเอื้อมมือรับร่มกล่าวขอบคุณ ปรากฏว่าเมื่ออ้าปาก มีกลิ่นคาวหวานถูกส่งมาจากลำคอ พลันกระอักเลือดออกมากะทันหัน!

ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยสีเลือด อาการวิงเวียนศีรษะของเสิ่นอวี้รุนแรงขึ้น มองป๋ายชีอีกครั้ง กลายเป็นเงาสีดำฟ้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าใบหน้าอยู่ตรงที่ใด

เสิ่นลั่วตกใจจนหน้าถอดสี รีบกล่าว “ป๋ายชี เจ้าน่าจะรู้ว่าท่านอ๋องห่วงใยอวี้เอ๋อร์กระมัง? เจ้าจะมองดูนางตายต่อหน้าต่อตาหรือ?”

ป๋ายชีสำลัก คิดจะสบถสองสามคำ

แต่ดูท่าทางของเสิ่นอวี้ แล้วนึกถึงท่านอ๋องของตนเฝ้าคำนึงถึงนางอยู่ตลอดเวลา ได้แต่เดินกลับเข้าเรือนไปหาองค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“องค์หญิงใหญ่ คุณหนูเสิ่นสามกระอักเลือดกะทันหัน ดูเหมือนใกล้จะไม่ไหวแล้ว หรือไม่เรียกเข้ามาในเรือน ให้หมอหลวงดูอาการหน่อยเถอะขอรับ?”

ป๋ายชีก้มศีรษะ ไม่กล้าสบตานาง

องค์หญิงใหญ่ไม่ชอบท่านอ๋อง กระทั่งองครักษ์คนนี้ของเขาก็ไม่ชอบเช่นกัน พูดไม่เข้าหูก็ลงโทษเป็นเรื่องปกติ หากไม่ใช่เพราะเขาโตมาพร้อมกับท่านอ๋อง นึกถึงท่านอ๋องห่วงใยคุณหนูเสิ่นสามมากที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางมารับเคาะห์เช่นนี้แน่นอน

องค์หญิงใหญ่ตั้งใจจะหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ความอัดอั้นทั้งหมดถูกระบายออกมา นางกล่าวอย่างดุร้าย “นางสมควรตาย! ชีวิตของเซียวเอ๋อร์ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถชดใช้ได้!”

“หากไม่ใช่เพราะนาง เซียวเอ๋อร์เป็นถึงอ๋องที่ถืออำนาจทางทหารในมือ และยังเป็นเทพสงครามในสนามรบที่อาชาเหล็กซีฉินได้ยินแล้วต้องอกสั่นขวัญผวา จะเดินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร!”

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนางมารหญิงคนนี้!”

ไฟโทสะขององค์หญิงใหญ่ไม่มีที่ระบาย กำผ้าห่มบนร่างกายไว้แน่น กัดฟันกล่าว “หากไม่ใช่เพราะนาง เซียวเอ๋อร์ก็คงไม่เกลียดข้าที่เป็นแม่ถึงเช่นนี้!”

ตอนที่เซียวเอ๋อร์เกิดมา นางไม่ชอบเซียวเอ๋อร์คือเรื่องจริง

แต่อย่างไรก็หลุดออกมาจากท้องของตนเอง มองดูเขาค่อยๆ เติบใหญ่ทีละนิด บางครั้งก็ก่อเกิดเป็นความรักของมารดาเสี้ยวหนึ่ง เมื่อมีคนชมเขาว่ากล้าหาญและมีกลยุทธ์ ทำสงครามไร้พ่าย นางก็แสดงสีหน้าที่ภาคภูมิใจออกมาเช่นกัน

ปัจจุบันนางเองก็แยกไม่ออกแล้วว่าระหว่างตนเองกับลูกชายคนนี้ ตกลงสายสัมพันธ์นั้นเป็นเช่นไร

รู้แค่ว่าเกลียดเสิ่นอวี้มาก

ป๋ายชีไม่รู้ว่าจะพูดกล่อมนางอย่างไร

เวลานี้เอง อวี้จู๋เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ กล่าวด้วยสีหน้าปลื้มปีติ “องค์หญิงใหญ่เจ้าคะ ท่านอ๋องฟื้นแล้ว!”

“เซียวเอ๋อร์ฟื้นแล้ว?” ไฟโทสะในอกขององค์หญิงใหญ่มอดดับลงในทันใด นางรีบลงมาสวมรองเท้า

อวี้จู๋มองนาง สีหน้าลำบากใจเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “เพียงแต่เมื่อท่านอ๋องลืมตา ก็ถามถึงคุณหนูเสิ่นสาม…”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status