Share

บทที่ 7

”เจ้ารู้จัก?”

เสวียโส่วสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จึงกล่าวถาม

เสิ่นอวี้หวนคืนสติ นางส่ายศีรษะ “ไม่รู้จัก แค่สงสัย…”

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย

แต่ก็อดนึกถึงเรื่องราวหลายอย่างไม่ได้

ชาติที่แล้วนางรังเกียจจ้านอวิ๋นเซียว แต่จ้านอวิ๋นเซียวกลับหมกมุ่นเซ้าซี้นางไม่เลิก และยังตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองในช่วงหลายปีที่เขาออกรบ ทำให้นางโกรธมาก ไม่อยากพบเขาอีก

ด้วยเหตุนี้ เวลาที่องค์ชายสามต้องการเปิดเผยข่าวให้จ้านอวิ๋นเซียว หรือเรื่องอื่นที่ต้องพูดให้ได้ ซ่งหว่านฉิ่งก็จะอาสาช่วยถ่ายทอดคำพูดของนางกับจ้านอวิ๋นเซียวอย่างกระตือรือร้น

เวลานั้น นางรู้สึกว่าซ่งหว่านฉิ่งดีกับตนเองมาก

ไม่ต่างอะไรกับพี่สาวสายเลือดเดียวกัน

แม้เวลาต่อมาเมื่อรู้ว่านางมาส่งยาให้จ้านอวิ๋นเซียวในคืนนี้ นางก็ยังเชื่อคำแก้ตัวของนาง

บอกว่าส่งยาเป็นแค่ข้ออ้าง มาช่วยนางหาข่าวคือเรื่องจริง

ตอนนั้นนางได้ยินจวนอ๋องหมิงหยางบอกว่าจะทำให้ตระกูลเสิ่นไม่สามารถอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยจริงๆ ซ่งหว่านฉิ่งแสร้งปลอบใจนาง นางยังรู้สึกอุ่นใจขึ้นด้วย

จนกระทั่งก่อนตาย การที่ทั้งเตะทั้งตี และความอิจฉาที่ไม่สามารถปกปิดในแววตาของซ่งหว่านฉิ่งจึงจะทำให้นางเข้าใจ ซ่งหว่านฉิ่งชอบจ้านอวิ๋นเซียวตั้งแต่แรก และอยากเข้าใกล้เขามาโดยตลอด

แต่น่าเสียดาย…

เหอ!

เสิ่นอวี้ดึงสายตากลับ มีความเยือกเย็นผุดขึ้นในแววตา

เวลานั้นเอง มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากข้างหน้า จากนั้นก็มีชายสวมชุดสีฟ้า หน้าตาหล่อเหลาและกอดกระบี่ไว้ที่อ้อมแขนเดินออกมา

“ป๋ายชี ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ให้พวกเราเข้าไปได้หรือไม่?”

เสิ่นจิ้นเห็นสถานการณ์ รีบเดินโซซัดโซเซเข้าไปกล่าวถาม

เป็นถึงท่านโหวควบตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการ แม้ไม่ได้สูงศักดิ์เท่าจวนอ๋อง แต่ก็เป็นลูกชายของขุนศึกผู้สถาปนาแคว้น เวลานี้กลับต้องเกรงอกเกรงใจองครักษ์คนหนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณเสิ่นอวี้

สีหน้าป๋ายชีก็โกรธมากเช่นกัน มิตรภาพในอดีตไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย เหลือไว้เพียงความเกลียดชังที่เก็บซ่อนไว้เงียบๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านโหวเป็นถึงเจ้ากรมพิธีการ แต่กลับเลี้ยงลูกสาวออกมาเป็นคนไร้ยางอาย ทำให้ท่านอ๋องของเรากลายเป็นเช่นนี้แล้ว ยังกล้ามาก่อความวุ่นวายหน้าประตูอีก ช่างให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ!”

“ทำเองก็รับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวข้องกับท่านพ่อ!”

เสิ่นอวี้ก้าวออกมาข้างหน้า ยื่นขวางอยู่หน้าเสิ่นจิ้น เงยหน้าขึ้นมองป๋ายชี เสียงแหบและสั่น “ข้าเป็นคนทำผิดต่อเจ้ากับท่านอ๋องของเจ้า จะฆ่าจะแกง น้อมรับทุกอย่าง!”

ป๋ายชีตะลึงงัน มองไปทางเสิ่นอวี้

เขาจ้องนางตั้งแต่หัวจรดเท้าพักใหญ่ ราวกับกำลังยืนยันว่าผู้หญิงที่ท่าทางสะบักสะบอมแต่กลับเด็ดเดี่ยว และมีความรู้สึกผิดในแววตาตรงหน้าคนนี้ ใช่เสิ่นอวี้คนก่อนหรือไม่

เมื่อครู่เขาพูดไม่เพราะคือเรื่องจริง

แต่หลายปีมานี้ มีครั้งใดบ้างที่ไม่ใช่เสิ่นอวี้เป็นฝ่ายพูดจาไม่ดีกับท่านอ๋องของตนก่อน? รังเกียจพวกเขานายบ่าวสองคนเหมือนรังเกียจแมลงวัน

เสิ่นอวี้คนก่อน เหยาะแหยะและน่ารังเกียจจริงๆ

แต่เวลานี้…

สายตาของป๋ายชีเริ่มซับซ้อน จ้องนางอยู่พักใหญ่จึงจะกล่าวถาม “เจ็ดวันก่อนที่เขาเยี่ยนหนาน ท่านส่งข่าวให้ท่านอ๋องของเราไปหา มีอะไรอยากจะพูด?”

“...”

เสิ่นอวี้สำลัก

ไม่รอให้นางได้พูด ป๋ายชีก็หัวเราะอย่างเย็นชา “หรือว่าที่นัดเขาออกไป เดิมทีท่านก็ได้ตกลงกับใครบางคนไว้แล้ว”

ขุนพลหนุ่มจ้านอวิ๋นเซียว ชายผู้สยบทั่วใต้หล้า

องครักษ์ประจำตัวเขาย่อมไม่โง่เขลาเช่นกัน

กลอุบายของนาง พวกเขามองปราดเดียวก็รู้

น่าสงสารนางเมื่อชาติที่แล้วยังรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นไร้ข้อบกพร่อง มองข้ามไปเลยว่าชายผู้นั้นอดกลั้นและยอมนางมาโดยตลอด

แต่เพราะเหตุใด?

อะไรทำให้เขาคิดว่าต้องเป็นนางเท่านั้น?

ชาติที่แล้วซ่งหว่านฉิ่งบอกว่าจ้านอวิ๋นฉิ่งตามเกาะตนเองไม่เลิก ก็เพราะยอมเสียหน้าไม่ได้ ไม่อยากถูกลูกอนุภรรยาจวนโหวคนหนึ่งถอนการแต่งงาน เมื่อไรที่เขาสามารถกู้หน้าคืน จะต้องทิ้งนางและบดกระดูกนำไปโปรยทิ้งแน่นอน

ดังนั้น นางห้ามแต่งงานกับเขาเด็ดขาด

แต่หลังจากผ่านหายนะความเป็นความตาย ทำให้นางได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ด้วยนิสัยและสถานะของจ้านอวิ๋นเซียว จะไม่กู้หน้าคืนด้วยวิธีการเช่นนั้นแน่นอน เพียงฆ่านางให้ตายก็สิ้นเรื่อง

ตอนนี้ นางมองดูป๋ายชี คำถามนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เวลาเดียวกันก็มีความรู้สึกติดค้างคนตรงหน้ากระเพื่อมขึ้น

ชาติที่แล้วนางรนหาที่ตายอย่างเดียว ล่วงเกินคนมากมาย

จ้านอวิ๋นเซียววางใจนางไม่ลง จึงให้ป๋ายชีไปแอบปกป้อง

องค์ชายสามกลัวป๋ายชีล่วงรู้แผนการของพวกเขา จึงจัดมือสังหาร ให้นางล่อป๋ายชีไปในตรอกเล็กๆ ที่เปลี่ยว แล้วใช้ความไว้วางใจที่เขามีต่อนางกำจัดเขา

ป๋ายชีไม่รู้อะไรเลย

ตอนที่มือสังหารกระโจนเข้าหานาง ป๋ายชีคิดว่านางถูกลอบสังหารจริงๆ จึงจำเป็นต้องออกมาปกป้องนาง

ตอนที่ป๋ายชีหันหลังให้นาง และช่วยนางรับการโจมตีของมือสังหารไว้ นางนำมีดสั้นออกมา แทงเข้าที่หัวใจของป๋ายชีจากด้านหลังอย่างแรง

มองดูป๋ายชีล้มลงพื้นอย่างเจ็บปวด ทั้งร่างของนางกำลังสั่นเทา ความหวาดกลัวและทำใจไม่ได้กระเพื่อมขึ้นในใจ องค์ชายสามกลับกอดนางจากด้านหลังและกล่าวว่า “หากไม่ทำเช่นนี้ ปล่อยให้จ้านอวิ๋นเซียวพบศพของเขา ก็จะรู้ทันทีรู้เจ้าฆ่าเขา และต่อไปก็จะไม่เชื่อใจเจ้าอีกแล้ว อวี๋เอ๋อร์ เพื่ออนาคตของพวกเรา จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อสตินางหวนคืน องค์ชายสามได้จับมือของนางไว้แล้ว พลางเปิดขวดที่ใส่น้ำสลายศพไว้ เทลงบนร่างกายป๋ายชี!

จนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่สามารถลืมสายตาที่ป๋ายชีใช้มองนาง

ตะลึงงัน กล่าวโทษ ไม่อยากเชื่อ ราวกับจะทะลวงจิตวิญญาณของนางให้ทะลุ

เจอกันอีกครั้งในเวลานี้ เสิ่นอวี้รู้สึกเพียงไม่กล้าสบตาเขา

นางกระแอมในลำคอ กล่าวเสียงสั่น “วันนั้นข้ามีเรื่องที่สำคัญมากต้องการคุยกับท่านอ๋องของพวกเจ้าจริงๆ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับเขา ไว้ข้าบอกเขาเองดีกว่า”

คิ้วป๋ายชีขมวดเล็กน้อย

เสิ่นอวี้ในคืนนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ เวลานางพูดไม่ได้ใช้อารมณ์และหลบเลี่ยงเช่นนั้นเหมือนเมื่อก่อน แต่พยายามมองเขา ในแววตามีความรู้สึกติดค้างที่ไร้สิ้นสุดแฝงอยู่ กลับยังคงไม่หลบไม่เลี่ยง ราวกับความหยิ่งผยองเช่นนี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

ในดวงตาคู่นั้น ยังซ่อนความสุขุมและเยือกเย็นที่เห็นได้เฉพาะบนใบหน้าท่านอ๋องของตนเสี้ยวหนึ่ง ทำให้เขาอยากยอมจำนน

ชั่วขณะเขาไม่รู้ว่าควรเชื่อนางดีหรือไม่

เสิ่นอวี้ไม่ว่างมาเสียเวลากับเขา ข่มความรู้สึกผิดที่กระเพื่อมในใจ กล่าวอย่างเด็ดขาดโดยตรง “เรื่องราวมาถึงขั้นที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่คนที่ข้าเชิญมาเป็นหมอเทวดาปลีกวิเวก เก่งกว่าพวกหมอหลวงที่อยู่ข้างในเป็นพันเท่า”

“เจ้ามาตั้งคำถามกับข้าที่นี่ ไม่สู้ปล่อยให้พวกเราเข้าไปก่อน รอท่านอ๋องของเจ้าฟื้นแล้วค่อยว่ากัน”

“หากเขาทำไม่ได้ล่ะ?” ป๋ายชีหวนคืนสติ ขมวดคิ้วมองไปทางเสวียโส่ว

เขาย่อมหวังว่าท่านอ๋องสามารถฟื้นโดยเร็ว

แต่ผู้หญิงตรงหน้าที่พูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจจนเคยตัว กับขอทานที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งเชื่อได้จริงหรือ?

ป๋ายชีไม่แน่ใจ

เสิ่นอวี้กล่าว “หากไร้ประโยชน์ เจ้าปล่อยท่านลุงคนนี้ไป ส่วนข้า พวกเจ้าจะฆ่าจะแกงก็น้อมรับ!”

“พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว!”

ป๋ายชีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชา ทว่ากลับรู้สึกเคืองตาเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องของตนปกป้องเสิ่นอวี้เจ้าคนไม่รู้จักคุณคนเช่นนั้น ในสายตาของเจ้าคนไม่รู้จักคุณคนกลับมีแต่องค์ชายสาม ทำเอาทุกคนรู้เรื่องนี้หมด

หากไม่ใช่เพราะคนเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า และใบหน้านั้นก็สวยงามไม่เหมือนใคร ป๋ายชีคงสงสัยว่าตนเองจำคนผิดแล้ว

ป๋ายชีหวนคืนสติ มองไปทางนาง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้ท่านเข้าไป เพียงแต่คนที่ท่านพามา ข้าไม่คิดว่าเขาทำได้…”

ฟิ้ว!

พูดไม่ทันจบ แสงสีเงินสองสายแลบผ่าน

ครู่ต่อมา เขาถูกตรึงอยู่กับที่ไม่สามารถขยับตัว มีเพียงหูและเปลือกตาสั่นอย่างบ้าคลั่ง ไม่สามารถหยุดได้เลย!

ป๋ายชีหน้าถอดสี รีบกล่าว “รีบปลดออกเดี๋ยวนี้ รีบปลดออกเดี๋ยวนี้! ข้าจะให้พวกท่านเข้าไป แต่นิสัยขององค์หญิงใหญ่เป็นอย่างไรพวกท่านคงรู้นะ? สามารถแบกรับไฟโทสะของนางได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับพวกท่าน!”

ไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เป็นเพราะเขามองเห็นความหวังจากฝีมือฝังเข็มของคนคนนี้!

แต่ยังคงกล่าวข่มขู่ “หากท่านอ๋องไม่ฟื้น พวกเจ้าก็อยู่จวนอ๋องรอถูกฝังไปพร้อมกับเขาเถอะ!”

เสวียโส่วมองเขาอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เก็บเข็มเงินเดินเข้าไปในประตูใหญ่

เสิ่นอวี้และเสิ่นจิ้นรีบเดินตาม

ป๋ายชีมองดูแผ่นหลังของเสิ่นอวี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้เพื่ออะไร และยิ่งไม่เข้าใจว่าจวนอ๋องตามหาหมอดังไปทั่ว แต่เหตุใดจึงไม่เจอตาเฒ่าคนนี้?

บนถนนเล็กๆ ในเรือน เสิ่นจิ้นกำชับแล้วกำชับอีก “องค์หญิงใหญ่เป็นคนของราชวงศ์ และยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้ นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจไปบ้างเป็นเรื่องปกติ คบหาเข้าถึงยาก…อีกเดี๋ยว เจ้าหลบข้างหลังพ่อกับพี่ชายรองของเจ้า อย่าพูดอะไรทั้งสิ้น”

ระหว่างพูด มีคนสองคนเดินออกมาจากประตูเรือนเล็กข้างหน้า

คนหนึ่งเป็นสาวใช้ที่ถือร่ม

อีกคนเป็นองค์หญิงใหญ่ในชุดวังหลวง สง่ามีราศีเหนือคนทั่วไป ทว่าสีหน้ากลับบูดบึ้ง

Bab terkait

Bab terbaru

DMCA.com Protection Status