[22]
ลูกไม่มีพ่อ
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน
อรุณฉายเปิดดูเงินจำนวนหนึ่งในกระเป๋า มันเพิ่มขึ้นมามากโขเพียงข้ามวัน มือเรียวแตะตรงลำคอโล่งๆ ของตัวเอง ใจหายเมื่อสร้อยคอที่มารดาเคยให้ เหลือไว้เพียงตั๋วรับจำนำแผ่นบาง
“แม่คะ...หนูจะไถ่คืนมาแน่ๆ แม่อย่าโกรธหนูนะ” บอกมารดาที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าแล้วหยิบมือถือขึ้นมา หลายข้อความที่เธอส่งไป มารดาอ่านแต่ไม่เคยตอบกลับสักที มารดาที่รักคงยังโกรธอยู่ ไม่เป็นไรหรอก เธอทนได้
วันนี้เธอไม่ได้เข้าสวน เพราะร่างกายไม่ไหว มันเพลียเกินจะกล่าว เธอมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับย่าด้วย ถือโอกาสไปคุยวันนี้เลยก็แล้วกัน
ว่าที่คุณแม่เดินลัดเลาะสวนกล้วยมาจนถึงเรือนไม้ของย่า บ้านช่องห้องหับยังเงียบเชียบอยู่เช่นเดิม เธอรวบรวมความกล้า ก้าวขาขึ้นบันไดไปหาย่าอีกครา หลายเดือนแล้วกระมังที่ไม่ได้เจอท่าน ได้แต่หวังว่าท่านจะสบายดี
ย่าพร้อมยังนั่งเอนหลังอยู่ที่เดิม จานของว่างยังวางอยู่ใกล้ๆ ดวงตาของหญิงชราได้เพ่งมองคนที่กำลังเดินขึ้นเรือนมา วูบหนึ่งหัวใจคนแก่ได้วูบไหว ยามเ
“แฮ่กๆ แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัดเลย! อุ๊บ!”แล้วเสียงอาเจียนก็ดังขึ้นอีกครา เขารอจนอาการหล่อนทุเลา หาน้ำให้ล้างปากล้างหน้า หาน้ำยาบ้วนปากหอมๆ ให้หล่อนได้อมบ้วนปากสักนิด แต่แม่คุณก็ควานหาแปรงสีฟันไปถูฟันแรงๆ เขาอยากจะห้ามละนะ แต่หล่อนบอกว่าถ้ายังได้กลิ่นอาเจียนของตัวเองคงได้กลับมาคุยกับชักโครกอีกรอบแน่“ฉัน...หมดแรง...”อารดาครางเสียงอ่อย ทิ้งกายลงนั่งบนเตียงด้วยความช่วยเหลือของสามี เขายังวุ่นวายอยู่กับหน้าของเธอ ทั้งหาผ้ามาช่วยเช็ดหยดน้ำ ทั้งดึงปอยผมไปทัดหูให้ มืออุ่นๆ ของเขายามสัมผัสผิวแก้มกันช่างดีเหลือเกิน“พักเถอะ พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอกัน คุณอุ่นต้องไม่เป็นไรนะ แค่อาเจียนเดี๋ยวก็หาย”ศรัณพร่ำพูด ยิ่งเห็นหล่อนอาเจียนอย่างนี้ยิ่งใจคอไม่ดี เขากลัว...กลัวว่าโรคภัยจะมาพรากหล่อนไปอีกคนอารดาเห็นท่าทีของคนตรงหน้าแล้วเข้าใจในทันที แม้ปากจะบอกเธอว่าไม่เป็นไร แต่ดวงตานั้นส่อแววกังวลจนปิดไม่มิด“ไม่ต้องไปหาหมอหรอกน่า ก็แค่เวียนหัวอาเจียน พักนี้เป็นบ่อย ฉันชินแล้ว”“แต่ผมไม่ชินนี่ ผมกลัว...อ
[23]กอดด้วยรัก_________ศรัณกลับลงมาที่ชั้นล่าง เขานั่งนิ่งๆ เพื่อพักร่างกายที่กำลังเรรวน พี่พุดซ้อนเปิดประตูเข้ามาหลังจากนั้น มาจัดแจงเอาผ้านวมออกจากตู้ให้“ทำไมไม่นอนห้องเดียวกันคะ พี่เหนื่อยใจกับพวกคุณจริงๆ คิดถึงกันออกปานนั้นจะมามัวทิฐิทำไม”“ผมเปล่าทิฐิ ก็แค่...คุณอุ่นเหมือนอยากอยู่คนเดียว”“ค่ะ ทราบค่ะ เธอลงมาบอกให้พี่จัดห้องให้คุณแท้ๆ แต่รู้อะไรไหมคะ ผู้หญิงน่ะ ปากไม่ตรงกับใครหรอกค่า”ศรัณยิ้มเฝื่อนๆ ให้พี่เลี้ยงของอารดา ก่อนที่กลิ่นบางอย่างจะลอยมาเตะจมูก “พี่...เพิ่งออกมาจากครัวเหรอ”“ค่ะ ทำไมคะ หรือพี่ตัวเหม็น” พุดซ้อนรีบยกแขนเสื้อขึ้นดม กลิ่นที่ติดเสื้อทำเอาเจ้าตัวต้องนิ่วหน้า “ขอโทษทีค่ะ พี่ทำกระเทียมเจียวไว้ให้คุณๆ เขาใส่โจ๊กน่ะ” เอ่ยขออภัยแล้วขยับห่างสามีของนายสาว เจ้าตัวทำหน้าแปลกๆ“ผมเป็นอะไรไม่รู้ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว จมูกมันแปลกๆ ชอบกล ได้กลิ่นอะไรก็ดู...แปลกประหลาดไปหมด หรือผมจ
เขาอยากถามหาอารดา แต่บิดาหล่อนเหมือนมีเรื่องจะพูดด้วย ท่านพาเขาเข้ามาในห้องรับแขกที่โซฟาส่วนใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาว เหลือเท่าที่เขานั่งอยู่นี้ที่ยังไม่ถูกคลุมให้เรียบร้อย “นี่มัน...อะไรกันครับ”“ฉันต่างหากที่ต้องถาม ทะเลาะกันเหรอ ยัยอุ่นไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย โทรมาคราวก่อนก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ให้ฉันขายบ้านนี้”“ขายบ้าน...หรือครับ?”“อือ...เหมือนลูกสาวฉันอยากจะเอาเงินไปใช้หนี้สามีละมั้ง”“โอ...เปล่านะครับ! ผมเปล่า ผมไม่ได้อยากได้เงินคืน”โอภาสนึกระอา เรื่องของหนุ่มสาวช่างเข้าใจยากนัก“ฉันติดต่อเรื่องขายบ้านแล้ว กั้นรั้วแยกโฉนดของป้ายัยอุ่นออกไป จะได้ขายแต่บ้านนี้”“ถ้าจะขายจริงๆ ผมจะซื้อเอง อย่าขายเลยนะครับ คุณอุ่นคงทำไปโดยไม่ทันคิด ผมจะคุยกับเธอเอง นะครับคุณพ่อ”โอภาสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา“แต่ไหนแต่ไรมาฉันไม่ค่อยได้เปิดใจพูดคุยกับลูกนัก นั่นทำให้ฉันพลาดหลายๆ อย่างไปในชีวิต และมาถึงตอนนี้ ฉันขอพูดไว้เลย ไม่ว่าลูกสาว
ย่าพร้อมตัดบทด้วยไม่อยากเจรจากับหลานสาว กลัวว่าจะอดใจไม่ไหว ยื่นมือเข้าช่วยหลาน แล้วหลังจากนั้น ชื่อของผู้ชายคนนั้นคงได้กลายเป็นความลับตลอดกาล เขาเป็นพ่อนี่ พ่อก็ควรต้องรับผิดชอบบ้างไม่ใช่หรืออรุณฉายลุกจากไปเมื่ออาการดีขึ้น ความตั้งใจของเธอไม่สำฤทธิ์ผล เรื่องมันช่างน่าเศร้า แต่เอาเถิด เธอมีเวลาอีกสักพักใหญ่กว่าจะคลอดนี่นา เอาไว้จะลองมากล่อมย่าอีกทีวันหลังก็แล้วกัน“แม่คนดื้อ เมื่อไหร่จะยอมละทิ้งทิฐิบ้างนะ”ย่าพร้อมยังมิวายบ่นหลาน พอหลานสาวลงเรือนไป สองหนุ่มก็เผลอพ่นลมหายใจออกมา คงจะอึดอัดกระมัง“เธอใจแข็งมาก ไม่ยอมบอกจริงๆ ว่าใครเป็นพ่อของลูก หรือว่า...เธอจะไม่รู้จริงๆ ครับย่า”“ตารัณ! อย่าพูดแบบนั้นนะ ย่าโกรธจริงๆ”“ขอโทษครับ ผมแค่สงสัย เธอยอมไปลำบาก ทำงานหาเงิน แต่ไม่ยอมพูดชื่อผู้ชายคนนั้น”“รักเขาน่ะสิ โดนปฏิเสธมาก็คงไม่อยากให้เราไปวอแวกับทางโน้น เลยไม่ยอมบอก”“ใช่ว่าย่าจะลุกไปเอาเรื่องเขานี่ครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของหนุ่มสาว”“ได้ยังไง
[22]ลูกไม่มีพ่อช่วงบ่ายวันเดียวกันอรุณฉายเปิดดูเงินจำนวนหนึ่งในกระเป๋า มันเพิ่มขึ้นมามากโขเพียงข้ามวัน มือเรียวแตะตรงลำคอโล่งๆ ของตัวเอง ใจหายเมื่อสร้อยคอที่มารดาเคยให้ เหลือไว้เพียงตั๋วรับจำนำแผ่นบาง“แม่คะ...หนูจะไถ่คืนมาแน่ๆ แม่อย่าโกรธหนูนะ” บอกมารดาที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าแล้วหยิบมือถือขึ้นมา หลายข้อความที่เธอส่งไป มารดาอ่านแต่ไม่เคยตอบกลับสักที มารดาที่รักคงยังโกรธอยู่ ไม่เป็นไรหรอก เธอทนได้วันนี้เธอไม่ได้เข้าสวน เพราะร่างกายไม่ไหว มันเพลียเกินจะกล่าว เธอมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับย่าด้วย ถือโอกาสไปคุยวันนี้เลยก็แล้วกันว่าที่คุณแม่เดินลัดเลาะสวนกล้วยมาจนถึงเรือนไม้ของย่า บ้านช่องห้องหับยังเงียบเชียบอยู่เช่นเดิม เธอรวบรวมความกล้า ก้าวขาขึ้นบันไดไปหาย่าอีกครา หลายเดือนแล้วกระมังที่ไม่ได้เจอท่าน ได้แต่หวังว่าท่านจะสบายดีย่าพร้อมยังนั่งเอนหลังอยู่ที่เดิม จานของว่างยังวางอยู่ใกล้ๆ ดวงตาของหญิงชราได้เพ่งมองคนที่กำลังเดินขึ้นเรือนมา วูบหนึ่งหัวใจคนแก่ได้วูบไหว ยามเ
ธัตธรสลัดแขนรสิกาออกอีกรอบหนึ่ง เขาเบื่อเต็มทีแล้ว ทำงานเหนื่อยๆ ก็ต้องมีปลดปล่อยกันบ้าง เขาแค่ใช้เงินซื้อความสุขตามประสาผู้ชาย เมื่อก่อนยังทำได้ แล้วทำไมตอนนี้จะทำไม่ได้ มันน่ารำคาญที่รสิกาเอาแต่จ้องจับผิดและโวยวาย ถ้าเปลี่ยนจากหล่อนเป็นอารดาดูบ้าง จะเป็นอย่างไรนะแล้วหางตาก็แลเห็นใครบางคนที่อีกฝั่งของกำแพง อารดายืนอยู่ตรงนั้นกับบิดาของหล่อน เขาไม่กล้าสบตาหล่อนด้วยซ้ำ ทั้งรู้สึกผิดประหลาดที่ทำให้หล่อนผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ตายสิ ใจเขายังลืมอารดาไม่ได้จริงๆ“พี่จะไปอาบน้ำ แล้วเราค่อยมาคุยกัน” บอกภรรยาแล้วรีบสาวเท้าก้าวเข้าบ้านรสิกายืนกำหมัดแน่นอยู่ตรงนั้น ทั้งเสียใจ ผิดหวังและแค้นเคือง มันคือทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันในเวลานี้“เอาแต่บ่นแวดๆ ใส่ผัว เดี๋ยวอีกหน่อยเขาก็เลิกกับแก”“แม่!? แม่ช่วยให้กำลังใจหน่อยได้ไหม เขานอกใจหนูนะ จะให้หนูอยู่เฉยๆ ได้ยังไง”“จับให้ได้คาหนังคาเขาสิ แล้วเลิกกันซะ พวกแกแค่จัดงานแต่งงาน ไม่ได้จดทะเบียนเสียหน่อย ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไรเลย ฉันรำคาญพวกแกเต็มทีแล้ว ฉันเหนื่อยใจจริงๆ&