ตอนที่ 18
บัณฑิตจากฮานหลินได้ชื่อว่าเป็น “นักวิชาการฮั่นหลินผู้น่าสงสาร” แหล่งรายได้หลักของพวกเขา คือ เงินเดือน ซึ่งก็มีจำนวนน้อยนิด หลายคนจึงต้องทำงานเสริมด้วยการเขียนหนังสือ เขียนโคลงกลอนหรือวาดภาพ และถ้าทำงานดีได้ตามพระราชประสงค์ พวกเขาจึงจะได้รับการเลื่อนขั้นและรางวัลจากพระจักรพรรดิ
เมื่อเดินเข้าไปในโรงอาหารหลวง หลายคนหันมามองเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยงาม ในชุดบัณฑิตจากฮานหลินสีฟ้าอมเทา สวมหมวกผ้าสีดำแบบโปร่งที่ไม่มีปีก เขายิ้มและก้มหัวทักทายให้กับบางคนตามมารยาท จากนั้นก็สั่งบะหมี่มากินพร้อมกับอาหารข้างเคียง เขายกอาหารไปนั่งในมุมที่ห่างไกลสุด เพราะต้องการความสงบ และสังเกตบรรยากาศรอบตัวไปด้วย
เขาได้ยินคนพูดจากคนที่นั่งตรงโต๊ะถัดไปสองตัวว่า “ท่านยังจำข่าวการฆาตกรรมที่ภัตตาคารอี้เทียนเหลา เมื่อเกือบเดือนที่แล้วได้หรือไม่” ข้าราชการที่สวมชุดสีเขียวคนหนึ่ง พูดกับเพื่อนของเขาที่น่าจะมีตำแหน่งใกล้เคียงกัน คือ ข้าราชการชั้น 8-9[1]
อีกฝ่ายถามอย่างสนใจ “มีความคืบหน้า
ตอนที่ 18บัณฑิตจากฮานหลินได้ชื่อว่าเป็น “นักวิชาการฮั่นหลินผู้น่าสงสาร” แหล่งรายได้หลักของพวกเขา คือ เงินเดือน ซึ่งก็มีจำนวนน้อยนิด หลายคนจึงต้องทำงานเสริมด้วยการเขียนหนังสือ เขียนโคลงกลอนหรือวาดภาพ และถ้าทำงานดีได้ตามพระราชประสงค์ พวกเขาจึงจะได้รับการเลื่อนขั้นและรางวัลจากพระจักรพรรดิเมื่อเดินเข้าไปในโรงอาหารหลวง หลายคนหันมามองเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยงาม ในชุดบัณฑิตจากฮานหลินสีฟ้าอมเทา สวมหมวกผ้าสีดำแบบโปร่งที่ไม่มีปีก เขายิ้มและก้มหัวทักทายให้กับบางคนตามมารยาท จากนั้นก็สั่งบะหมี่มากินพร้อมกับอาหารข้างเคียง เขายกอาหารไปนั่งในมุมที่ห่างไกลสุด เพราะต้องการความสงบ และสังเกตบรรยากาศรอบตัวไปด้วยเขาได้ยินคนพูดจากคนที่นั่งตรงโต๊ะถัดไปสองตัวว่า “ท่านยังจำข่าวการฆาตกรรมที่ภัตตาคารอี้เทียนเหลา เมื่อเกือบเดือนที่แล้วได้หรือไม่” ข้าราชการที่สวมชุดสีเขียวคนหนึ่ง พูดกับเพื่อนของเขาที่น่าจะมีตำแหน่งใกล้เคียงกัน คือ ข้าราชการชั้น 8-9[1]อีกฝ่ายถามอย่างสนใจ “มีความคืบหน้า
อีกหนึ่งเดือนให้หลัง เฟิงหลี่เฉียงในฐานะจ้วงหยวน จึงได้เข้าทำงานที่ฮานหลินหยวน ซึ่งเป็นสถาบันที่มีเกียรติ มีเพียงบัณฑิตที่มีความสามารถสูงเท่านั้น จึงจะเข้าทำงานที่นี่ได้ฮานหลินหยวนก่อตั้งขึ้นในราชวงศ์ถัง มีระบบการคัดเลือกสมาชิกและความรับผิดชอบงานอย่างเข้มงวด ในยุคจีนโบราณนั้น นักวิชาการหรือบัณฑิต จัดว่ามีสถานะทางสังคมสูงสุด และเป็นตัวแทนของกลุ่มชนชั้นสูง พวกเขามีความเป็นเลิศในด้านวรรณกรรม และยังสามารถเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจสูงสุดในราชสำนัก มีส่วนร่วมได้ในงานสำคัญและกิจการทางการเมือง พวกเขาจึงมีอิทธิพลต่อการเมืองและวัฒนธรรมของจีนโบราณมาตลอด หลายคนกลายเป็นอัครเสนาบดีที่คอยช่วยเหลือฮ่องเต้และบริหารประเทศด้วยเมื่อเฟิงหลี่เฉียง เข้ามาทำงานที่นี่ เขาได้รับตำแหน่งแรก เป็นบัณฑิตฝึกหัด ชั้น 6 ขั้น 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งแรกสุดของผู้ที่ผ่านการสอบจอหงวนในระดับสูงสุดหรือจินซื่อ ถ้าเทียบกับวุฒิการศึกษาในปัจจุบัน ก็คือ ปริญญาเอก และคนที่ได้คะแนนสูงสุด มักจะทำงานแรกด้วยการรับราชการที่ฮานหลินหยวนฮานหลินหยวนนั้นก่อตั้งโดยจักรพรรดิซวนจง สมัยนั้นเมืองหลวงอยู่ที่เมืองฉางอันหรือซีอานในปั
ในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่วัย 40 ปี ท่าทางสง่างาม เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด ใส่ชุดสีดำเดินลายสีทอง ปักรูปมังกร 5 เล็บอยู่ด้านหน้า กำลังนั่งอ่านกระดาษคำตอบของบัณฑิตจำนวน 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งหรืออี้เจี่ย ในจำนวนนี้จะมีเพียง 3 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็น “จ้วงหยวน” “ป๋างเหยี่ยน” และ “ทั่นฮวา”ขันทีที่ใกล้ชิดของหย่งเล่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และยกน้ำชามาเสิร์ฟ พร้อมกับช่วยฝนหมึกที่แท่นวางหมึกหยกให้อย่างเงียบๆฮ่องเต้หย่งเล่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เจ้าฟังนะ จงเซียน ในคำถามแรก ข้าถามว่า ในยุคราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุดที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกของจักรวรรดิ หากนำแนวคิดของขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ จักรพรรดิหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไรในการปกครองและการใช้กองทัพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จงเซียน เจ้ารู้ไหม บัณฑิตคนนี้ตอบว่าอย่างไร”จงเซียน ขันทีวัย 43 ปี ซึ่งอยู่รับใช้จักพรรดิหย่งเล่อมาตั้งแต่เขายังเป็นอ๋องแห่
สวี่เฟิงหยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็สะดุ้ง นี่ไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย แต่สักพักก็นึกได้ว่า เขามานอนค้างที่บ้านของบัณฑิตเฟิง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไม้กระทบกันและเสียงพูดคุยจากสนามด้านล่าง เขาจึงลุกขึ้นและชะโงกออกไปที่หน้าต่างที่สนามหน้าบ้าน เขาพบเฟิงหลี่เฉียงกำลังใช้ดาบไม้ฟาดฟันไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มตะลึงมอง เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนคนนี้จะเก่งทั้งบู๊และบุ๋น แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อเฟิงหลี่เฉียงหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง และตะโกนถามว่า “ตื่นแล้วหรือ มีห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะ ที่นี่เราไม่มีคนรับใช้ช่วยยกน้ำขึ้นไปให้”สวี่เฟิงหยวนเดินลงมา และพบกับสองแม่ลูกกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ทั้งสองไม่แปลกใจที่เห็นเขา เพราะเฟิงหลี่เฉียงบอกพวกเขาเอาไว้แล้ว อันเฟยจูเป็นคนพาเขาไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอีกสักพักอาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อกินเสร็จ เธอจะให้ลู่ปู่ขี่รถลากไปส่งในระหว่างที่กินข้าวเช้า เด็กหนุ่มมองดูครอบครัวสามแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอิจ
“ทำไมเจ้าถึงต้องเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด” เจียงอู๋ตี้ถามด้วยความสงสัยซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารจึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตตอบแทนนะขอรับ ภัตตาคารของเรามีกฎให้มีเสี่ยวเอ้อสองคน ประจำอยู่บนชั้นสอง โดยคนหนึ่งต้องอยู่ประจำบนชั้นสอง ห้ามไปไหน เพื่อคอยรอรับคำสั่งลูกค้าและดูแลสถานการณ์ ส่วนอีกคน จะนำคำสั่งอาหารไปที่ครัวและนำอาหารขึ้นมาบริการ ฉะนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ประจำชั้นสองเสมอ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ งั้นขอถามว่า ตอนที่พวกข้าเดินลงมา มีใครเห็นพวกข้าแอบคุยกับคุณชายท่านนี้บ้างหรือไม่”ทุกคนตอบว่า ไม่มีใครเห็น และคนที่เฝ้าอยู่ชั้นสองก็ไม่เห็นเช่นกัน จึงหมายความว่า โอกาสที่พวกของเฟิงหลี่เฉียงจะพบกับเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อพูดคุยกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะบอกว่าพวกเขาสมคบกับเด็กหนุ่มก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ว่า พวกเขาซึ่งเป็นบัณฑิตระดับนี้ จะฆ่าพ่อค้าขาวสารคนหนึ่งไปเพื่ออะไรเมื่อเฟิงหลี่เฉียงสรุปเรื่องนี้ ก็ทำให้ทั้งทำให้เจียงอู๋ตี้และหวังเฉิงพูดอะไรไม่ออก“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าทั้งสี่คน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีใน
ด้านหลังของภัตตาคาร มีช่องทางเดินไปสู่ห้องน้ำ ด้านหน้าของห้องน้ำเป็นลานกว้างมีโอ่งดินเผาใส่น้ำสำหรับล้างมือ และด้านหลังมีห้องน้ำเป็นห้องขนาดเล็กเรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง ที่นั่นพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งนอนหงายหลังอยู่ที่ลานกว้าง มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อเฟิงหลี่เฉียงบอกให้ผู้จัดการกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และไม่ให้ใครเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปรอบๆ และไม่ได้แตะต้องศพเพิ่มเติม เพราะเขารู้ว่าอีกสักพัก เจ้าหน้าที่จากอำเภอจะมา ตอนนี้เขาถูกพ่อค้าข้าวสารกล่าวหา ถ้าไปแตะต้องศพก็อาจจะมีปัญหา เขาก้มลงมองที่ศพ ที่พื้น และมองไปด้านหลังที่เป็นสวนขนาดใหญ่ ที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมยามดึก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมากนัก ในขณะที่คนอื่นมองที่ศพและบริเวณรอบๆ อย่างไม่สบายใจในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนจากอำเภอจำนวน 4 คนก็มาถึง เมื่อเห็นเฟิงหลี่เฉียง อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ หัวหน้าซึ่งมีอายุประมาณ 35 ปี ก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เมื่อรู้ว่ากลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเป็นบัณฑิตและสามารถตรวจสอบศพได้ พวกเขาจึงผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็ยังไม่ยอมให้เฟ