เข้าสู่ระบบตอนที่ 18
บัณฑิตจากฮานหลินได้ชื่อว่าเป็น “นักวิชาการฮั่นหลินผู้น่าสงสาร” แหล่งรายได้หลักของพวกเขา คือ เงินเดือน ซึ่งก็มีจำนวนน้อยนิด หลายคนจึงต้องทำงานเสริมด้วยการเขียนหนังสือ เขียนโคลงกลอนหรือวาดภาพ และถ้าทำงานดีได้ตามพระราชประสงค์ พวกเขาจึงจะได้รับการเลื่อนขั้นและรางวัลจากพระจักรพรรดิ
เมื่อเดินเข้าไปในโรงอาหารหลวง หลายคนหันมามองเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยงาม ในชุดบัณฑิตจากฮานหลินสีฟ้าอมเทา สวมหมวกผ้าสีดำแบบโปร่งที่ไม่มีปีก เขายิ้มและก้มหัวทักทายให้กับบางคนตามมารยาท จากนั้นก็สั่งบะหมี่มากินพร้อมกับอาหารข้างเคียง เขายกอาหารไปนั่งในมุมที่ห่างไกลสุด เพราะต้องการความสงบ และสังเกตบรรยากาศรอบตัวไปด้วย
เขาได้ยินคนพูดจากคนที่นั่งตรงโต๊ะถัดไปสองตัวว่า “ท่านยังจำข่าวการฆาตกรรมที่ภัตตาคารอี้เทียนเหลา เมื่อเกือบเดือนที่แล้วได้หรือไม่” ข้าราชการที่สวมชุดสีเขียวคนหนึ่ง พูดกับเพื่อนของเขาที่น่าจะมีตำแหน่งใกล้เคียงกัน คือ ข้าราชการชั้น 8-9[1]
อีกฝ่ายถามอย่างสนใจ “มีความคืบหน้า
จิวเหวินชางเหลือบตามองเทียนมู่อวี้ จากนั้นก็จับตาดูท่าทีของเฟิงหลี่เฉียง ทั้งสองอยากรู้เช่นกันว่าเฟิงหลี่เฉียงต้องการอะไร เพราะบัณฑิตอย่างพวกเขานั้น บางคนก็ทำงานไปวันๆ เพียงเพื่อให้มีอาชีพเลี้ยงตนเอง บางคนทำทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าและเงินทองโดยไม่สนใจผิดถูก บางคนทำงานตามอุดมการณ์ จนมีปัญหากับผู้อื่น และมีชีวิตการทำงานที่ไม่ราบรื่น บางคนถูกย้ายไปอยู่ไกลปืนเที่ยง เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยไปตลอดชีวิต บางคนถูกย้ายไปทำงานตำแหน่งสูง แต่ไม่มีอำนาจ และบางคนถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย จนจบชีวิตการเป็นข้าราชการด้วยการถูกเนรเทศ คุมขัง และประหารชีวิตเฟิงหลี่เฉียงเป็นข้าราชการเพียงไม่กี่ปี แต่มีชีวิตหน้าที่การงานโลดโผน แตกต่างไปจากบัณฑิตในรุ่นเดียวกัน ในตอนนี้ ทุกคนมองว่าเขาทำงานตามอุดมการณ์ จนถูกหมั่นไส้และถูกสั่งไปทำงานที่มีความเสี่ยง แต่เขาก็ใช้สติปัญญาเอาตัวรอดมาได้เสมอ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีญาติพี่น้อง หรือรู้จักใครที่มีตำแหน่งสูง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้ายังถูกกดดันต่อไป อุดมการณ์ในการเป็นขุนนางที่ดีของเขา จะยังมั่นคงอยู่หรือ หรือชายหนุ่มคนนี้จะยอมแพ้แรงกดดัน และไหลไปตามกระแสข
เทียนหยางและซูหลิง เก็บเมล็ดผลไม้ใส่กล่องเอาไว้ เพื่อนำไปปลูก เทียนหยางพูดว่า “บางอย่างลุงก็เคยปลูกอยู่แล้ว อย่างแอปเปิล พลัม ลูกท้อ สาลี่ แต่พันธุ์ของประเทศอื่นมีรสชาติหวานกรอบกว่าจริงๆ ลุงจะต้องปลูกให้ได้ ส่วนพวกลูกไม้เล็กๆ เหล่านี้ ปลูกยากอยู่นะ มันเป็นไม้ล้มลุก ชอบขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ซึ่งก็เป็นช่วงนี้พอดี แต่ก็นั่นละ เรามาลองดูกันสักตั้ง!” เทียนหยางพูดอย่างไม่ยอมแพ้ลูกสาวของลู่ปู่ คือ ลู่มี่ วัย 14 ปี ที่กำลังยกน้ำชามาให้ ก็พูดว่า “ตอนข้าไปเดินเล่นกับคนอื่นๆ เคยเห็นผลไม้พวกนี้ที่ชายป่ากับบนเขาอยู่นะเจ้าคะ ข้าจะไปขุดต้นของมันมาปลูกเอง”พวกเขาจึงนัดกันเพื่อพาคนงานขึ้นเขาไปขุดต้นพันธุ์ของผลไม้มาปลูก ถึงจะเป็นพันธุ์ที่เติบโตในป่า แต่พวกเขาเชื่อว่า ถ้าดูแลดีๆ ก็น่าจะออกดอกผลที่ดีได้“ถ้าหิมะตกหนักเราจะทำอย่างไรหรือ” เฟิงหลี่อิงกังวลใจ เพราะที่นี่หิมะตกหนัก แตกต่างจากแถบเจียงหนาน“ข้าจะทำโรงเรือน” เฟิงหลี่เฉียงตอบ“จะไหวหรือ เราปลูกหลายต้นเลยนะ” แม่ของเขาไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากให้ลูกชายต้องเสียเงินมากไปกว่านี้“ลองปลูกสมุนไ
ในระหว่างที่ชาวบ้านลังเล เพราะพวกเขาไม่เคยได้รับอาหารจากทางการ ยกเว้นเวลาเกิดภัยพิบัติ และถึงมาแจก ก็เป็นเพียงข้าวต้มที่มีข้าวอยู่เล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะมีอาหารเลี้ยง คนส่วนใหญ่คิดว่าคงจะเป็นข้าวต้มที่มีแต่น้ำ หากดีกว่านี้ ก็คงจะเป็นหมั่นโถวแป้งแห้งๆ แต่เมื่อเห็นอาหารที่โรงครัวทยอยยกมาวางบนโต๊ะ พวกเขาก็ตื่นเต้น บางคนมองไปที่อาหารบนโต๊ะอย่างไม่เชื่อสายตาอาหารกลางวันเป็นแป้งทอดใส่หัวหอมและเนื้อแกะ เพื่อให้หยิบกินได้สะดวก พวกเขาได้รับคนละสองแผ่นใหญ่ และยังมีน้ำแกงจืดที่ต้มจากกระดูกไก่ใส่ผัก ในนั้นมีเนื้อไก่เป็นชิ้นลอยอยู่ด้วย สำหรับชาวบ้านแล้ว พวกเขาแทบจะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เมื่อใต้เท้าเฟิงเลี้ยงอาหารที่ดีเช่นนี้ พวกเขาดีใจมาก บางคนรีบขออนุญาตนำอาหารไปแบ่งให้ญาติที่รออยู่ข้างนอก บางคนยอมกินแป้งทอดแผ่นเดียว และนำที่เหลือไปฝากคนที่บ้าน ไม่ว่าจะอย่างไร จวนผู้ว่าได้นำอาหารไปแจกให้ญาติพี่น้องของพวกเขาที่รออยู่ข้างนอกด้วยนับตั้งแต่นั้นมา ความคิดของชาวจางเย่ที่มีต่อผู้ว่าฯคนใหม่ก็เปลี่ยนไป พวกเขาสัมผัสเห็นความจริงใจและความเมตตาของใต้เท้าเฟิง และมีความหวังที่จะมีชีวิตที
เด็กหนุ่มมีสีหน้างุนงง เขาหยุดคิดแล้วก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “หรือว่า..ท่านก็คือเจ้าของบ้านหลังนั้น บ้านที่ไม่เคยมีใครมาอยู่!”“นั่นละ บ้านของข้า ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่” หยวนคงหัวเราะชอบใจโลกช่างกลมเสียจริง เฟิงหลี่เฉียงรู้สึกมหัศจรรย์ใจ เขาดีใจมาก ที่ได้พบกับปรมาจารย์แห่งหมู่บ้านหลานเถียนคนสุดท้าย เขาเคยเห็นแต่บ้านที่ไม่มีคนอยู่หลังนั้นมานับสิบปี แต่ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง หลวงพ่อหยวนคง คือ เสือซุ่มมังกรซ่อนอีกคนหนึ่งของหมู่บ้านหลานเถียน ที่พเนจรมาอยู่ที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งนี้!เมื่อรู้จักกันดีแล้ว เด็กหนุ่มจึงถามด้วยความอยากรู้ว่า “หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้าละขอรับ”“ข้าติดต่อกับหมอต้วนอยู่บ้าง เขามักจะเล่าเรื่องของเจ้าให้ฟัง แต่ช่วงหลังก็ห่างกันไป จนไม่นานมานี้ จึงได้รับจดหมายเล่าว่าเจ้าจะมารับตำแหน่งที่นี่ ข้าจึงรู้ว่าเป็นเจ้าแน่นอน” แล้วหลวงพ่อก็ถามต่ออย่างอารมณ์ดีว่า “ต้วนเจี่ยซินเคยเล่าอะไรเกี่ยวกับข้าบ้างรึ”“อาจารย์บอกว่า ท่านเก่งเรื่องโหราศาสตร์และศาสตร์ลึกลับ” หลวงพ่อพยักหน้ายอมรับ “แต่พอมาบวชเป็นพระ ข้าก็ไม่ได้ใช้
ไม่เพียงแต่ทดลองปลูกสมุนไพร เฟิงหลี่เฉียงยังมองหาพืชชนิดอื่นมาส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูก วันนี้ในช่วงสาย เขาออกมาพร้อมกับจิวเหวินชางและลู่เหยาหลง เมื่อเดินดูชีวิตของชาวบ้านจนได้เวลาเที่ยงวัน พวกเขาจึงหาอาหารกินแถวนั้นเฟิงหลี่เฉียงเห็นขนมปังแผ่นแบนๆ แบบที่ชาวเผ่าเร่ร่อนชอบกิน และร้านขายเนื้อแกะย่างส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศไปทั่ว เขาจึงสอนวิธีกินให้จิวเหวินชางและลู่เหยาหลง ด้วยการซื้อชีสนมแพะจากร้านข้างๆ จากนั้นนำขนมปังมาวาง โรยด้วยชีสและเนื้อแกะย่างร้อนๆ พับครึ่งขนมปัง และยกขึ้นกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองเห็นแล้วจึงทำตามอย่างสนุกสนาน เมื่อเดินผ่านร้านขายแอปเปิล สาลี่และพลัม ก็แวะซื้อมาลองชิมด้วย“ข้าจะส่งเสริมการปลูกผลไม้เหล่านี้ เพราะทนทานต่ออากาศหนาวเย็น” ผู้ว่าฯหนุ่มพูดอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับกัดกินเนื้อแกะห่อขนมปังไปด้วย“พี่เหวินชาง ข้าขอมอบหมายการปลูกพืชผักผลไม้เหล่านี้ให้ท่านดูแลนะ ท่านอยากจะให้ใครมาช่วยก็สั่งมา ข้าจะเป็นแต่งตั้งให้”หลังจากนั้น พวกเขาก็เดินผ่านร้านขายยา เฟิงหลี่เฉียงนึกถึงน้องสาวของตนเอง ถ้านางมีฝีมือในการรักษาเพิ่มขึ้น ก็น่าจะเป
ที่บ้านสองชั้นหลังหนึ่ง รายล้อมด้วยพื้นที่ทำการเกษตร และบ้านหลังอื่นๆ ที่ปลูกใกล้กัน ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองกานโจว หญิงชายหลายวัยกำลังช่วยกันสร้างโรงเลี้ยงสัตว์ โรงเก็บอาหาร พืชผัก บางคนขุดดินปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ที่บ้านหลังใหญ่สุด หญิงต่างวัยหน้าตาสวยงามสองคนช่วยกันขุดดินเพื่อปลูกสมุนไพรในแปลงข้างบ้าน โดยมีคนงาน 2-3 คน กำลังช่วยอย่างแข็งขัน ไกลออกไป เป็นพื้นที่ปลูกข้าวสาลีและบาร์เลย์ และมีบ่อดินเผาหลายบ่อ ที่ปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียวเอาไว้ประปราย ถึงจะปลูกพืชช้ากว่าชาวบ้านที่นี่ไปเกือบเดือน แต่ต้นอ่อนเขียวขจีของข้าวก็แทงยอดขึ้นสูงประมาณ 2 คืบแล้ว ที่นี่ยังมีพื้นที่ปลูกผักผลไม้ และหลังบ้านมีโรงเรือนสำหรับแกะ แพะ วัว และม้า ติดกัน คือ โรงเลี้ยงไก่และเป็ดหลังใหญ่นี่คือบ้านส่วนตัวของผู้ว่าการจังหวัด เฟิงหลี่เฉียง พวกเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว ช่วงแรก พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนของผู้ว่าการ หลังจากหาสถานที่สร้างบ้านและทำการเกษตรได้แล้ว ก็ย้ายออกมาอยู่นอกกำแพงเมือง เพื่อสร้างอาชีพของตนเอง บ้านหลังใหญ่สุดเป็นบ้านสองชั้นของครอบครัวเฟิง ใกล้ๆมีบ้านหลังเล็กอีก 3 หลังสำหรับแ