เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง

เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง

By:  Clear CloudsOngoing
Language: Thai
goodnovel4goodnovel
Not enough ratings
16Chapters
9views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

เฟิงหลี่เฉียงเป็นเด็กน้อยที่อาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว เขาต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก จนได้พบกับต้วนเจี่ยซิน อาจารย์ของเขาที่เป็นอดีตหมอหลวง และเส้นทางการเป็นขุนนางของเขา ก็เริ่มต้นขึ้น เฟิงหลี่เฉียงได้พบกับอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถหลากหลาย ทำให้เขาเก่งทั้งบู๊และบุ๋น และสอบเป็นจอหงวนอันดับหนึ่งในรัชสมัยของฮ่องเต้หย่งเล่อ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งราชวงศ์หมิงตอนต้นได้ ชีวิตของเขาขึ้นลงมาตลอด ทั้งถูกกลั่นแกล้งเพราะเป็นคนเฉลียวฉลาดและยึดมั่นอุดมการณ์ จนถูกสั่งย้ายให้ไปทำงานตามหน่วยงานต่างๆ เขาต้องทำหน้าที่ในการสืบสวนคดีและตรวจสอบการทุจริตจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และถูกย้ายไปอยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ที่แห้งแล้งและอันตราย เขาต้องต่อสู้กับเครือข่ายการทุจริตและการบุกรุกของมองโกล แต่ก็ใช้ความสามารถในการสู้รบและการทำนายสภาพดินฟ้าอากาศจนเอาชนะกองทัพมองโกลได้ เฟิงหลี่เฉียงยังพบกับบุคคลสำคัญ ทั้งขันทีที่มีอิทธิพลสูง แม่ทัพชายแดนที่มีความดุดัน องครักษ์เสื้อแพรจินอวี่เว่ย นักปราชญ์ ข้าราชการ และขุนนางที่ทั้งเป็นมิตรและศัตรู รวมไปถึงฮ่องเต้หย่งเล่อและเชื้อพระวงศ์ที่ให้คุณและโทษกับเขาได้ เส้นทางการเป็นขุนนางของเขาไม่เคยราบรื่น แต่เฟิงหลี่เฉียงก็ไม่เคยย่อท้อ เพราะมีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นตั้งแต่เด็ก เขาจึงได้เป็นอัครเสนาบดีแห่งต้าหมิง ที่มีอิทธิพลสูงในราชสำนักในท้ายที่สุด

View More

Chapter 1

1

ตอนที่ 1

ช่วงสายวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ที่หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย เฟิงหลี่เฉียง เด็กชายวัย 6 ขวบ เดินออกจากบ้านไปพร้อมกับแบกตะกร้าไม้ไผ่สานไว้บนหลัง เขาออกจากบ้านไปชายป่าท้ายหมู่บ้านเพื่อเก็บพืชผักป่า

เด็กชายเดินฝ่าลมหนาวที่พัดแรงโดยไม่ย่อท้อ เขาห่อตัวด้วยเสื้อผ้าฝ้ายกลางเก่ากลางใหม่ และใช้เศษผ้าพันที่ขาไปจนถึงเท้าเพื่อป้องกันลมหนาว ก่อนจะสวมรองเท้าสานจากฟางที่ชาวบ้านทั่วไปใส่กัน เขายังใช้ผ้าคลุมศีรษะและคอเอาไว้เพื่อป้องกันลมหนาวอีกชั้น และสวมหมวกสานป้องกันลม ก่อนออกจากบ้านเขานำอาหารกับน้ำติดตัวไปกินด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน

ในระหว่างที่เดินจากบ้านหลังเก่าของเขาออกไปนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ทำนาทำสวนแถวนั้น ก็ตะโกนทักทายเขา เช่น “เสี่ยวเฉียง แม่เป็นอย่างไรบ้าง” และ “วันนี้จะไปเก็บสมุนไพรอีกหรือ”

ใช่แล้ว แม่ของเฟิงหลี่เฉียงป่วยมานานเพราะทำงานหนัก นับตั้งแต่เธอให้กำเนิดลูกสาวคนสุดท้อง คือ เฟิงหลี่อิง ที่ตอนนี้อายุ 3 ขวบแล้ว เธอก็มีร่างกายอ่อนแอมาตลอด เพราะไม่ได้ดูแลร่างกายตัวเองให้ดี แม่ของเฟิงหลี่เฉียง คือ อันเฟยจู เป็นแม่ม่ายที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนเพียงลำพัง  

แล้วพ่อของพวกเขาไปไหนน่ะหรือ

พ่อของเด็กทั้งสองคน คือ เฟิงหวังหย่ง เขาเป็นลูกชายของข้าราชการชั้นผู้น้อยที่อยู่เมืองอื่น เขาชอบการเรียนหนังสือ จึงมุ่งมั่นตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ารับราชการให้ได้ ในครั้งแรกนั้น เขาสามารถสอบผ่านเป็นบัณฑิตในระดับอำเภอได้ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 3 ปี เพื่อสอบเป็นบัณฑิตเซียงชื่อ หรือบัณฑิตในระดับมณฑลหรือระดับภูมิภาค ซึ่งจัดขึ้นทุก 3 ปี ณ เมืองหลวงของแต่ละมณฑล ในตอนนั้น เขาสามารถสอบผ่านได้เป็นจู่เหริน ด้วยอายุ 28 ปี

เพื่อเตรียมตัวเข้าสอบบัณฑิตต่อในระดับเมืองหลวงหรือระดับประเทศ หรือที่เรียกว่าฮุ้ยชื่อ เขาจะต้องเดินทางไปเรียนเพิ่มเติมในโรงเรียนที่เมืองหลวง และมีสนามสอบที่เมืองหลวงหนานจิง

หลังจากนั้น เฟิงหวังหย่ง ก็หายออกไปจากชีวิตของพวกเขา จดหมายล่าสุดที่ได้รับเมื่อ 3 ปีที่แล้ว บอกว่าเขาล้มเหลวในการสอบครั้งแรก และต้องการสอบครั้งที่สองในอีก 3 ปีต่อมา เขากำลังเตรียมตัวสอบอย่างเต็มที่ ต้องอยู่กินอย่างลำบาก เพื่อจ่ายเงินค่าเรียนและทำงานหาเงินไปด้วย จึงไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ แต่เขาก็ไม่เคยส่งเงินกลับมาให้ภรรยาและลูก และหลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อไปเลย

อันเฟยจู จึงต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสองตามลำพัง ถึงเธอจะเป็นลูกสาวของนายอำเภอเล็กๆ แต่เธอก็ไม่มีญาติพี่น้องเหลืออีก เธอแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่นี่กับสามี  หลังจากนั้นพ่อของเธอก็เสียชีวิตจากการช่วยเหลือชาวบ้านจากน้ำท่วม แม่ของเธอเสียชีวิตตามไปไม่นาน เพราะตรอมใจ เธอมีเงินเก็บเพียงเล็กน้อยจากค่าสินสอด เมื่อสามีหายไป เธอไม่สามารถออกตามหาได้ เพราะต้องเลี้ยงดูลูกที่ยังเล็ก และเธอก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาสามีได้ที่ไหน เธอจึงตัดสินใจเลี้ยงดูลูกเอง และพยายามลืมสามีที่หายสาบสูญไป

เมื่อเฟิงหลี่เฉียงได้ยินชาวบ้านทักทาย เขาก็ตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ท่านแม่มีอาการดีขึ้นบ้างแล้ว” และ “ใช่แล้วท่านป้า วันนี้ข้าจะไปเก็บสมุนไพรกับผักผลไม้มาให้แม่กับน้อง”

ทุกคนในหมู่บ้านนี้ รู้จักครอบครัวของเด็กชายดี พวกเขาย้ายมาจากที่อื่นและใช้ชีวิตกันตามลำพัง ถ้าจะติดตามหาข่าวคราวของสามี คงจะต้องเดินทางไปบ้านเกิดของเฟิงหวังหย่ง ซึ่งอยู่ที่เสฉวน แต่ที่บ้านของสามีก็ไม่ชอบอันเฟยจู เพราะเธอไม่มีเงิน และพ่อแม่ของเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้พวกเขามองว่าเธอเป็นภาระและตัวถ่วงให้ลูกชายของเขาที่มีอนาคตไกล

สิ่งที่ยังทำให้แม่ลูกเฟิงยังพอจะมีความสุขได้ ก็คือ คนในหมู่บ้านนี้ปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดีกับ ถึงแม้หมู่บ้านนี้จะอยู่ห่างไกลและยากจน แต่คนในหมู่บ้านต่างก็ช่วยเหลือกัน และชาวหมู่บ้านนี้ก็ชอบแม่ลูกเฟิง โดยเฉพาะเด็กชายเฟิงหลี่เฉียงที่เฉลียวฉลาดและรู้ความตั้งแต่เด็ก พวกเขาหวังว่าเด็กชายจะสามารถเป็นจอหงวนหรือสอบเค่อจวี่ เพื่อเป็นข้าราชการเหมือนกับพ่อของเขาได้ เด็กชายจะได้กลับมาทำงานที่นี่และช่วยพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญกว่านี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่อยากคิดหวังอะไรจากพ่อเด็กๆ ที่หายสาบสูญไป ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้วด้วย

เฟิงหลี่เฉียงเป็นเด็กตัวผอม ผิวขาว ใบหน้าสวยงาม และมีดวงตาสีดำที่ฉลาดล้ำลึก เขามีบุคลิกนิ่งสงบ สุภาพ แต่จะซุกซนเมื่ออยู่กับคนที่สนิทเท่านั้น ตั้งแต่โตขึ้นและรู้ว่าพ่อไม่กลับมา เขาเปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้นำครอบครัว เพื่อดูแลแม่และน้อง อันเฟยจูเป็นผู้หญิงที่รู้หนังสือ เธอจึงสอนหนังสือให้เขาตั้งแต่เด็ก และยังสอนการเขียนอักษรจีนโดยใช้อุปกรณ์เครื่องเขียนที่สามีทิ้งเอาไว้ที่บ้าน เมื่อเด็กชายอายุได้ห้าขวบ เธอยังกัดฟันส่งลูกชายไปเรียนกับบัณฑิตคนเดียวของหมู่บ้านที่เปิดโรงเรียนสอนอยู่สำหรับเด็กในหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านอื่น

เฟิงหลี่เฉียงเกิดในยุคของฮ่องเต้หย่งเล่อหรือจูตี้ ที่ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ที่สามแห่งราชวงศ์หมิง ในยุคของฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่คนนี้ เขาเปลี่ยนกฎระเบียบใหม่มากมาย โดยเฉพาะการสอบเป็นบัณฑิต ที่นักศึกษาหรือนักเรียนจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอ จังหวัด มณฑล และเมืองหลวง จึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบเค่อจวี่ได้

แล้วบัณฑิตที่เป็นอาจารย์ในหมู่บ้านนี้เป็นใคร เขาเป็นบัณฑิตที่สอบผ่านในระดับถงเซิงหรืออำเภอ ซึ่งเป็นการสอบขั้นต้นได้ และมีตำแหน่งเป็นเซิงหยวนหรือซิ่วฉาย (บัณฑิตระดับอำเภอ) แต่เขาไม่สามารถสอบผ่านในระดับที่สูงกว่าขึ้นไปได้อีก เขาจึงกลับมาเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กในหมู่บ้านแถบนี้ เพื่อเตรียมความรู้ให้กับเด็กที่ต้องการจะสอบเค่อจวี่ในระดับอำเภอ ซึ่งเฟิงหลี่เฉียงเข้าเรียนที่นี่มาได้เกือบสองปีแล้ว

เฟิงหลี่เฉียงเดินมาถึงชายป่าที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณ 5-6 ลี้ (3 กิโลเมตร) เพราะอายุยังน้อย ทำให้เขาต้องพักเหนื่อยเป็นระยะ แต่ก็ไม่ทำให้เด็กชายท้อแท้แต่อย่างใด เพราะเขาต้องการยามารักษาโรคให้แม่ และหาอาหารมาเลี้ยงแม่และน้องด้วย

เมื่อมาถึงป่าชายเขา ที่ตอนนี้ใบไม้เริ่มร่วงและเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแดง ทำให้ป่าโปร่งไม่รกทึบมาก เด็กชายมองเห็นต้นแอปเปิลที่ยังมีลูกห้อยอยู่ เขาใช้ไม้ที่เตรียมมาสอยลูกแอปเปิลได้ 5-6 ลูก ที่เหลือก็สูงเกินไป เด็กชายมองอย่างเสียดายแต่ก็ตัดใจ เดินเข้าไปในป่าเพื่อมองหาสิ่งอื่นต่อ

เด็กชายเห็นผักป่าและสมุนไพรที่เขาคิดว่ากินได้ แต่ก็ไม่แน่ใจ เขาหยิบมันขึ้นมาดูและตัดสินใจไม่ได้ แต่แล้วเขาก็สะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นมาจากด้านหลังว่า “ต้นนี้เป็นสมุนไพร ชื่อว่า ไป๋จู้ ช่วยรักษาโรคกระเพาะและม้ามได้”

ถึงเด็กชายจะตกใจ แต่ก็ยังรักษากิริยาอาการได้ดี เขาเอียงคอมองชายวัย 50 -60 ปี ที่แต่งกายด้วยผ้าฝ้ายสีเทาเข้มและสวมหมวกผ้าสีดำ

ชายชราเดินเข้ามาใกล้และมองเขาอย่างสนใจ “เด็กน้อย เหตุใดจึงมาที่นี่คนเดียว”

“ข้ามาจากหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ขอรับ มาเก็บสมุนไพรให้แม่” เขาตอบ แต่ก็ยังไม่ยอมบอกชื่อ

ชายชรายิ้ม แววตาของเขาอ่อนโยน “แม่ของเจ้าป่วยเป็นอะไรหรือ”  เขารู้ว่าเด็กชายไม่มีเงินมากพอจะพาแม่ไปหาหมอ จึงมาเก็บยาสมุนไพรเพื่อไปรักษาเอง

เมื่อพูดถึงอาการป่วยของแม่ เฟิงหลี่เฉียงผ่อนคลายท่าทีระแวงลง และพูดด้วยสีหน้ากังวลว่า “หมอในหมู่บ้านเคยมาตรวจแล้วบอกว่าท่านแม่ทำงานหนัก และร่างกายไม่แข็งแรง”

“บอกอาการมา ข้าเป็นหมอ เผื่อจะช่วยเจ้าได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กชายดีใจมาก “ท่านแม่มักจะอ่อนเพลีย กินอาหารไม่ค่อยได้ บางครั้งท้องอืด ไอ และหายใจไม่สะดวกขอรับ ทำให้เหนื่อยง่าย”

ชายชรานิ่งไป สักพักก็พูดกับเด็กชายว่า “เจ้าพาข้าไปหาแม่ได้หรือไม่ ข้าจะตรวจอาการให้”

แววตาของเด็กชายสลดลง “ถึงพาท่านไป พวกเราก็ไม่มีเงินมากพอจะรักษา แล้วท่านแม่ก็อาจจะไม่ยอมรักษาด้วย”

ชายชราหัวเราะเสียงดัง “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่คิดเงินหรอก ตอนนี้ข้าไม่รักษาใครเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้า จึงอยากจะช่วย” 

เมื่อเห็นเด็กชายยังลังเล เขาก็รู้ว่าเด็กชายยังระแวงอยู่ ชายชราจึงสอนเขาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะเจอเรื่องไม่ดีมามาก แต่เจ้าลองใช้สัญชาตญาณตัดสินใจดูสิว่า จะเชื่อใจคนแก่อย่างข้าได้หรือไม่”

จากนั้นก็รอให้เด็กชายตัดสินใจเอง ที่จริงแล้วเฟิงหลี่เฉียงรู้สึกไว้ใจชายชรา เมื่อนึกถึงว่า บ้านของเขาเองก็ยากจน ไม่มีอะไรที่ชายชราจะอยากได้ และที่สำคัญ เขาสัมผัสได้ถึงความเมตตาจากชายชราคนนี้ เด็กชายจึงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องขอรบกวนท่านหมอช่วยไปดูอาการให้ท่านแม่ด้วยนะขอรับ แต่..ท่านไม่คิดเงินแน่นะขอรับ” เด็กชายถามเบาๆ

ชายชราส่ายหน้า “ข้าบอกแล้วว่า จะรักษาให้โดยไม่คิดเงินสักเหวินเดียว แต่ขอเวลาข้าเก็บสมุนไพรบางอย่างก่อน แล้วเราค่อยเดินทางไปด้วยกันนะ” เด็กชายจึงรีบตกลงด้วยความดีใจ

จากนั้นพวกเขาก็เดินไปด้วยกัน ชายชราคอยสอนให้เด็กชายรู้จักสมุนไพรและบอกสรรพคุณกับวิธีใช้ เขารู้สึกแปลกใจที่เด็กชายมีความจำดี สามารถท่องจำสิ่งที่เขาบอกได้หมด ทั้งสองยังเก็บผักและผลไม้ป่าและจับปลา กุ้งและสาหร่ายในลำธารกลับไปด้วย แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถจับสัตว์อื่นๆ ได้อีก

เมื่อผ่านไปจนเกือบจะบ่ายโมง พวกเขาจึงนั่งพักกินอาหารกลางวันด้วยกัน เด็กชายแบ่งแป้งทอดใส่ต้นหอมให้ชายชรากินด้วย แม้เขาจะมีแค่แผ่นเดียวก็ตาม ชายชรายิ้มด้วยความพอใจที่เด็กชายเป็นคนมีน้ำใจ  แต่เขาก็ปฏิเสธและนำอาหารของตนเองมาแบ่งให้เด็กชายกินด้วย ชายชราบอกในระหว่างที่พวกเขาก่อกองไฟย่างเห็ดที่พบในป่าว่า เขาชื่อต้วนเจี่ยซิน เคยเป็นหมออยู่ในเมืองหลวง แต่ตอนนี้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านนอกเพราะต้องการความสงบ  ในระหว่างนั้น เฟิงหลี่เฉียงจึงเริ่มพูดคุยกับชายชราอย่างไว้ใจมากขึ้น

เมื่อได้เวลากลับ ต้วนเจี่ยซิน พาเด็กชายไปยังเกวียนขนาดเล็กที่มีวัวลากสองตัว เขาล่ามพวกมันเอาไว้ที่ชายป่า และเดินขึ้นเขามาเก็บสมุนไพร ชายชราขนของไปเก็บบนเกวียนและพาเด็กชายนั่งเกวียนและเดินทางกลับ เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว พวกเขาตรงไปยังบ้านของเด็กชายที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน

เมื่อมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดเล็กทำจากดินและไม้ ที่นี่มี 2 ห้องนอน ห้องครัวอยู่ด้านหลัง และมีห้องรับแขกอยู่ด้านหน้า ที่ด้านหน้าและด้านหลังมีสวนผักผลไม้ปลูกเอาไว้ ด้านหลังมีโรงเรือนเลี้ยงไก่ขนาดเล็กสร้างเอาไว้

เฟิงหลี่เฉียงพาชายชราเดินเข้าไปในบ้าน หญิงสาวอายุประมาณ 26-27 ปีคนหนึ่ง รูปร่างผอม ใบหน้าอิดโรย กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะไม้ เธอ คือ อันเฟยจู ที่กำลังเขียนจดหมายให้ชาวบ้าน ที่ผ่านมานั้นเธอทำงานหลายอย่าง ทั้งปลูกผักและรับจ้างเขียนจดหมายให้ชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือ และบางครั้งก็คัดลอกหนังสือเป็นเล่มให้กับนักเรียนบางคน ทำให้พอจะมีเงินใช้จ่ายบ้าง วันนี้เธอยังป่วยอยู่ แต่ต้องลุกมาเขียนจดหมายให้กับฮูหยินจ้าว ที่ต้องการจะส่งจดหมายไปให้สามีที่เป็นทหารอยู่ชายแดนทางใต้ ข้างหลังของเธอคือลูกสาวที่นอนกลางวันอยู่บนเตียงขนาดเล็ก เธอคือ เฟิงหลี่อิง วัย 3 ขวบ

ในบ้านของพวกเขา ที่ถึงแม้จะเก่า แต่ก็มีระเบียบ ในบ้านมีหนังสือและอุปกรณ์การเขียน บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นชนชั้นกลางที่รู้หนังสือ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู อันเฟยจูเงยหน้าขึ้น และก็เห็นลูกชายเดินเข้ามาพร้อมกับชายชราท่าทางใจดี

“ท่านแม่ขอรับ ท่านตาท่านนี้ ท่านเป็นหมอชื่อต้วนเจี่ยซิน ข้าเชิญท่านมาช่วยดูอาการของท่านแม่” เด็กชายรีบบอก

อันเฟยจูชะงัก ต้วนเจี่ยซินรีบบอกเธอว่า “แม่นางไม่ต้องกังวล ข้าจะดูอาการของท่านโดยไม่คิดเงิน”

จากนั้นเขาก็เล่าให้เธอฟังสั้นๆ ว่าพบกับเด็กชายได้อย่างไร อันเฟยจูจึงบอกให้ลูกชายไปต้มน้ำเพื่อชงชา ในขณะที่ชายชราบอกกับเธอว่า “ข้าจะตรวจอาการของเจ้าตอนนี้เลยนะ”

ชายชราตรวจอาการด้วยการดูสีหน้า ดูลิ้น และจับชีพจร ในขณะที่เด็กชายนำน้ำชามาวางบนโต๊ะ และนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ หลังจากจับชีพจรเสร็จ ชายชราก็ถอนหายใจ และถามเธอด้วยน้ำเสียงมีเมตตาว่า “แม่นางมีเรื่องทุกข์ใจมานานแล้วใช่หรือไม่”

อันเฟยจูสะดุ้ง เธออึกอัก เพราะไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกชาย แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นห่วงของเด็กน้อย เธอจึงยอมรับว่าใช่เบาๆ แต่ไม่ยอมเปิดปากพูดว่าเรื่องใด แต่เฟิงหลี่เฉียงรู้ได้ทันที เด็กชายก้มหน้ามองมือของตัวเองที่กำแน่นบนตัก หลายครั้งที่เขาเห็นแม่แอบร้องไห้เวลาที่มองไปที่ชั้นเก็บหนังสือของพ่อ และบางครั้งก็หยิบเสื้อผ้าของเขามานั่งดูแล้วก็เหม่อมองเงียบๆ ดวงตาของเฟิงหลี่เฉียงมีน้ำตาซึมออกมา

ชายชราสังเกตเห็นสองแม่ลูกแล้วก็ยิ่งสงสาร จึงบอกกับทั้งสองว่า “เจ้าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร มันคือโรคที่เกิดจากใจ เป็นผลมาจากความกลัว กังวล และความเศร้าใจที่สะสมมานาน ทำให้ปอด ม้าม และกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ”

อันเฟยจูเงียบไป ในขณะที่เฟิงหลี่เฉียงมองเธอด้วยความเศร้าใจมากยิ่งขึ้น เขารู้ว่าแม่ทำงานหนัก แล้วยังเสียใจเพราะสามีหายตัวไป แต่เธอพยายามปิดบังความทุกข์จากเขา นั่นก็เพราะเขายังเป็นเด็กนั่นเอง แม่จึงต้องอดทนแบกรับความทุกข์เอาไว้คนเดียว เด็กชายกำมือแน่น ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาจะต้องรีบโต รีบเป็นผู้ใหญ่ จะได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่กับน้องให้สุขสบายให้ได้ เฟิงหลี่เฉียงซึ่งเป็นผู้ใหญ่เกินวัย สาบานกับตัวเองเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้น!

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
16 Chapters
1
ตอนที่ 1 ช่วงสายวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ที่หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย เฟิงหลี่เฉียง เด็กชายวัย 6 ขวบ เดินออกจากบ้านไปพร้อมกับแบกตะกร้าไม้ไผ่สานไว้บนหลัง เขาออกจากบ้านไปชายป่าท้ายหมู่บ้านเพื่อเก็บพืชผักป่าเด็กชายเดินฝ่าลมหนาวที่พัดแรงโดยไม่ย่อท้อ เขาห่อตัวด้วยเสื้อผ้าฝ้ายกลางเก่ากลางใหม่ และใช้เศษผ้าพันที่ขาไปจนถึงเท้าเพื่อป้องกันลมหนาว ก่อนจะสวมรองเท้าสานจากฟางที่ชาวบ้านทั่วไปใส่กัน เขายังใช้ผ้าคลุมศีรษะและคอเอาไว้เพื่อป้องกันลมหนาวอีกชั้น และสวมหมวกสานป้องกันลม ก่อนออกจากบ้านเขานำอาหารกับน้ำติดตัวไปกินด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหนในระหว่างที่เดินจากบ้านหลังเก่าของเขาออกไปนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ทำนาทำสวนแถวนั้น ก็ตะโกนทักทายเขา เช่น “เสี่ยวเฉียง แม่เป็นอย่างไรบ้าง” และ “วันนี้จะไปเก็บสมุนไพรอีกหรือ”ใช่แล้ว แม่ของเฟิงหลี่เฉียงป่วยมานานเพราะทำงานหนัก นับตั้งแต่เธอให้กำเนิดลูกสาวคนสุดท้อง คือ เฟิงหลี่อิง ที่ตอนนี้อายุ 3 ขวบแล้ว เธอก็มีร่างกายอ่อนแอมาตลอด เพราะไม่ได้ดูแลร่างกายตั
last updateLast Updated : 2025-09-21
Read more
2
ในวันนั้น ต้วนเจี่ยซินซึ่งนำเข็มมาด้วย ก็ช่วยฝังเข็มให้กับอันเฟยจู เพื่อช่วยให้อิน (หยิน) ทำงานดีขึ้น และบอกวิธีรักษาด้วยการทำใจให้ปลอดโปร่ง กินอาหารที่ช่วยขับเคลื่อนลมปราณที่ติดขัด ระบายชี่ที่ตับและช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด เช่น ต้มลูกเดือยกิน ดื่มน้ำอุ่น และไม่โดนอากาศเย็นมาก และยังให้กินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เป็นบางครั้ง“สิ่งสำคัญ คือ การดูแลรักษาใจ” หมอต้วนเจี่ยซินบอกอันเฟยจู “อย่าลืมว่า ตอนนี้พวกเจ้ามีอยู่กันสามคน ถ้าเจ้าล้มป่วยหนัก ความลำบากก็จะตกไปอยู่ที่ลูกชายของเจ้าที่มีอายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น เจ้าจะให้ลูกชายอายุแค่นี้ ต้องมาแบกรับเลี้ยงดูแม่กับน้องอย่างนั้นหรือ”อันเฟยจูหน้าเสีย น้ำตาไหลออกมาทันที เธอหันไปกอดเฟิงหลี่เฉียงเอาไว้แน่น “ไม่เจ้าค่ะ! ข้าจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น!” แล้วเธอก็สะอื้นออกมาอย่างเจ็บปวดใจ เธอรู้มาตลอดว่า ช่วงที่เธอล้มป่วยจนทำงานไม่ได้นั้น เด็กชายจะต้องลำบากมากแค่ไหน“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ต้องรู้จักการยอมรับความจริง และปล่อยวางให้เป็นด้วย” ชายชราเตือนหญิงสาวก้มหน้าล
last updateLast Updated : 2025-09-22
Read more
3
ในวันหนึ่ง แม่ครัววัย 30 กว่าปี เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กชายวัย 6 ขวบ พยายามยืนบนม้านั่งตัวเล็กเพื่อหัดทำอาหาร ถึงจะลำบากแต่เขาก็สู้ไม่ถอย นางจึงถามว่า “เสี่ยวเฉียง เจ้าชอบทำอาหารหรือ โตขึ้นจะไปเปิดร้านอาหารเองหรืออย่างไร”เด็กชายหัวเราะพร้อมกับใช้ทัพพีไม้คนหม้อต้มน้ำซุปอย่างระมัดระวัง “ข้าอยากทำอาหารเป็นขอรับ ข้าไม่ได้อยากเปิดร้านอาหาร แต่อยากทำให้แม่กับน้องกิน จะได้แบ่งเบาภาระได้ แล้วก็..” เขาหยุดสักพัก ก่อนพูดต่ออย่างจริงจังว่า “ข้าอยากพึ่งพาตัวเองได้ด้วย”ป้าเฟยหรือแม่ครัวเฟย อึ้งไปกับคำตอบ นางไม่คิดเลยว่าเด็กชายวัย 6 ขวบจะคิดได้ขนาดนี้ และที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ต้วนเจี่ยซินเดินผ่านห้องครัวมาพร้อมกับชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าปี และได้ยินบทสนทนาของพวกเขาพอดี หมอต้วนหัวเราะหึหึ ใช้มือลูบเคราตัวเองอย่างพอใจ ในขณะที่ชายอีกคนมีสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังห้องหนังสือของหมอต้วนด้วยกันเมื่อเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ที่มีตำรา และอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่างวางอยู่บนชั้น ต้วนเจี่ยซินหันไปพูดกับชายอีกคนว่า “เจ้าคิดอย่างไรบ้าง
last updateLast Updated : 2025-09-23
Read more
4
เมื่อโม่ชิงเฉิงเห็นข้อความที่เด็กชายเขียน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที บนกระดาษเยื่อไผ่มีอักษรเขียนเอาไว้ด้วยลายมือที่อ่านง่ายว่า “หากรู้จริง พึงบอกว่ารู้ หากไม่รู้ พึงบอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือวิถีของปัญญาชน”ถึงแม้ว่าลายมือของเด็กน้อยจะไม่สวยงามมากนัก แต่การที่เขาสามารถเขียนคำสอนที่ยากของขงจื๊อได้เช่นนี้ ทำให้โม่ชิงเฉิงประหลาดใจมาก จนต้องถามว่า “ใครสอนให้เจ้าเขียนประโยคนี้หรือ”เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะอายๆ “ข้าเห็นจากหนังสือของอาจารย์ ก็เลยลองเขียนตามขอรับ”“เจ้าเข้าใจความหมายของคำสอนนี้หรือไม่” โม่ชิงเฉิงถามต่อทันที“ข้ารู้ว่าเป็นคำสอนของท่านขงจื๊อ สำหรับความหมายนั้น ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ข้าคิดเอาเองว่า..” เขาหยุดคิดสักพัก และเงยหน้าตอบอย่างมั่นใจว่า “เราไม่ควรโกหก ถ้าเราไม่รู้เรื่องนั้นจริง เพราะมันอาจจะส่งผลเสียหายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะการเป็นหมอขอรับ!”โม่ชิงเฉิงหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่เฟิงหลี่เฉียงมองอย่างไม่เข้าใจว่า เขาตีความผิดหรืออย่างไร แต่แล้วบัณฑิตโม่ก็ถามต่อด้วยแววตาป
last updateLast Updated : 2025-09-24
Read more
5
ชายร่างอ้วนไม่สนใจ เขาเดินกรากเข้ามาที่โต๊ะเพื่อจะลากตัวเด็กชายออกไป เฟิงหลี่เฉียงพยายามดิ้นรนและตะโกนด้วยความโมโหว่า “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”ลู่ปู่รีบลุกขึ้นและผลักชายคนนั้นออก “ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้! ไม่มีใครเอาเงินเจ้าไปนะ ปล่อย!”“พวกเจ้าร่วมมือกันละสิ!” ชายอ้วนไม่ยอมหยุด พวกเขาจึงยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้นจนเจ้าของร้านต้องรีบวิ่งบอกว่า “หยุดก่อน! ข้าวของพังเสียหายหมดแล้ว ออกไปทะเลาะกันข้างนอก!”ลู่ปู่ผลักอกชายคนนั้นออก ในที่สุดเด็กชายก็ยกแขนของอีกฝ่ายขึ้นและกัดลงไปเต็มแรง จนชายร่างอ้วนร้องออกมาด้วยความเจ็บ เฟิงหลี่เฉียงจึงดิ้นหลุดออกมาได้ ลู่ปู่พยายามดึงรั้งแขนอีกข้างของชายคนนั้นเอาไว้ เขาตะโกนขึ้นว่า “ใครก็ได้! ช่วยไปแจ้งที่อำเภอที ชายคนนี้จะทำร้ายพวกข้า!”เจ้าของร้านจึงสั่งให้ลูกชายรีบวิ่งไปแจ้งที่อำเภอ ในขณะที่บางคนก็พูดว่า “พวกเจ้าคืนเงินเขาไปเถอะ”บางคนก็พูดว่า “เจ้าสองคนนี้ ขโมยเงินเขาไปแล้ว ยังจะหัวหมออีก”ชายร่างอ้วนที่ฉุดกระชากลากถูอยู่กับลู่ปู
last updateLast Updated : 2025-09-25
Read more
6
และแล้ววันแรกที่เขาจะต้องไปเรียนกับโม่ชิงเฉิงก็มาถึง หลังจากที่นั่งสมาธิเสร็จ เด็กชายก็แต่งตัว กินข้าวเช้าและเดินไปที่บ้านของบัณฑิตผู้สันโดษ เขาเคาะประตูหน้าบ้าน และเดินตามพ่อบ้านเข้าไปข้างในบ้านไม่ไผ่หลังใหญ่นั้นโม่ชิงเฉิงรออยู่ในห้องหนังสือ ที่จุดตะเกียงเอาไว้สว่าง เด็กชายทำความเคารพ ในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้า บอกให้เขานั่งลง และเริ่มต้นการเรียนครั้งแรกบัณฑิตโม่เลือกสอนแนวคิดของขงจื๊อ ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาสำคัญที่ใช่ในการสอบจองหงวน (จอหงวน) มาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว เฟิงหลี่เฉียงฟังอย่างตั้งใจ และจดบันทึกลงสมุดด้วยพู่กันที่มีขนาดเล็กสำหรับเด็ก ถึงจะยังเขียนไม่เก่งมากนัก แต่เขาก็ใช้สัญลักษณ์บางอย่างแทนตัวหนังสือในตอนที่เขียนไม่ทันโม่ชิงเฉิงซึ่งจับตาดูอยู่ รู้สึกแปลกใจจนอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าจดอะไรลงไป”เด็กชายหัวเราะอายๆ “สัญลักษณ์ของข้าเอง เพราะข้า..ข้ายังเขียนอักษรหลายอย่างไม่คล่องขอรับ”บัณฑิตโม่เลิกคิ้วสูง เขาบอกให้เด็กชายอธิบายความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้ให้ฟัง เด็กชายอธิบายอย่างไม่มั่นใจนักแต่โม่ชิงเฉิงที่ฟังอยู่
last updateLast Updated : 2025-09-26
Read more
7
ต้วนเจี่ยซินกับลู่ปู่ ช่วยเด็กชายดึงข้าวของบางส่วนออกมา บางอย่างเขาก็ห้ามไม่ให้เด็กชายเอาไปด้วย “ทิ้งไว้อย่างนั้นดีกว่า มันเสียหายหมดแล้ว เจ้าอย่าเสียดายไปเลย” เด็กชายทำท่าไม่อยากจะทิ้ง เขาอยากจะเอาข้าวของทุกอย่างออกมาให้หมดแต่ชายชราสอนเขาว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าเสียดาย และของบางอย่างก็มีความหมายกับเจ้าและแม่ แต่ดูสิ ตอนนี้หิมะเริ่มละลายแล้ว หลายอย่างก็เสียหายเปียกขาดจนใช้ไม่ได้ ถ้าเจ้าฝืนเข้าไปเอามันออกมา ไม่รู้ว่าหลังคากับผนังจะถล่มลงมาตอนไหน รักษาชีวิตกับร่างกายเอาไว้เถิด ข้าวของเงินทอง ไม่ตายก็ยังหาใหม่ได้นะ เสี่ยวเฉียงเอ๊ย!”จริงสินะ เขายังมีเรี่ยวแรงยังมีทางหาเงินได้ แล้วเขาจะเสียดายไปทำไม แต่ชีวิตของเขาสิสำคัญกว่าข้าวของพวกนั้น เหตุการณ์วันนั้น สอนให้เฟิงหลี่เฉียงได้คิดหลายอย่าง ทั้งความไม่แน่นอนของชีวิต ทั้งคำว่าเหลือแต่ตัว และการรู้จักตัดใจทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตและร่างกายเอาไว้ โดยเฉพาะคำพูดของต้วนเจี่ยซินที่บอกเขาว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้นคนเราก็ยังหาเงินและข้าวของกลับคืนมาได้ และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายเฟิงหลี่เฉียง
last updateLast Updated : 2025-09-27
Read more
8
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งเฟิงหลี่เฉียงกับลู่ปู่จึงรีบกลับบ้านทันที เพราะพวกเขาจะต้องไปรอต้อนรับขบวนจากทางอำเภอ ที่จะเดินทางมาที่บ้านของเฟิงหลี่เฉียง เซิงหยวนคนล่าสุดที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่ง ถึงบ้านของพวกเขาจะอยู่ห่างไกล แต่ข้าราชการชั้นสูง และผู้มีฐานะหลายคนในอำเภอหรือในจังหวัด ต่างก็รู้ว่า ที่หมู่บ้านเชิงเขาแห่งนี้   เป็นที่พักของบรรดาเสือซุ่มมังกรซ่อนหลายคน ที่เคยมีชื่อเสียงในระดับประเทศ เมื่อข้าราชการจากอำเภอรู้ว่า เซิงหยวนอันดับหนึ่งของปีนี้พักอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงเข้าใจทันที และหลายคนก็ตื่นเต้นที่จะได้มาพบพวกเขาด้วยเป็นธรรมเนียมของทางการ ที่จะจัดขบวนแห่จากทางการเพื่อประกาศรายชื่อของผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่ง และจะเดินทางไปยังที่พักของพวกเขา บางคนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็จะไปประกาศที่โรงเตี๊ยม บางคนพักอยู่บ้านก็จะเดินทางไปประกาศที่บ้าน ซึ่งตลอดทาง ขบวนแห่จะมีการตีฆ้อง ทำให้ชาวบ้านได้รู้ว่า นักเรียนบ้านไหนที่ได้เป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งเช่นเดียวกับบ้านของเฟิงหลี่เฉียง ถึงจะอยู่ห่างไกล แต่ก็ต้องผ่านไปตามทางที่เป็นหมู่บ้าน ทำให้มีชาวบ้านออกมายืนดู และบางคนก็อยา
last updateLast Updated : 2025-09-28
Read more
9
เฟิงหลี่เฉียงซึ่งตื่นขึ้นมาเพื่อไปหาอาหารเช้ากิน ไม่สามารถเดินไปถึงตลาดที่ขายอาหารเช้าได้  จึงต้องหยุดยืนอยู่ริมถนนร่วมกับชาวบ้าน ตอนนี้ทหารในเมืองเริ่มกั้นถนนไม่ให้มีการสัญจรผ่านไปมาแล้ว เขาเห็นผู้คนจำนวนนับร้อยออกมายืนรอต้อนรับ ในมือของชาวบ้านหลายคนมีทั้งดอกไม้และผลไม้ถืออยู่ในมือ หญิงสาวจับกลุ่มอยู่ด้วยกันในมือถือผ้าเช็ดหน้าหลากหลายสี พวกเขาซุบซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นความตื่นเต้นต่อหน้า เด็กหนุ่มก็อดถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ว่า “พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงออกมารอต้อนรับท่านแม่ทัพมากขนาดนี้ละ”ชายวัยกลางคนกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และถามด้วยความไม่พอใจนิดๆ ว่า “ท่านไม่ใช่คนแถวนี้สินะ พ่อหนุ่ม”“ใช่” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นอีกฝ่ายจึงทำท่าเข้าใจและหยุดมองเขาด้วยสายตาหาเรื่อง  เขาจึงเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ท่านแม่ทัพเจิ้งเฉิงฉาน เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจที่สุดในตอนนี้ ท่านเป็นลูกชายคนโตของท่านแม่ทัพเจิ้งลั่วหลง หรือเจิ้งโหว[1] ท่านออกรบตั้งแต่อายุได้แค่ 14-15 ปี
last updateLast Updated : 2025-09-29
Read more
10
ในบ้านเช่าหลังเล็กแห่งหนึ่ง ในซอยเงียบสงบของชานเมืองหนานจิง เฟิงหลี่เฉียงที่มีอายุ 17 ย่าง 18 ปีแล้ว นอนหลับสนิทอยู่ที่ห้องนอนด้านใน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ตื่น เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่เพราะเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายการสอบเค่อจวี่คัดเลือกขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นการสอบที่เมืองหลวงหรือที่เรียกว่าการสอบฮุ่ยซื่อ ซึ่งแบ่งการสอบออกเป็น 3 ช่วงติดต่อกันช่วงแรกเป็นการสอบด้วยการตอบคำถาม 3 ข้อ เพื่อทดสอบการตีความหมายคัมภีร์หลักคำสอนของขงจื๊อ  ที่ศิษย์ของขงจื๊อเรียบเรียงขึ้น เป็นประมวลคำกล่าวของขงจื๊อและแสดงหลักคำสอน ที่เรียกว่า ซู หรือ ตำราทั้ง 4 [1] และยังมีการสอบวิทยศิลป์ 4 แขนง หรือวิทยศิลป์ 4 ของบัณฑิต นั่นคือ การเล่นพิณหรือกู่เจิ้ง หมากล้อม  ลายมืออักษรศิลป์ (พู่กันจีน) และ จิตรกรรมวาดเขียน ซึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงบางยุค มีการสอบการยิงธนูและขี่ม้าเพิ่มเติมมาด้วย ซึ่งรุ่นของเฟิงหลี่เฉียงก็ต้องสอบด้วยเช่นกันหลังจากนั้นในอีก 3 วันต่อมา จะเป็นการสอบช่วงที่สอง ซึ่งจะเป็นการเขียนเรียงความเชิงวิพากษ์ตามประเด็นที่ตั้งเอาไว้ จากนั้นเป็นการเขียนเรียงความเกี่ยวกับการ
last updateLast Updated : 2025-09-30
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status