1 ~ ศศินา
หญิงสาวรูปร่างเล็กโปร่งบาง ก้าวลงจากรถประจำทางที่พาเธอมาส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งของจังหวัดบนสุดของภาคเหนือ
ผมยาวเลยบ่าไปเล็กน้อยทำสีน้ำตาลคาราเมลดั่งหญิงสาวทั่วไปของเมืองกรุง หากแต่ที่บ้านป่าห่างไกลเมืองหลวงกลับดูแปลกตา
รูปร่างเล็กไม่เตี้ยไม่สูงสวมชุดเดินทางทะมัดทะแมงกางเกงยีนส์พอดีตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวใส่ข้างในกางเกงทับด้วยเข็มขัดเส้นเล็กแบรนด์ดัง ลากกระเป๋ามาตามเส้นทางขรุขระเพื่อลงจากถนนใหญ่ไปยังร้านขายของชำข้างทาง
ศศินา จิตกูร จากบ้านไร่แห่งนี้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพเสียหลายปีจนแทบจำทางกลับบ้านไม่ได้ ความเจริญได้แทรกเข้ามาถึงในหมู่บ้านแห่งนี้ สังเกตได้จากความทันสมัย ไม่ว่าโทรทัศน์จอใหญ่หรือโทรศัพท์มือถือที่ป้าแม่ค้าถืออยู่ในมือ
“ป้าคะ อยากจะหารถเข้าไร่เดือนฉาย ไม่รู้ว่าจะพอมีใครรับจ้างพาเข้าไปไหมคะ”
ป้าแม่ค้าเงยหน้าขึ้นจากโซเซียลมีเดียในมือจ้องหน้าหญิงสาวหน้าตาสวยแต่งเครื่องสำอางบางเบา ดูท่าทางเหมือนไม่ใช่คนพื้นถิ่น
“จะเข้าไปทำไมล่ะ”
“คือหนูจะกลับบ้านค่ะ ไร่เดือนฉายเป็นบ้านของหนู”
ป้าแม่ค้าผงะเล็กน้อยใบหน้าเจื่อนแล้วจึงโบกมือให้ไปหาคนบ้านข้าง ๆ ที่มักจะรับจ้างขนของเข้าไร่อยู่เป็นประจำ
“โน้น ลองไปถามบ้านนั่นดู ลุงแกขับรถรับจ้าง”
ศศินาเดินไปยังบ้านหลังข้าง ๆ มือเรียวยังลากกระเป๋าหรูสีน้ำตาลเข้มใบย่อมที่กระดอนขึ้นลงตามหินสีแดงก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง
“มีใครอยู่ไหมคะ สวัสดีค่ะ”
หน้าหวานดวงตากลมโตกวาดสายตาโดยรอบบ้านพร้อมชะเง้อมองเข้าไปขณะตะโกนถามเสียงไม่ดังมากนัก กระทั่งศศินาเห็นผู้ชายคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาจากในบ้านจ้องเธอเขม็ง กวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะตะโกนตอบ
“มาหาใครล่ะสู[1]”
“หาคนเหมารถพาเข้าไร่เดือนฉายจ๊ะลุง พอจะมีไหม”
ลุงเปิดประตูออกมาจ้องเธออีกครั้ง คิ้วลุงขมวดเป็นปมเมื่อไล่สายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“บ่อู้กำเมือง บ่แม่นคนแถวนี้ก๋า แล้วสูจะไปเญี่ยะหยั่ง[2]”
“กลับบ้านจ๊ะลุง”
“นั่นกำลังมีงานปอย[3]”
“จ๊ะ พ่อเลี้ยงตาเป็นพ่อหนูเองจ๊ะ”
“หา นี่หนูเดือนหรอกหรือเนี่ย ป้าดโท่ะโตเป็นสาวลุงจำไม่ได้เลย ลุงเสี้ยงใจ๋โตยเน้อ[4] กำเดียวลุงพาไป”
โชคดีที่ลุงคนนี้เคยรู้จักเธอมาก่อน แม้ว่าเธอจะจำไม่ได้ก็ตาม ศศินายืนรอลุงที่ผลุบเข้าบ้านไปหยิบข้าวของเตรียมตัวออกไปส่ง เธอเห็นรถกระบะตอนเดียวคันเก่าที่จอดอยู่ในโรงจอดรถ
ศศินาคุ้นเคยกับคนพื้นถิ่นแถวนี้เป็นอย่างดีแม้จะไม่รู้จักชื่อชาวบ้านก็ตาม
“ไป๋กั๋นเต๊อะ”
ร่างเล็กขึ้นรถคันเก่าที่ลุงถอยออกจากโรงจอดรถขับมุ่งเขาถนนใหญ่อีกครั้งแล้วเลี้ยวซ้ายลงถนนแดงลูกรังเข้าสู่เนินกว้างหุบเขาเป็นทางลงยาว
ความทรงจำในวัยเด็กที่เติบโตมาแถบนี้ ภูเขาทุกลูกคือบ้าน ทางสีแดงคือสวน ห้วยน้ำคือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เด็กสาววัยเยาว์มักปั่นจักรยานหรือไม่ก็ขี่จักรยานยนต์ตระเวนไปทั่วเนินเขาเหล่านี้
เพียงลุงขับไปไม่นานเธอจึงได้เห็นเนินเขาข้างหน้าสุดลูกหูลุกตา ปลูกไร่ชาลดหลั่นเป็นขั้นบันไดไปตามไหล่เขาสวยงามจับตา มองตามด้วยแววตาประหลาดใจจนลุงคนขับต้องช่วยสาธยาย
“พู้น ของป้อเลี้ยงแสง เจ้าบ่ได้ปิ๊กเฮือนเมินนาน[5] คงบ่เคยหัน”
ศศินายังมองเนินเขาไร่ชาเหลียวหลังแม้ว่ารถจะขับเลยเพื่อเลี้ยวเข้ารั้วทำจากลวดหนามง่าย ๆ และประตูไม้บานใหญ่ที่เริ่มโทรมไร้คนดูแล
[1] คำสรรพนามบุรุษที่สอง ใช้แทนได้ทั้งชายและหญิง
[2] จะไปทำไม
[3] งานศพ
[4] เสียใจด้วยนะ
[5] นานมาก
บทพิเศษ 2ใจดวงเล็กทั้งตื่นตระหนก ทั้งตื่นเต้นปะปนคละเคล้ากันไป กายสาวสั่นระริกไปทั่วร่าง สัมผัสแปลกใหม่ทำสาวแรกรุ่นใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งอยากรู้อยากลอง ต้องการเป็นของเขาทั้งตัวทั้งใจ ยินยอมขยับต้นขาเปิดออกให้ปลายนิ้วแทรกลงกลางไรขนอ่อนนุ่มราวผ้าไหม“เดือน อ่า นุ่มมือมาก”หน้าเข้มขยับเลื่อนขึ้นซอกคอสูดกลิ่นกายสาวดูดขบเม้มเนื้ออ่อนใกล้จุดชีพจรแสนอ่อนไหวตรงฐานลำคอนิ้วสัมผัสกายสาวฉ่ำชื้นแทรกลงตรงกลางกลีบแหวกออก ส่งนิ้วชี้ลูบไล้จนกระทั่งพบเม็ดเล็กกลางร่องงาม ร่างเล็กสะดุ้งขึ้นยามเขากดลงแรงคลึงเม็ด“เดือนจ๋า คนดี พี่ขอได้ไหม”สาวน้อยไร้ประสบการณ์ไม่เข้าใจสิ่งที่พันแสงถาม เธอเอียงหน้าไปอีกทางยามเขาซุกไซ้ลำคอ มือแกร่งด้านล่างยังล้วงลึก อีกมือกอบกุมทรวงงามบีบเคล้นลงแรงเต็มมือ ร่างเล็กนอนระทวยทำได้เพียงแอ่นร่างรับไฟพิศวาสส่งเสียงครางในลำคอ กระทั่งนิ้วของคนด้านบนเริ่มสอดใส่เข้าไปทางร่องรักจึงได้รู้สึกตัว“พี่แสง อ่า ไม่ได้นะ อื้อ อ่า อย่า อย่าสอดนิ้วเข้าไป”เสียงห้ามปรามแผ่วเบาปนกระเส่า น้ำหวานเอ่อล้นสวนทางกลับเสียงร้องทักท้วง นิ้วยาวเรียวส่งเข้าทาง แม้ว่าไม่ถนัดถนี่นักแต่ยังพอเข้าไปได้“โอ้! เด
บทพิเศษ 1หกปีที่แล้ว“มา ๆ หนูเดือน มากินกัน”ศศินารีบวิ่งนำพันแสงมาจากทางเนินเขาหลังบ้านเมื่อได้ยินเสียงคุณน้าระพีร้องเรียกแต่ไกล“พี่แสง เร็ว ๆ สิ เดือนหิวแล้วนะ”เสียงหัวเราะหวานใสบนใบหน้าของเด็กสาววัยสิบเจ็ด พวงแก้มยุ้ยออกเล็กน้อยด้วยโฮร์โมนวัยรุ่น ผมเลยติ่งหูแต่ไม่ประบ่าพันแสงมองตามร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์สีซีดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งลายสก็อตสีแดงตัวเก่งที่ศศินาชอบสวม เธอวิ่งไปหัวเราะไปจนเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินหยอกล้อไปกับเสียงหวานใสผสมผสานเสียงของลมหนาวที่กำลังพัดผ่าน นำกลิ่นใบยาสูบที่บ่มอยู่ในโรงบ่มกำจายโดยรอบบ้านไม้สองชั้นกลางไร่ยาสูบชัยสงคราม“ค่อยเดินสิ ประเดี๋ยวก็ล้ม”“ไม่หรอกค่ะ ฮ่า ฮ่า เร็วสิ พี่แสงเดินอย่างกับคนแก่”“พี่ไม่ใช่คนแก่สักหน่อย”ศศินาหยุดแล้วหันหลังกลับมายืนเท้าสะเอวมองตรงไปทางร่างสูงใหญ่ผิวสีเข้มผิดไปจากคนเหนือทั่วไป เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มใส่ในกางเกงยีนส์คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลธรรมดา สวมรองเท้าบูธสำหรับใส่ในไร่สีดำ ผมยุ่งเหยิงจากแรงลมที่พัดไปมารอบตัว ดวงตาสีนิลจ้องตอบเธอเปล่งประกายเจิดจ้ามีความสุขวันนี้พันแสงเรียนจบปริญญาโทดั่งที่ตั้งใจไว้ เขากลับมาอยู่บ้านเพื่
บทที่ 30 ~ จบบริบูรณ์พันแสงหยุดรถกลางทางมองศศินาที่หันจ้องหน้าเขาแววตาสงสัย หน้าคมเข้มยิ้มกว้างยกมือเล็กขึ้นจูบ“วันนี้คนที่บ้านเยอะหน่อยนะ”“อะไรนะคะ คนอะไรกันคะ คนงาน?”พันแสงหัวเราะเบา ๆ ชะโงกหน้าจูบปากหวานจิ้มลิ้มแล้วถอยห่างออกมา“เราจะไปไร่ชัยสงครามกัน”“อ้าว ทำไมคะ เดือนจะกลับบ้านนะ”พ่อเลี้ยงปล่อยมือสาวร่างเล็ก หันไปขับรถต่อแต่เลี้ยวเข้าทางไร่ชัยสงครามปล่อยให้ศศินามึนงงสงสัย กระทั่งเข้ามาถึงปากทางเข้าบ้านจึงเห็นลานบ้านมีแต่โต๊ะงานเลี้ยงและเวทีเล็ก ๆ กลางลาน“มีงานเหรอคะ งานอะไรกัน”ศศินาชะเง้อมองคนงานที่กำลังทำอาหารกันวุ่นวาย มีแขกมาบ้างแล้วนั่งอยู่ที่โต๊ะ“งานแต่งงาน”“หื้อ งานแต่งงานใครคะ”ศศินาเอี้ยวใบหน้าหวานคมกลับมาที่พันแสง เห็นสีหน้ายิ้มกรุ่มกริ่มไม่พูดอะไรแล้วลงจากรถไปเธอรอให้เขาอุ้มร่างเล็กลงรถแล้วประคองเธอเดินตัดผ่านลานบ้านไปยังตีนบันไดขึ้นบ้าน“มากันแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาว”ศศินาทวนคำในใจ เจ้าบ่าวเจ้าสาว เธอมองบนบ้านห้อยทั้งสายสิญจน์และดอกไม้ประดับประดาเต็มเรือน“ไปห้องพี่ก่อน”ศศินาถูกจูงมือแม้เธอจะยังเหลียวหลังมองข้าวของบนเรือน ทั้งบายศรี และยังพานพุ่มดอกไม้เธอก้า
บทที่ 29 ~ ได้โปรดพันแสงขับรถด้วยความเร็วลงเนินเขา ใจเต้นโครมครามเมื่อนึกถึงใบหน้างาม เขามีเรื่องจะบอกเธอ คำพูดที่เขาติดค้างเธอไว้เมื่อหกปีก่อนชายหนุ่มลดความลงเร็วเมื่อถึงโค้งหักศอกใกล้ตีนเขา สังเกตเห็นรถมูลนิธิข้างทางและรถของฝูงชนที่มุงดูเหตุการณ์อีกฝั่งเป็นรถหกล้อบรรทุกรวงข้าวคงกำลังเร่งเพื่อไปให้ทันโรงสีปิดจนเกิดเหตุเขาชะลอรถเพื่อดูรถของผู้เสียหาย แสงอาทิตย์ยามเย็นพาดผ่านเหลี่ยมเขาแมกไม้เป็นเงาทอดยาวสีทองส่องไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่“ไม่ ไม่ ไม่!!”“เอี๊ยด!!”เขาตบพวงมาลัยเข้าข้างทางกะทันหัน ลงจากรถวิ่งข้ามถนนไปยังรถเกิดเหตุอย่า! ขอเถอะ! อย่าเป็นอย่างที่เขาคิด อย่า! ได้โปรด!ช่วงเวลาช่างยาวนานในระหว่างที่เขากระโดดก้าวข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม หัวใจเต้นถี่รัวและบีบรัดแน่น ช่องท้องมวนขึ้นตีจนจุกถึงลิ้นปี่“ป้อเลี้ยง! มาทำอะไรครับ เดี๋ยวครับ”พันแสงไม่ฟังเสียงห้าม เขาแหวกคนมูลนิธิเข้าไปใกล้รถที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่เห็นร่างเล็กในรถ“เธออยู่นี่ครับ”พันแสงมองหน้าคนมูลนิธิ สติยังไม่กลับคืนมา เขามึนจนแยกไม่ออกว่าเสียงที่พูดหมายถึงอะไร“ป้อเลี้ยง ป้อเลี้ยง รู้จักคนในรถเหรอครับ”หน้าคม
บทที่ 28 ~ พราวพิลาสมือใหญ่ยังตัดขนมสาคูไส้หมูออกเป็นสองชิ้นก่อนจะใช้ส้อมเล็กจิ้มเข้าปากตามด้วยพริกเม็ดใหญ่และผักสด มองหน้าแม่รอคำถามต่อไป“เรื่องหนูเดือน”“ครับหนูเดือน”“เขาลือว่าเห็นลูกจูบกันกับหนูเดือนที่หน้าร้านเบเกอรี่ที่หนูเดือนเป็นเจ้าของ จริงหรือเปล่า”“ครับ จริง”เขาจิ้มสาคูชิ้นที่เหลือเข้าปากตามด้วยพริกสดและผัก“ฝีมือแม่อร่อยเหมือนเคย แล้วยังไงครับ”“กะ ก็ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ทำไมแม่ไม่รู้”เขาวางส้อมลงแล้วหยิบน้ำขึ้นดื่ม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะวางแก้วน้ำลง“ก็ประมาณสามเดือนครับแม่ ตั้งแต่เดือนกลับมางานศพพ่อเลี้ยงตา”ระพีสะดุ้งตกใจ สามเดือนนั้นมันถือว่านานพอสมควร แล้วลูกชายของเธอก็ปิดบังเรื่องนี้มาตลอด“ตอนนี้ผมกับเดือน เรา เอาเป็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วครับแม่”“ได้ยังไง ก็ ก็ลูกอยู่บ้านตลอด”“ผมจะไปเฉพาะช่วงกลางคืนแล้วค่อยกลับมานอนบ้านครับ”“แสง!!”ระพีร้องอุทาน เธอนึกถึงเด็กสาวอายุสิบเจ็ดร่างเล็กที่เธอเห็นครั้งสุดท้ายในวันเพลิงไหม้ มือเล็กของศศินาประคองร่างเธอไว้ไม่ให้ล้มโดยที่พันแสงยืนชี้หน้าเด็กสาวคนนั้น“แสง แสงบอกแม่สิว่า แสงไม่ได้ทำลงไปเพราะอยากจะแก้แค้น”พันแ
บทที่ 27 ~ อดีตยากจะฝังกลบ“แม่อุ๊”แม่อุ๊ร่างท้วมวางไม้กวาดทางมะพร้าวพิงไว้กับเสาบ้าน เดินไปหาพ่อเลี้ยงพันแสงที่ยืนเสียงอยู่ตรงตีนบันได“เจ้า ป้อเลี้ยง”“ฉันมีเรื่องจะถาม”พันแสงเดินลงมุดเข้าใต้ถุนบ้านที่เตี้ยเกินไปสำหรับเขานั่งลงบนแคร่ไม้ข้างใต้บทที่“ป้อเลี้ยงจะถามหยั่งข้าเจ้า”“เรื่องรอยบนหลังของเดือน”แม่อุ๊สะดุ้งจ้องหน้าเข้มดุเอาเรื่อง นึกสงสัยพ่อเลี้ยงเห็นรอยแผลของคุณหนูได้ยังไง“คุณหนูบ่หื้อผู้ใด๋อู้”“แต่แม่อุ๊ต้องพูด”ร่างท้วมเหลียวมองไปบนบ้านยังได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำแล้วจึงหันกลับมาหาพ่อเลี้ยง“ก็เมื่อปี๋นั้นคืนที่ฉลองงานรับปริญญา ป้อเลี้ยงจำได้ก๋า”พันแสงพยักหน้า เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไรในเมื่อเขาพาสาวน้อยแวะเข้าข้างทางแล้วทำให้เธอต้องเสียสาวเป็นครั้งแรก“ป้อเลี้ยงมาส่งเปิ้นสะค่อนดึ๋ก ป้อเลี้ยงตาเกี้ยดนั่ก[1] เจ๊า[2]มาหื้อคนงานมัดคุณหนูกับเสาพู้น”พันแสงมองตามมือแม่อุ๊ไปที่เสากลมหน้าสุดของใต้ถุนบ้าน หน้าคมเข้มเริ่มเปลี่ยนสี“มัด?”“เจ้า เปิ้นสั่งคนงานมาหันเปิ้นลงแส้ แฮงนั่ก ตะโกนลั่น หื้อจำไว้บ่าต้องแอ่วบ้านป้อเลี้ยงอีก ไม่งั้นเปิ้นจะเผาไฟไร่ชัยสงคราม โอ้ย!ป้อเลี้ย