ร่างบอบบางที่มีเพียงกระเป๋าหนึ่งใบและร่มหนึ่งคัน เดินฝ่าสายฝนไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมหยุดพัก แม้จะมีร่มที่คอยบังสายฝนไว้ได้บ้าง แต่ลมที่แรงก็ทำให้ร่างของเธอเปียกชื้นไม่น้อย กายเล็กสั่นเทาแต่ก็กัดฟันทน เป้าหมายของเธอคือต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลที่ห่างออกไปอีกสามกิโลให้ได้ เพราะเธอฝืนเดินต่อจนถึงโรงแรมในตัวเมืองไม่ไหว และโรงพยาบาลก็เป็นตัวเลือกเดียวที่เธอจะสามารถเข้าไปขอพักแรมได้สำหรับคืนนี้ และอาจจะขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันปอดบวมด้วย สภาพมอมแมมขนาดนี้พยาบาลคงไม่ใจร้ายหรอกมั้ง...
เวลาเกือบตีสามท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ถนนที่ชมพู่เดินมีบางจุดที่ปูยางมะตอยเป็นอย่างดี แต่ก็มีบางจุดที่เป็นทางลูกรังทำให้เดินลำบาก ข้างทางทั้งสองข้างเป็นสวนและไร่นาไม่มีบ้านคนเลย คงเพราะชาวบ้านที่นี่นิยมปลูกบ้านลึกเข้าไปด้านในที่ดิน และทำสวนทำนาชิดกับถนนเหมือนกับบ้านของเธอ ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นรถหรือคนผ่านมาแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนต่างจังหวัด เพราะสองทุ่มก็พากันปิดบ้านนอนจนหมดเป็นเรื่องปกติ
ชมพู่เดินไม่หยุดมาได้ราวเจ็ดกิโลแล้ว อีกสองกิโลกว่าๆ ก็จะถึงโรงพยาบาลที่เป็นจุดหมายปลายทางของค่ำคืนนี้ ที่จริงตอนนี้เธอควรใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่เพราะฝนตกลงหนักเหมือนไม่เป็นใจจึงทำให้ทุกอย่างล่าช้าลง
หญิงสาวก้มหน้าลงเมื่อลมหอบเอาเม็ดฝนเม็ดใหญ่เข้ามากระทบใบหน้าและดวงตา เธอรู้สึกแสบจนต้องหยุดเดินและหลับตานิ่งไว้เพื่อให้ดวงตาหายระคายเคือง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีรถคันหนึ่งกำลังวิ่งมาตรงหน้า
เอี๊ยดดดดดด!!!
ปริ๊นนนนนน!!!
“เฮ้ยยยย!”
เสียงใสร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่ารถกระบะคันใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาใกล้ แสงไฟที่สว่างโร่ทำให้เธอต้องหลับตาลงอีกครั้ง ขาทั้งสองข้างก้าวหนีไม่ออก แถมยังสั่นจนทำให้ร่างทั้งร่างล้มลงไปกองกับพื้นอีก
ตายแน่ๆ
เธอตายแน่
สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดตอนที่รู้ว่ากำลังจะตายคือรอยยิ้มของคนในครอบครัว รอยยิ้มของพ่อ แม่ พี่ชาย และสองแสบ น้ำตาของแม่ตอนที่ไปงานรับปริญญาของเธอ มืออุ่นๆ ของพ่อที่ลูบหัวเบาๆ ตอนที่เธอกราบอกท่าน อ้อมกอดอุ่นๆ ของพี่พร้าวที่โอบกอดเธอไว้ตอนที่เธอไม่สบาย เสียงหัวเราะของเธอที่ประสานกับเสียงหัวเราะของไอ้เปี๊ยกและไอ้ลม
เธอจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเจออะไรพวกนี้อีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
ทำตัวเองแท้ๆ จะไปโทษใครได้
“พ่อ แม่ พี่พร้าว ฉันขอโทษ ฉันทำให้ทุกคนเสียใจอีกแล้ว”
ซ่าาา
“ฉันขอโทษ ฮึก”
. .
“ถนนที่จะไปโรงพยาบาลถูกน้ำเซอะจนใช้การไม่ได้นะครับ”
เสียงใคร?
“ครับ พรุ่งนี้รบกวนรีบเข้ามาซ่อมด้วยนะครับ เพราะถนนเส้นนี้เป็นเส้นเดียวที่คนจากหมู่บ้าน xxx จะเดินทางไปโรงพยาบาลได้ ฝากด้วยนะครับ”
ชมพู่ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า เธอหลับตานิ่งๆ และแสร้งว่ายังไม่ตื่นจนเสียงที่รู้สึกว่าคุ้นหูเหลือเกินนั้นเงียบไป และหลังจากนั้นเพียงไม่นานตัวเธอก็ลอยได้
ไม่ใช่ลอยได้สิ แต่เธอกำลังถูกอุ้ม???
เธอจะถูกอุ้มไปไหน แล้วใครคือคนที่กำลังอุ้มเธอ??
เธอไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยซักอย่าง จะทำยังไงดี?
แม้จะกังวล แต่เพราะความกลัวทำให้ชมพู่ไม่กล้าลืมตา ไม่กล้าโวยวาย ไม่กล้าแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้ว่าตื่นแล้ว ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้าคนที่อุ้มเธออยู่รู้ว่าเธอตื่นแล้ว มันอาจจะฆ่าเธอทิ้งก็ได้ เพราะฉะนั้นทำตัวเหมือนยังสลบอยู่ไว้ แล้วค่อยคิดหาทางหนีดีกว่า
ชมพู่มั่นใจแล้วว่าตัวเองยังไม่ตาย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร และกำลังเจอกับอะไรอยู่ แต่สิ่งที่หญิงสาวมั่นใจคือเธอกำลังตกอยู่อันตราย ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หวังดีกับเธอแน่ๆ
เพียงไม่นานแผ่นหลังของเธอก็ได้สัมผัสกับอะไรนุ่มๆ ก่อนที่วงแขนของอีกฝ่ายจะผละห่าง เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินห่างออกไป ในเวลานั้นเองที่ชมพู่ลืมตาขึ้น
ดวงตาที่ปิดมานานเมื่อเจอกับแสงที่สว่างจ้าจึงทำให้ปรับตัวไม่ทัน เธอหลับตาลงอีกครั้ง และค่อยๆ ลืมตาขึ้นใหม่
“ที่ไหนวะเนี่ย”
ชมพู่กวาดตามองไปรอบๆ ที่ๆ เธออยู่ตอนนี้น่าจะเป็นห้องนอนของใครซักคน เตียงที่เธอนอนมีสีขาวสะอาด ทั้งห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะวางหนังสือและโน๊ตบุ๊คอยู่ข้างเตียง และเมื่อสังเกตดีๆ เธอก็เห็นว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับชิ้นส่วนของมนุษย์
หรือว่า!?
ชมพู่ยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว
เธอต้องหนี ต้องหนีแล้ว
กุกกัก!
ยังไม่ทันได้ขยับตัวจากที่นอนนุ่ม เสียงประหลาดก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องจนตากลมต้องรีบปิดลงทันที เสียงประตูถูกเปิดออกและปิดลง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้
มันกลับมาแล้ว
เตียงยวบลงจนชมพู่แอบหายใจติดขัด ก่อนจะเลิกเกร็งตัวแล้วบังคับลมหายใจให้เข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ เธอจะให้ มัน รู้ว่าเธอจะตื่นแล้วไม่ได้ ให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด!
อีกฝ่ายเริ่มขยับตัว ก่อนที่ชมพู่จะรู้สึกว่ากระดุมเสื้อที่เธอใส่อยู่กำลังถูกปลด ไม่มีภาพช้า ไม่มีการสโลวโมชั่นแบบในละคร เพียงแค่ไม่ถึงสามสิบวินาที เสื้อเชิ้ตสีดำของเธอก็ถูกเปิดกว้าง
หญิงสาวรู้สึกกระดากในใจ ตั้งแต่อาบน้ำเองเป็นเธอก็ไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูอีกเลย แล้วไอ้บ้านี่เป็นใครถึงได้มาทำกับเธอแบบนี้ เธออยากจะเลิกแกล้งหลับแล้วลุกขึ้นเตะก้านคอมันจริงๆ แต่เพราะเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอาวุธอะไรหรือเปล่า พลีพลามไปเธอคงได้กลายเป็นร่างไร้วิญาณในบ้านหลังนี้แน่ๆ
มันขยับเข้าใกล้ตัวเธออีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ยกตัวเธอขึ้น ชมพู่พยายามปล่อยตัวเองให้เป็นธรรมชาติที่สุดเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ มันจับตัวเธอให้เอนไปซบกับตัวของมัน แล้วจับเสื้อที่ปลดกระดุมไว้แล้วออกทางด้านหลัง รวมถึงปลดตะขอเสื้อในเธอด้วย
หมดแล้ว เธอไม่เหลืออะไรแล้ว
มันวางเธอนอนลงอีกครั้ง ก่อนจะขยับออกห่างเพียงครู่เดียว แล้วกลับมาพร้อมกับผ้าเปียกน้ำอุ่นๆ ที่ถูลงบนร่างกายท่อนบนของเธอเบาๆ
มันกำลังเช็ดตัวให้เธอ
ชมพู่แปลกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ แต่ก็ยังข่มตาแสร้งหลับต่อไป เมื่อมันเช็ดเนื้อตัวท่อนบนเสร็จ เสื้อหนาๆ ตัวหนึ่งก็ถูกสวมใส่ลงบนร่างกายของเธอ
มันขยับลงไปทำเช่นเดียวกันกับร่างกายท่อนล่าง ชมพู่ขากระตุก เกือบจะยกขึ้นเตะก้านคออีกฝ่ายไปแล้วตอนที่มันถอดกางเกงชั้นในเธอออก หญิงสาวตั้งสติ บอกตัวเองให้อดทน และให้สัญญาว่าถ้ารอดไปได้ เธอจะจิ้มตามันให้บอด โทษฐานที่มามองร่างกายที่แสนหวงแหนของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้!
ทุกอย่างเกิดขึ้นไม่ต่างจากร่างกายท่อนบน ผ้าที่ชุบน้ำอุ่นๆ เช็ดไปตามเรียวขาของเธอโดยที่เว้นส่วนสงวนเอาไว้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยร่างกายเธอก็ลอยขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะถูกวางลงในเวลาต่อมา สัมผัสที่แผ่นหลังยังนุ่มเหมือนเดิม หญิงสาวเดาว่ามันแค่อุ้มเธอมาวางบนเตียงอีกด้านที่ไม่เปียก เธอนอนนิ่ง แม้ในใจจะมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด
หลังจากนั้นไม่นานก็มีผ้าหนาๆ มาคลุมร่างเธอไว้จนถึงคอ โดยที่ท่อนล่างยังเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้นเดียว เธอพยายามนอนนิ่งให้เหมือนคนหลับมากที่สุด และอดทนรอให้อีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปถึงได้ยอมลืมตาขึ้นมา
“อะไรวะ”
ชมพู่มองห้องที่ถูกปิดไฟกลางห้อง เปิดไว้แค่ไฟหัวเตียงด้วยความงุนงง เธอคิดว่ามันจะชำแหละร่างกายเธอไปแล้วเสียอีก หรือเลวร้ายที่สุดก็อาจจะข่มเหงเธอ แต่กลายเป็นว่ามันดูแลเธอดีเหมือนเป็นญาติตัวเอง ตอนที่เช็ดตัวเธอก็สัมผัสได้ว่ามืออีกฝ่ายไม่ยอมแตะลงบนตัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือว่าเขาจะไม่ใช่คนเลว?
ชมพู่เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เธอค่อยๆ ย่องลงจากเตียงและเดินไปที่ประตู แอบแง้มประตูออกเล็กน้อยเพื่อมองคนที่อยู่ด้านนอก อีกฝ่ายยืนหันหลังและกำลังดื่มน้ำอยู่ เสื้อที่ใส่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ส่วนกางเกงเป็นกางเกงสแลคสีดำ รูปร่างสูงใหญ่เหมือนฝรั่ง ผิวบางส่วนขาวจัดแต่บางส่วนก็คล้ำเหมือนโดนแดดมานาน
“อ๊ะ!”
เธอรีบปิดประตูด้วยความตกใจทันทีที่อีกฝ่ายหันกลับมา ไม่ทันได้มองหน้าว่าคือใคร ก่อนจะรีบตรงไปที่โต๊ะหนังสือเพื่อดูหนังสือเล่มนั้นให้กระจ่าง เธอเพิ่งสังเกตว่าโน๊ตบุ๊คที่วางไว้หายไป เขาคงหยิบออกไปด้วย
“อ้าว นี่มันหนังสือแพทย์นี่” ชมพู่เปิดหนังสือในมืออีกครั้งเพื่อความมั่นใจ หนังสือแพทย์จริงๆ ด้วย เป็นหนังสือที่อธิบายรายละเอียดร่างกายของมนุษย์และอวัยวะต่างๆ “เป็นหมออย่างนั้นเหรอ มิน่า...”
มือบางวางหนังสือเล่มหนาไว้ที่เดิม รู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลว แถมยังเป็นถึงหมออีกด้วย เธอกระโดดขึ้นเตียงและมุดตัวเข้าผ้าห่มอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อกี้ที่ลุกไปมันรู้สึกเย็นด้านล่างแปลกๆ ก็เธอไม่ได้ใส่อะไรเลยนี่นา...
“ถ้าเป็นหมอ ก็คงไม่ใช่คนเลว” ชมพู่สรุปกับตัวเอง แอบขอโทษคุณหมอในใจที่เผลอคิดว่าเขาเป็นคนชั่ว ก็ใครจะไปรู้เล่า
มือบางยกขึ้นปิดปากหาว พอได้ผ้าอุ่นๆ ห่มในอากาศเย็นๆ แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นจนอยากหลับ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว เธอก็ขอหลับเอาแรงก่อนก็แล้วกัน ไว้ตอนเช้าค่อยขอบคุณคุณหมอแล้วค่อยออกเดินทางต่อไปที่แม่ฮ่องสอน จุดหมายปลายทางที่เธอตั้งใจจะไป
เพียงไม่นานดวงตากลมโตก็ปิดลง ชมพู่หลับสนิทอย่างรวดเร็วเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่เผชิญมาทั้งวัน เธอหลับลึกจนไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างใหญ่ๆ ของใครบางคนที่เดินเข้ามา...
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ