“คุยกับชมพู่เข้าใจแล้วจริงๆ หรือแม่”
บ่ายวันศุกร์ที่อากาศร้อนจัดจนอบอ้าว กำนันม่วงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนแคร่ไม้ตัวโปรด โดยที่มีเมียรักนั่งปอกผลไม้อยู่ข้างๆ
“ก็ใช่น่ะสิ” อรอนงค์ตอบโดยไม่ลังเล เธอคุยกับลูกแล้ว และลูกก็ยอมเข้าใจแล้วด้วย ไม่รู้ว่าผัวเธอจะถามทำไมนักหนา บอกไปรอบที่สิบได้แล้วกระมัง
“แต่มันแปลกๆ นา ตอนนี้ชมพู่มันไม่เหมือนกับชมพู่ที่ฉันเคยรู้จักมาทั้งชีวิตเลย” กำนันม่วงยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าลูกสาวตัวดีจะสงบได้ขนาดนี้ แถมยังออกไปเที่ยวเล่นกับไอ้เปี๊ยกไอ้ลมเหมือนไม่ได้กำลังถูกบังคับให้แต่งงานเลยแม้แต่นิด เด็กหัวรั้นแบบชมพู่มันยอมง่ายเกินไปจนผิดปกติ
“เอ้า พ่อนี่!” อรอนงค์ชักยัวะ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้มีผัวขี้สงสัยนัก “ลูกมันยอมง่ายๆ ก็ไม่ชอบ หรืออยากให้มันพยศแล้วหนีออกจากบ้านไปล่ะ”
“อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นสิแม่” กำนันม่วงรีบร้องเตือน ตนก็กลัวอยู่เหมือนกัน สามวันมาแล้วลูกสาวยังอยู่ดีกินดีและไม่หนีหายไปไหนก็เบาใจได้บ้าง แต่พอเมียมาสะกิดเข้าก็เริ่มระแวงอีกครั้ง
“โฮ๊ะ!! ฉันไม่คุยด้วยแล้ว อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ คนแก่ขี้สงสัยแถวนี้ก็มาทำให้หงุดหงิดอีก” อรงอนงค์หยิบข้าวของมาถือไว้ ก่อนจะเดินปึงปังขึ้นเรือนไป ทิ้งให้กำนันม่วงมองตามตาละห้อย สงสัยต้องง้อยาวอีกแล้วแบบนี้
.
.
“พี่พู่จะแต่งงานกับปลัดจริงๆ เหรอ” ลมเอ่ยถามลูกพี่สาว ระหว่างที่นั่งมองอีกฝ่ายจับปลาอยู่ในนา
“ถามไมวะ”
“เอ้า! ก็พี่ไม่ได้รักเขา แล้วพี่จะแต่งงานกับเขาได้ยังไง”
เปี๊ยกเอ่ยเสริม พวกเขารู้จักชมพู่มาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้ว่าชมพู่มีนิสัยอย่างไร การที่ชมพู่ไม่โวยวายเรื่องถูกที่พ่อกำนันจับแต่งงานกับปลัดแบบนี้ เขากับไอ้ลมลงความเห็นว่าผิดปกติสุดๆ
“ทำไงได้ ไม่แต่งแล้วจะให้ฉันทำยังไง ขู่ว่าจะฆ่าตัวตายดีไหม”
“เฮ้ย! ไม่เอาพี่! ทำไมคิดสั้นแบบนั้นเล่า”
“ยังไม่ได้คิดเลยโว้ย! แค่ประชด!!” ชมพู่โยนโคลนใส่สองแสบอย่างอารมณ์เสีย วันนี้ไม่ได้ปลาซักตัว แถมยังต้องมาตอบคำถามในเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงแบบนี้อีก
“โธ่พี่พู่ ก็พวกเราเป็นห่วงพี่นี่นา”
“ใช่ พวกเราไม่อยากให้พี่พู่ถูกบังคับ ไม่อยากให้พี่เครียดด้วย”
“เออๆ ฉันซึ้งใจแล้ว แล้วก็ไม่ได้เครียดอะไรด้วย ขอบใจที่เป็นห่วง” ชมพู่ตัดบท ก่อนจะเดินขึ้นมาบนคันนา “กลับบ้านเหอะ ไม่ได้ปลาซักตัวเลย”
“พี่พู่ไม่ได้เครียดจริงๆ นะ”
“ถ้าถามอีกทีฉันจะเตะแกลงไปในนา ไอ้เปี๊ยก!” หญิงสาวว่า ก่อนจะยกขาขึ้นทำท่าเหมือนจะเตะเด็กหนุ่มลงไปในนาจริงๆ เล่นเอาทั้งสองแสบพากันวิ่งหนีแหกปากลั่นทุ่งจนนกที่บินอยู่ใกล้ๆ ตกใจพากันบินหนีไป
“จริงๆ เลย” ชมพู่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินอย่างเชื่องช้าไปตามคันนา ไม่ได้รีบวิ่งตามพวกนั้นไปแต่อย่างใด
เธอมองท้องนาที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เกิดอย่างรักใคร่ ภาพความทรงจำตั้งแต่เด็กผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ทุกส่วนของนาเธอวิ่งเล่นและสำรวจมาหมดแล้ว เพราะมีแค่ไม่กี่ไร่ที่พ่อกับแม่และพี่พร้าวปลูกกันเอง ที่เหลือก็แบ่งให้ชาวบ้านเช่าทำนากันในราคาที่ถูกแสนถูก เพราะบ้านของเธอไม่ได้ค้าขายข้าวเป็นเรื่องราว แค่ปลูกข้าวไว้กินกันเองที่บ้านก็เท่านั้น
แต่ที่เป็นรายได้หลักของบ้านคือส่วนที่เป็นสวน ทั้งผักและผลไม้หลากหลายชนิดที่ถูกพัฒนาโดยพี่พร้าว พี่ชายคนเก่งที่เรียนจบเกษตรมาโดยตรงจนงอกงาม ขายได้ราคาดี ทำให้ที่บ้านมีรายได้มากขึ้นจนพ่อแม่สบาย ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนสมัยที่ลูกๆ ยังเรียนไม่จบ
พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวพี่พร้าวมาก ในขณะเดียวกันก็คงระอากับเธอเต็มทน เพราะเรียนจบมาได้จะปีแล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้ทำงานตามที่ร่ำเรียนมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย เอาแต่ช่วยพี่พร้าวทำสวนไปเรื่อยๆ เหมือนไร้แก่นสาร แถมยังชอบทำให้พ่อแม่ปวดหัวอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกเลยที่พ่อกับแม่จะอยากให้เธอรีบแต่งงานออกไป เธอเข้าใจว่าพ่อกับแม่หวังดี แต่ส่วนลึกๆ ในใจก็อดน้อยอกน้อยใจไม่ได้ เธอไม่อยากแต่งงาน อยากอยู่เป็นโสดและอยู่กับพ่อแม่ไปตลอดชีวิตต่างหาก
“พู่ ทำไมมาเดินอยู่คนเดียวลูก สองคนลูกสมุนเราหายไปไหน”
เสียงตะโกนจากถนนทำให้ชมพู่รีบหันกลับไปมอง ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นป้าไม หนึ่งในคนที่เช่าที่ของพ่อเธอไปทำนาและสนิทกับครอบครัวเธอมาก ป้าไมรักเธอเหมือนลูก เลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เด็กๆ เธอเลยผูกพันกับป้าไมไม่ต่างจากคนในครอบครัว
“กำลังจะกลับบ้านจ้า ส่วนสองแสบวิ่งนำไปแล้วนู่นน” ชมพู่ตะโกนกลับไป ระยะห่างราวยี่สิบเมตรไม่ได้ไกลมาก เลยทำให้ได้ยินเสียงอีกฝ่ายชัดเจน “แล้วป้าไมจะไปไหนจ๊ะ”
“อ๋อ พอดีมีหมอมาจากโรง'บาล เขามาตรวจสุขภาพให้ชาวบ้าน ป้าเลยว่าจะลองไปตรวจดูน่ะลูก ไปด้วยกันไหม”
“ไม่ดีกว่าจ้ะ เดือนที่แล้วฉันเข้าออกโรงพยาบาลทุกวันเลย เบื่อหน้าหมอจะแย่”
“แต่หมอศิลาเขาตรวจดีนะ ไม่คิดเงินซักแดงเดียว”
ชมพู่ขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้แปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจต่อ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าไปเถอะ เดินระวังรถด้วยนะ เดี๋ยวนี้มอ'ไซค์ขับเร็วกันสุดๆ”
“จ้า กลับบ้านดีๆ นะพู่” ป้าไมโบกมือบ๊ายบายหยอยๆ ก่อนจะเดินต๊อกแต๊กจากไป
ชมพู่เดินกลับบ้านของตัวเองบ้าง ระหว่างทางเจอกับสองแสบที่นั่งรออยู่กลางทาง ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไป เล่นไป เก็บผลไม้กินไปตลอดทางจนถึงบ้าน
.
.
เพราะแดดร้อนจัดเมื่อกลางวัน ทำให้ค่ำนี้ฝนตกลงมาอย่างแรง และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตาม
ห้องนอนเล็กๆ ที่ตกแต่งเรียบๆ มืดสนิท แต่กลับมีเงาของใครบางคนเดินไปมาภายในนั้นอย่างเงียบเชียบ เพราะบ้านที่เป็นพื้นไม้ทำให้เจ้าของเงานั้นต้องระวังเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่วันนี้ฝนตก เลยกลบเสียงกุกกักไปได้บ้าง
“ลืมอะไรอีกหรือเปล่านะ”
หญิงสาวในชุดดำมองซ้ายมองขวาไปทั่วห้อง สายตาคุ้นชินกับความมืดจนพอจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร เธอตรวจเช็กข้าวของในกระเป๋าที่กันน้ำอีกครั้ง เสื้อผ้า ชุดชั้นใน และของใช้จำเป็นอีกหลายอย่างอัดแน่นอยู่ในนั้น
“อ้อ ต้องเอาเจ้านี่ไปด้วย”
เธอหยิบห่อผ้าอนามัยขึ้นมา รู้ดีว่ามันใกล้มาเต็มทนเลยต้องพกเผื่อไว้ เพราะถ้าหาซื้อไม่ได้คงจะได้เดินก้นแดงให้อายชาวบ้านเล่น
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” ร่างบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชมพู่วางจดหมายน้อยที่เขียนเมื่อตอนค่ำไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไปอย่างไม่คิดจะหันหลังกลับมา
ฝนที่ยังตกรวมถึงลมแรงๆ ทำให้หน้าขาวเปียกอย่างรวดเร็ว แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงค่อยๆ ปีนออกไปนอกหน้าต่างบานนั้น อาศัยทักษะปีนป่ายที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กจนสามารถลงมายืนบนพื้นดินเฉอะแฉะได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว
“ฉันไปแค่แปบเดียว แล้วจะกลับมานะ พ่อ แม่ พี่พร้าว สองแสบ”
เธอบอกลาอย่างอาลัยครั้งสุดท้าย ก่อนจะวิ่งหายไปในความมืด
.
.
“หมอศิลา จะกลับแล้วหรือคะ”
เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นเป็นประจำจนพยาบาลและหมอคนอื่นๆ ชินไปเสียแล้ว ดูก็รู้ว่าพยาบาลก้อยสนใจหมอหนุ่มคนนี้แค่ไหน แต่เหมือนว่าศิลาจะไม่ได้สนใจเธอกลับแม้แต่นิดเดียว
“ครับ”
“แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลยค่ะ กลับกับก้อยไหมคะ ก้อยเอารถมา”
“ใช่ครับ” หมอศิลาพยักหน้าเห็นด้วย สายฝนยังกระหน่ำลงมาแรงๆ เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เขาเหนื่อยเต็มทน วันนี้ก่อนเข้าเวรก็ออกไปตรวจชาวบ้านมา พอเข้าเวรก็เจอแต่เคสอุบัติเหตุที่ต้องใช้พลังมากกว่าปกติ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาเลยสบายใจและอยากกลับบ้านอาบน้ำนอนเต็มทน “แต่วันนี้ผมเอารถมา”
“อย่างนั้นหรือคะ”
พยาบาลก้อยเอ่ยอย่างผิดหวัง ไม่บ่อยครั้งเลยที่หมอศิลาจะเอารถมา เพราะบ้านพักกับโรงพยาบาลห่างกันแค่สองกิโลกว่า หมอศิลาอาศัยระยะทางนี้ไว้ออกกำลังกาย จึงไม่แปลกเท่าไหร่นักถ้าจะเห็นว่าหมอหนุ่มคนนี้เดินมาทำงาน และเดินกลับบ้านเป็นประจำ แต่ถ้าวันไหนหมอศิลาเอารถมาแปลว่าเขาออกไปตรวจนอกสถานที่ก่อนจะเข้ามาทำงาน
“ครับ คุณพยาบาลก้อยกลับดีๆ นะครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้ผม ผมต้องขอตัวกลับก่อน”
“ค่ะ...” พยาบาลสาวตอบรับเสียงอ่อย พร้อมมองหมอหนุ่มที่เดินจากไปอย่างรวดเร็วตาละห้อย วันนี้ก็พลาดที่จะได้กลับบ้านด้วยกันอีกแล้ว แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เธอจะได้สมหวังซักทีล่ะ
.
.
ทางฟากของหมอศิลา หมอหนุ่มเดินฝ่าฝนมาถึงรถได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่วายเปียกอยู่ดี ฝนวันนี้ตกหนักเหมือนพายุ ดีไม่ดีอาจจะเกิดน้ำท่วมขึ้นในบางพื้นที่ด้วยซ้ำ
รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่เครื่องติดทันทีที่สตาร์ท ที่ศิลาเลือกรถกระบะแทนรถเก๋ง เพราะจะได้ลำเลียงคนเจ็บได้หากมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้น เขาไม่อายเลยที่เป็นถึงคุณหมอแต่กลับขับรถราคาแค่ไม่กี่แสน แต่เขาดีใจมากกว่าถ้ารถคันนี้จะช่วยชีวิตคนได้
ขับมาได้ครึ่งทาง ฝนที่ตกหนักก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ดึกขนาดนี้แทบไม่มีรถผ่านมาก็จริง แต่ศิลาต้องใช้สมาธิมากกว่าเดิม เพราะทางทั้งมืด และสายฝนก็บดบังทัศนวิสัยจนเลือนลางไปหมด โชคดีที่เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตา ไม่อย่างนั้นคงจะลำบากมากกว่านี้
เหลืออีกเพียงสองร้อยเมตรก็จะถึงบ้านของเขาแล้ว ศิลาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ถนนไม่ถูกน้ำซัดจนพังแบบที่กังวล อีกนิดเดียวเขาก็จะกลับถึงบ้าน ได้อาบน้ำ ได้ซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆ ได้นอนตื่นสายเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด และจะได้...
“เฮ้ย!!”
เอี๊ยดดดดดดด!!!
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ