ชีวิตมอสองเป็นอะไรที่ล่องลอยมากจริง ๆ สำหรับฉันมันเหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ แค่นั้นเองและบางวิชาก็ไม่รู้ว่าเรียนจบไปแล้วเอาไปทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น รำกระบี่กระบอง ...
“ทำหน้าดี ๆ หน่อย กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอว่ามึงไม่ชอบเรียนวิชานี้” “พูดอย่างกับมึงชอบตายแหละ” “จำใจเรียนอะ เคยได้ยินไหม” “เฮ้อ...” “เขาเรียนให้มีความรู้ มึงอย่าสงสัยเยอะสิ” ฉันไม่ชอบเลยค่ะ อาจารย์ก็เอาแต่พูดว่าถ้าเธอรำเป็นนะไปสมัครงานที่ไหนเขาก็รับเลยทันที มันใช่เหรอคะ? มันเป็นศิลปะป้องกันตัวอย่างหนึ่งนะ แต่เหมือนอาจารย์ท่านนี้จะอธิบายแบบขอไปทีแล้วมันทำให้น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ไม่อยากเข้าเรียน “ท่องไว้ว่าเขาให้คะแนนเยอะ” “เฮ้อ...” ถอนหายใจวนไปค่ะ ไม่เข้าใจตรงไหนให้ถาม พอยกมือถามกลับถูกย้อนมาว่าตอนสอนทำไมไม่ฟัง อ้าว! กว่าจะหมดชั่วโมงคือนานมากไม่ชอบเลยเวลาที่ไม่ได้คำอธิบายอะไร แต่ช่างมันเถอะ! “คาบต่อไปเรียนอะไร” “คอมสองชั่วโมง บ่ายดนตรี” “ฝากเปิดคอมด้วยกูไปห้องน้ำก่อน” “เออ” คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็รีบมาเข้าห้องน้ำทันทีแต่ว่าห้องคอมมันอยู่ตึกสามค่ะ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือห้องน้ำหลังตึกนั่นเอง พอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาล้างมือด้านนอก แต่คราวนี้มีสมาชิกใหม่มาเพิ่มด้วยอีกหลายคน เป็นรุ่นพี่มอปลาย มีคนหนึ่งไม่ได้เข้าห้องน้ำแต่มายืนล้างมือข้างฉัน หลังจากนั้นเขาก็สะบัดมือเต็มแรงทำให้ละอองน้ำกระเด็นใส่หน้าฉันเข้าอย่างจัง “ก็งั้น ๆ อย่ามั่นหน้าไปหน่อยเลย” เขาจงใจพูดกับฉันแน่ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น แต่ฉันไม่อยากมีเรื่องกับใครไง “อย่ายุ่งกับทิว” ในที่สุดก็เปิดประเด็นออกมาจนได้ค่ะ “พี่เป็นแฟนพี่ทิวเหรอ” “กูบอกอย่ายุ่งก็คืออย่ายุ่ง จะวัดกันก็ได้นะ” “หนูไม่ได้รู้จักพี่ทิวเป็นการส่วนตัวสักหน่อย ไม่ได้คุยกันอยู่ด้วย” “ตอแหล! วันก่อนที่โรงอาหารกูเห็นกับตา หลายครั้งแล้วนะมึงอะ” น้ำเสียงไม่พอใจยังคงเอ่ยออกมาอย่างต่อเนื่อง “ใครกันแน่ที่ตอแหล บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไงวะ” “รู้ตัวว่าไม่ได้เป็นก็อย่าเสนอหน้าให้มาก!!” ผลัก! “กูเห็นอีกครั้งนะมึงเจอกูแน่” คำขู่ดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือยื่นมาผลักฉันเต็มแรงจนล้มขมำไม่เป็นท่า “อีเกตุใจเย็น ๆ เดี๋ยวอาจารย์มาก็โดนเล่นหรอก” เพื่อนเขาเข้ามาห้ามก่อนจะลากกันออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมองตัวเองในกระจก “เพราะพี่! เพราะพี่คนเดียวเลย” ก่นด่ากับตัวเอง ไม่ชอบเลยที่จะต้องมาทะเลาะกับคนอื่นด้วยเรื่องแบบนี้ “เป็นอะไรวะ หน้าบึ้งมาเชียว” มาถึงห้องคอมไอ้จูนก็เอ่ยถาม “ช่างแม่ง!” ตอบแบบขอไปที เห็นแบบนั้นมันก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ จนหมดชั่วโมงเรียนก็ลงมาที่โรงอาหารกัน อีต้นไปซื้อน้ำ ไอ้จูนไปซื้อข้าว ส่วนฉันนั่งรอที่โต๊ะค่ะ รู้สึกได้เลยว่าอารมณ์ตัวเองยังไม่เป็นปกติ จนสายตาหันไปเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในโรงอาหารเหมือนกัน ฉันทำเป็นไม่เห็นแล้วมองเลยไปทางอื่นแทน “กินข้าวเสร็จไปเข้าห้องน้ำกันนะ” ไอ้หมูเอ่ยชวน “ไปดิ” ระหว่างมื้อเที่ยงก็จะมีเสียงพูดคุยหัวเราะดังอยู่ตลอด จนกระทั่งกินข้าวเสร็จแล้วมาเข้าห้องน้ำ “ตาล ไปมินิมาร์ทเป็นเพื่อนหน่อย” “ปวดท้องว่ะ เอ็งไปกับมุขแล้วกันนะพลอย” “เออ ๆ เอาไรกันหรือเปล่า” “อะไรก็ได้ แล้วแต่จะกรุณา” ฉันว่ายิ้ม ๆ ตอบปัดมันไปแบบนั้นแหละ คล้อยหลังพลอยฉันก็มานั่งรอในห้องดนตรี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับชะงักไปเมื่อเห็นใครบางคนอยู่ในห้องนี้ด้วย ไม่สิ! เขาอยู่กันหลายคนเลย “พี่มอห้าเข้ามาทำไมวะ” หันไปถามหัวหน้าห้อง “อาจารย์เขาสอนควบ” “หมายความว่าต้องเรียนกับพี่เขางี้เหรอ” “เออ สองชั่วโมงวนไป” อยากจะบ้าตาย อย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่ายิ่งหนียิ่งเจอน่ะ ฉันแยกตัวออกมานั่งมุมหนึ่งของห้อง แค่เพียงไม่นานไอ้จูนกับหมูก็ตามมาติดแถมยังมีขนมมาฝากฉันอีกด้วย “ซื้อแบบนี้มาจากไหน” “...” นอกจากจะไม่ตอบแล้วมันสองคนยังอมยิ้มใส่อีกด้วย ฉันมั่นใจว่าขนมห่อนี้มันไม่มีในมินิมาร์ทแน่นอน “ไม่บอกไม่กินนะ” “ขนมที่มึงคุ้นเคย” ไอ้จูนมันว่ายิ้ม ๆ คราวนี้กลายเป็นฉันเองที่เงียบไป ก่อนจะเบนสายตาไปทางใครบางคนที่กำลังหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนเขาอยู่ “เขาฝากให้มึงตอนกูไปซื้อข้าว” “อืม” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “น่าอร่อย แกะดิอยากกินด้วย” ไอ้หมูพูดขึ้น “แกะดิ กินได้เลย” “ให้ข้ากินเหรอ แต่เขาให้เอ็งนะ” คนตรงหน้าดูอึดอัดใจนิดหน่อย เห็นแบบนั้นฉันจึงเป็นฝ่ายแกะคุกกี้ห่อนี้เองแล้ววางลงตรงหน้า หยิบกินไปแค่หนึ่งชิ้นที่เหลือมันสองคนซัดเรียบ ระหว่างชั่วโมงเรียนก็ไม่ได้สนใจเขาอีกเลยจนไอ้หมูสะกิด “เขามองเอ็งด้วย” “...” เขาจะมองฉันทำไม ไม่ได้มีอะไรให้น่ามองเลยด้วยซ้ำ บางทีมันก็เว่อร์เกินไป หลังจบคาบดนตรี วิชาต่อไปเป็นคณิตศาตร์เพิ่มเติมแต่อาจารย์ไม่อยู่และไม่มีใครสอนแทน ก็เลยอยู่ในห้องดนตรียาวเลย “กูไปห้องน้ำก่อนนะ” บอกพวกมันก่อนจะแยกตัวออกมา แต่ใครบางคนกลับรั้งฉันไว้ซะก่อน “ถ้าไม่ได้เป็นควายก็คงเข้าใจภาษาคนที่กูพูดนะ” “พูดอะไร” น้ำเสียงห้วนเอ่ยจากด้านหลัง เบือนหน้าไปมองเป็นพี่ทิวค่ะ ฉันไม่รู้ว่าระหว่างเขากับพี่คนที่ชื่อเกตุคืออะไร และมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แทรกกลางความสัมพันธ์ของใครด้วย “ทิวก็รู้ว่าเรา...” ฉันเลือกที่จะเดินออกมาแล้วปล่อยให้พวกเขาเคลียร์กันเอง นี่ขนาดแค่แอบชอบนะ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จกลับเข้ามาในห้องดนตรีบรรยากาศรอบตัวแปลก ๆ ค่ะ เหมือนถูกจับตามองยังไงก็ไม่รู้ “มึงจะยุ่งกับใครก็ได้แต่มึงห้ามยุ่งกับคนของพี่เกตุ” ไอ้น้องเปิดประเด็นขึ้นคนแรก “ใครเหรอคนของพี่เกตุ” “มึงรู้อยู่เต็มอก! อย่าทำเป็นใสซื่อได้ไหม” “แล้วมึงจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรด้วยอีน้อง กูเห็นหลายครั้งแล้วมึงออกตัวแทนอีนี่ตลอดเลย” ไอ้ป๊อปเสริมขึ้นอีกคน “ก็มันเป็นพี่กู” “มึงคลานตามมันมาหรือไง! นี่ถ้าไม่บอกกูคิดว่ามึงชอบพี่ทิวนะเนี่ย” ฉันเองก็แอบคิดเหมือนกัน แต่ไม่มีสิทธิ์โวยวายอะไรเพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่แอบชอบเขาเฉย ๆ น้องมันเงียบไปจนไอ้จูนทนไม่ไหวแล้วตั้งคำถามกับมันแทน “มึงชอบพี่ทิวเหรอไอ้น้อง” “เปล่า” “ขอให้จริงอย่างที่พูด กูไม่ได้เข้าข้างใครมึงก็เพื่อน ตาลก็เพื่อน แอบชอบก็ไม่ผิด แต่มึงจะมาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไม่ได้” “...” ทุกอย่างเงียบลงจนถึงเวลาเลิกเรียน วันนี้ออกประตูหน้าโรงเรียนค่ะเพราะนัดกับมุขไว้จะไปร้านศึกษาภัณฑ์เพื่อซื้อของมาทำงานกลุ่ม “ขอคุยด้วยหน่อย” พี่ทิวค่ะ เขามากับพี่ริว “คุยอะไรคะ” “เกตุพูดอะไรด้วย” “พูดอะไรไม่สำคัญหรอก เราไม่ได้เป็นอะไรกันพี่ไม่เห็นต้องสนใจเรื่องนี้เลย ส่วนเรื่องขนมขอบคุณนะคะแต่คราวหน้าพี่ไม่ต้องลำบากหรอกหนูเกรงใจ” “เกรงใจหรืออะไรกันแน่” “...” ถ้าจะบอกว่ารู้สึกแย่เพราะพี่ก็คงไม่ถูก การแอบชอบของฉันมันควรมีแค่ฉันที่รู้สึกสิ อีกอย่างก็ไม่ได้อยากผิดใจกับคนอื่นเรื่องผู้ชายด้วยค่ะโดยเฉพาะเพื่อน “ก่อนพี่จะคุยกับเพื่อนมุข พี่ไปเคลียร์กับคนของพี่ก่อนดีกว่านะ ตาขวางจนจะหลุดออกมาจากเบ้าอยู่ละ” ไม่รู้ว่ามุขมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็คงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว “เออ กูเห็นด้วย เกตุแม่งโคตรน่ารำคาญ” พี่ริวเสริมขึ้นอีกคน “เราไปกันเถอะ” ฉันจูงมือมุขออกมาจากตรงนั้นทันที คิดแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเอง การกระทำแบบนี้มันหมายความว่าพี่ทิวกำลังแคร์ความรู้สึกฉันอยู่หรือเปล่านะ แต่คงไม่หรอก เขาจะสนใจอะไรฉันชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั