และแล้วฤดูกาลสอบปลายภาคก็มาถึง เป็นการสอบแบบวันเว้นวัน
“อ่านหนังสือมาบ้างปะ” ไอ้จูนเอ่ยถาม “จำมาผ่าน ๆ” “ดูมึงชิวเนอะ” “ตกก็แก้ มันจะยากอะไร” ฉันตอบกลับอย่างไม่จริงจังมากนัก “ยากตรงที่แม่ด่าว่ากูโง่นี่แหละ” “ฮ่า ๆ ดีนะที่แม่กูไม่เคยคาดหวัง” เช้าสอบสามวิชาค่ะบ่ายอีกสองวิชา หลังจากสอบเสร็จช่วงเช้าก็มานั่งเล่นกันที่หลังโรงเรียน มันเป็นทางเดินค่ะด้านข้างเป็นสนามฟุตบอล ถามว่าที่เงียบ ๆ แบบนี้มาหาอ่านหนังสือกันเหรอไม่ใช่เลย มานั่งคุยโทรศัพท์กันทั้งนั้น “น้ำตาลกูถามอะไรหน่อยดิ” คนนี้ชื่อน้องค่ะ บ้านอยู่ใกล้กัน “ว่า?” “กีฬาสีวันสุดท้าย พี่ทิวไปส่งมึงเหรอ” “กูกลับวินบ้างเหอะ มึงรู้มาจากไหน” “...” “รู้ไม่จริงแล้วเสือกอยากจะพูดต่อ” “อ้าว แล้วมึงจะมาด่ากูทำไม กูแค่ถาม” “กูไม่ได้ด่ามึงกูด่าคนที่มันพูดต่อ ก็ถามอยู่ว่ามึงรู้มาจากใครเพราะถ้ามึงเห็นกับตามึงจะไม่ถามกูแบบนี้” “จะเถียงกันทำไม” ไอ้ป๊อปแย้งขึ้นก่อนจะมองเราสองคนสลับกัน “มึงก็บอกมันไปดิอีน้องว่ามึงรู้มาจากไหน” เป็นคำถามที่ฉันก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใกล้เคียงความเป็นไปได้เลยสักนิด “กูรู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอก มันไม่ใช่เรื่องจริงก็แล้วไป” พูดจบมันก็นั่งเล่นเกมส์ในมือถือต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ทำไมเหรอ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาใครจะขาดใจตายเหรอ” ไอ้จูนว่าขึ้น คำถามของมันทำเอาฉันนิ่งไปนั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของฉัน มันเกินความจริงไปมาก แต่ก็นั่นแหละพื้นที่ของความสุขค่ะ “ฮ่า ๆ มึงคิดก่อนพูดก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย” น้องมันตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ “...” “สภาพแทบจะไม่เหมือนคนยังจะหวังสูงอีก” “หวังสูงยังไงวะ กูเห็นพี่ทิวมันก็เป็นคนเหมือนกัน มึงนั่นแหละเลิกว่าคนอื่นเขาได้แล้ว” ไอ้จูนยังคงเถียงต่อ ดูท่าทางแล้วจะยาวค่ะฉันเลยรีบปรามขึ้นก่อนที่มันจะเลยเถิดมากเกินไป “เออ พอ...จบ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน” หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง ในใจก็แอบเคืองแหละทำไมต้องมาว่ากันด้วย เป็นไปได้ฉันอยากย้อนเวลากลับไปและจะไม่หลุดพูดให้ใครรู้เป็นอันขาดว่าแอบปลื้มพี่ทิวอยู่ หลังจากสอบเสร็จช่วงบ่ายตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลยแต่อีต้นมันดันชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวปลาหน้าโรงเรียน อีนี่ก็ใจง่ายไปค่ะ ไม่ปฏิเสธ “ชะนีมึงเอาเหมือนเดิมใช่ปะ” “เออ” อีต้นมันเดินไปสั่งฉันก็เลยอาสาไปตักน้ำเอง แต่ว่าดันสายตาดีเห็นพี่ทิวอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน จำไม่ได้ว่ามองนานแค่ไหน มันนานพอที่แม่ค้าทำก๋วยเตี๋ยวเสร็จนั่นแหละ “เลิกมองก่อนค่ะมึง มาแดกได้แล้ว” “มองอะไร มึงมั่วแล้ว” “อย่ามาเฉไฉ สรุปเรื่องจริงใช่ไหมที่มึงชอบพี่ทิว” คำถามตรง ๆ ของมันทำเอาฉันเงียบไปหลายวินาที “ไม่ได้จะว่าอะไรแต่แอบชอบก็คือแอบชอบนะ พี่ทิวหล่อขนาดนั้นเขาต้องมีคนคุยอยู่แล้วแหละ” “เรื่องของเขาสิ ข้าไม่เคยคาดหวังอยู่แล้ว” “ทำได้จริงอย่างที่พูดก็ดี” “...” ฉันไม่ได้ตอบกลับอะไรเลือกที่จะนั่งกินเงียบ ๆ แทน จนกลุ่มเพื่อนพี่ทิวเดินเข้ามาในร้าน “มึง...” “รีบกินเถอะจะได้กลับ” “มึง...” ไม่พูดเปล่ามันยังยื่นเท้ามาเขี่ยขาฉันอีกด้วยจนต้องเงยหน้าไปมองมัน “พี่ทิวเดินมาทางนี้” เสียงโคตรเบาแต่ก็พอจับใจความได้อยู่ พรึบ! แซนวิชไส้กรอกชีสถูกวางลงตรงหน้าฉันพร้อมกับร่างสูงเจ้าของมันที่กำลังทำหน้านิ่งใส่อยู่ “ให้” พูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน “เขาให้ใครวะ” “อยู่ตรงหน้ามึงเขาคงให้กูมั้ง” อีต้นมันว่ายิ้ม ๆ “ให้กูเหรอ? ให้กูเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าคนอื่นให้เขามาแล้วเขาไม่กินเลยเอามาโยนให้กูหรอกนะ” “อีบ้า! ใครจะทำแบบนั้น ถ้าไม่กินก็โยนลงถังขยะไปค่ะ มึงคิดมากไปนะเนี่ย” “เหรอวะ” ตั้งคำถามกับตัวเองพลางจ้องมองมันไปด้วย เปิดถุงดูมันมีสองชิ้นค่ะ แบ่งกันคนละชิ้นกับอีต้น หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน ช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นอะไรที่เหงามาก อยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหนเลย พ่อกับแม่ก็ทำงานทุกวัน ตื่นมาก็เจอแค่เงินกับสำรับข้าววางไว้ให้เห็นต่างหน้า บางวันงานไม่เสร็จกลับตีสองตีสามก็มี แอบกระซิบหน่อยว่าฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยเลยค่ะ พ่อกับแม่เป็นผู้รับเหมาทำถนน ส่วนตากับยายก็ขายขนมไทยค่ะ วกกลับมาเรื่องของฉันต่อดีกว่า ตอนโรงเรียนเปิดก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะปิดเทอมสักที แต่พอโรงเรียนปิดก็ดันเป็นพวกขี้เหงาอยากเจอเพื่อน อยากไปโรงเรียนขึ้นมาซะงั้น และวันเวลาก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ... จากน้องมอหนึ่งในวันนั้น ตอนนี้กลายเป็นพี่มอสองแล้วนะคะ มัธยมศึกษาปีที่สอง “แลดูมีความสุขขึ้นเยอะ” คำทักทายแรกถูกเอ่ยออกมาจากเพื่อนเลิฟของฉัน ไอ้จูนนั่นเอง “ปกตินะ ว่าแต่มึงเหอะเปิดเทอมแล้วทำไมไม่ย้อมสีผมกลับอีก เดี๋ยวก็โดนอาจารย์เล่นหรอก” “เอาตามความจริงไหม” “เออ” “ยังห้าวอยู่” “อีสัส!” “เพื่อนด่าแปลว่าเพื่อนรัก” “เพื่อนด่าก็คือเพื่อนด่า มึงอย่าเปลี่ยนความหมาย” “ฮ่า ๆ” พอถึงเวลาเข้าแถวก็มีการแอบมองไปทางพี่มอห้าเล็กน้อยค่ะ ไม่เจอกันแค่สองเดือน พี่ทิวสูงขึ้นเยอะเลย สังเกตได้จากระดับสายตา ถ้าเทียบกันตอนนี้หัวฉันไม่ถึงไหล่เขาเลยด้วยซ้ำ “อะแฮ่ม! เก็บอาการหน่อย” “ไรมึง” “กูเห็น” ขี้เสือกจริงเชียว ได้แต่แอบด่ามันในใจ คิกคิก บรรยากาศการมาเรียนในวันแรกของมอสองตื่นเต้นแปลก ๆ อาจเป็นเพราะการรอคอยที่จะได้เจอใครคนนั้นก็ได้ วันแรกไม่ได้เรียนเลยค่ะ ส่วนใหญ่อาจารย์จะให้ตารางเรียนกับแจกหนังสือซะมากกว่า เป็นแบบนี้อยู่ครึ่งวันจนถึงเวลาพักเที่ยง “เชี่ย...” “อะไรของมึงวะ” “ป้าร้านข้าวมันไก่หายไปไหน” ไอ้จูนว่าขึ้นพร้อมกับทอดสายตาสุดจะน่าสงสารไปทางด้านในโรงอาหาร “เขาหมดสัญญาเช่าเขาก็ไปขายที่อื่นดิ” “ไม่นะ!! นั่นร้านโปรดกูเลยนะโว้ย” “โอ๋... ไม่งอแงนะลองร้านใหม่ก็ได้ บางทีอาจจะถูกปากมากกว่าร้านเดิมไรงี้” “ไม่มีทาง! ขนาดปิดเทอมตั้งสองเดือนมึงยังไม่เลิกชอบเขาเลย” “มึงก็สรรหาเปรียบเทียบเหลือเกินนะ” เสียเวลาอยู่หลายนาทีเลยค่ะกว่ามันจะเลิกงอแง พอจองโต๊ะเสร็จก็ฝากให้ไอ้จูนไปซื้อข้าว ส่วนฉันอาสามาซื้อน้ำเอง “น้ำตาล เอ็งเห็นปะ” “เห็นไรวะหมู” “พี่ริวไง คิกคิก ใจละลาย” “เก็บอาการเล็กน้อยถึงปานกลางด้วยค่ะ” “ก็เขาน่ารัก!” เลิกสนใจมันก่อนจะเดินไปต่อแถวซื้อน้ำ เปิดเทอมวันแรกมีแต่น้ำเปล่าค่ะ ปกติจะมีน้ำผลไม้ด้วย “น้ำเปล่าสิบขวดค่ะ” “หกสิบบาทลูก” กำลังจะจ่ายเงินแต่ใครบางคนกลับจ่ายแทนซะก่อน “นี่ครับ” คนข้างหลังเยอะพอสมควร เกรงใจคนอื่นเขาฉันจึงหยิบน้ำออกมาก่อนแล้วให้หมูช่วยถือไว้ห้าขวด หลังจากนั้นฉันก็หยิบเงินให้พี่ทิวไปแต่ว่าเจ้าตัวเขาไม่รับค่ะ “ค่าน้ำค่ะ” “พี่เลี้ยงเอง” “แต่มันหลายขวด” “ไม่เป็นไร ... ผอมลงนะเนี่ย” เขินแหละ ไม่รู้เขินอะไร “เอ่อ ... ขอบคุณนะคะสำหรับค่าน้ำ” พี่ทิวไม่ได้ตอบกลับอะไรแค่ยิ้มให้เฉย ๆ พอกลับมาถึงโต๊ะทุกสายตาก็พุ่งเป้ามาทางฉันทันที พลอย : หืม... อะไรยังไงซิ แอม : เล่ามา เอม : ให้ไว! กิ๊บ : มีความลับอะไรหรือเปล่า “ใจเย็นพวกมึง เขาแค่ซื้อน้ำให้ เนี่ยสิบขวดครบแก๊งพอดี” น้อง : และมึงคุยอะไรกัน “เปล่า แค่ขอบคุณเขา” มุข : ใช่เหรอกูเห็นยิ้มอยู่ “เออ! มึงอย่าจับผิดดิ” ป๊อป : พวกกูไม่ได้จับผิดเลยคนอื่นเขาเห็นกันเยอะแยะบอกมาซะดี ๆ น้ำตาลอย่าให้กูสืบเองนะ “เขาแค่ทักว่าผอมลง ก็แค่นี้” “ผอมลงไม่ได้แปลว่าผอมแล้ว” ไอ้น้องมันพูดขึ้น ฉันไม่ได้ตอบอะไร แค่สบตากับไอ้หมูเท่านั้นเพราะมันเองก็อยู่ด้วยและรู้ว่าฉันพูดความจริง “เออ แต่มึงก็ผอมลงจริง ๆ นั่นแหละ” ไอ้พลอยเสริมขึ้นมาอีกคน “เหรอวะ ข้าก็ไม่ได้ลดน้ำหนักนะแดกกระจาย” เลิกสนใจเรื่องนี้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวกัน บนโต๊ะอาหารก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่หยิบยกมาพูดระหว่างปิดเทอม หลังจากกินข้าวเสร็จก็มาสิงอยู่หน้าห้องน้ำต่อ ไม่รู้เป็นอะไรต้องมาเข้าห้องน้ำตอนพักเที่ยงทุกวันเลย “ช่วยด้วย ไปมินิมาร์ทเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ไอ้มุขโผล่หัวออกมาจากในห้องน้ำ “อย่าบอกนะว่าเป็นวันแดงเดือด” “ถูกต้อง! มุขไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยมา” “เอาเงินมา เดี๋ยวไปซื้อให้ก็ได้” “เอาแบบมีปีกนะ” “เออ” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงอาหารอีกครั้ง มินิมาร์ทมันอยู่หน้าโรงอาหารน่ะ ระหว่างรอจ่ายเงินกลุ่มพี่ทิวก็เดินเข้ามาซื้อขนมเช่นกันค่ะ “ทิวกินไร เดี๋ยวเราซื้อให้” “ไม่อะ” “อ้าว ไม่อยากกินขนมแล้วเข้ามาทำไม” “ไม่ต้องยุ่ง!” โอ้โห ปากร้ายใช่ย่อยค่ะ พี่ผู้หญิงคนนั้นถึงกับเบะปากใส่เลยทีเดียว พอจ่ายเงินเสร็จจังหวะที่จะออกคือคนเยอะพอสมควร มันก็เบียดกันบ้างค่ะ พี่ทิวเอาขนมใส่กระเป๋าเสื้อฉันแล้วเขาก็เดินนำออกไปเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบขึ้นมาดูมันเป็นคุกกี้ค่ะ แบบเดียวกับที่ให้ฉันเมื่อวันกีฬาสีเลย เห็นแบบนั้นฉันจึงหันไปดูที่ชั้นขนมว่ามีแบบนี้ขายไหม ปรากฏว่าไม่มีค่ะ “อยู่กับความเป็นจริงหน่อยนะ สภาพแบบนี้ทิวมันไม่มองหรอก” “ทำตัวเองให้เหมือนคนก่อนดีกว่า ฮ่า ๆ” “...” เสียงหัวเราะค่อย ๆ ห่างออกไปพร้อมกับความรู้สึกมากมายในใจฉัน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกต่อว่าแบบนี้จากคนอื่น นึกว่าตัวเองสวยมากหรือไงถึงได้เอาแต่ด่าคนอื่นอยู่ได้ “ช่างแม่งมันเหอะ อย่าไปสนใจ” ไม่รู้ว่าไอ้จูนตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันคงเห็นและได้ยินหมดแล้ว “พี่เขาก็พูดถูกแหละ สภาพกูอย่างกับครึ่งผีใครจะมามอง” “ดูถูกตัวเองเกินไปแล้วมั้ง เดี๋ยวโตไปก็สวยเองแหละ” “แต่เราต้องอยู่กับความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ” “ก็ใช่! มึงจะคิดมากกับคำพูดคนอื่นไปเพื่ออะไร ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าพี่ทิวเอามาให้เอง มึงไม่ได้ไปตามวอแวเขาสักหน่อย มีแต่พวกอิจฉาเท่านั้นแหละที่เป็นเดือดเป็นร้อนน่ะ” ฉันพยายามที่จะไม่สนใจคำพูดของใคร แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้จริง ๆ อ้วนก็รู้ตัวค่ะ ดูไม่ได้เลยก็รู้ตัวเหมือนกัน ก็แค่แอบชอบมันจะเดือดร้อนชีวิตใครนักหนาชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั