เสียงแหลมแสบแก้วหูที่โพล่งขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฮียไช้สะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบกลอกตามองเพดานอย่างเอือมระอาแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้แล้วหันไปยิ้มแป้นอย่างประจบให้ภรรยาแม้ว่าในใจจะอยากตบอีกฝ่ายจนลงไปนอนกองกับพื้นแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้
"สองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันต่างหากเล่า เฮียเรียกให้มาที่นี่ก็เพราะจะคุยเรื่องที่เฮียอยากให้เขามาเป็นนักแข่งในสังกัด เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เอชเคเซอร์กิตจัดให้สมาชิกมาแข่งบิ๊กไบค์แล้วเขาลงแข่งด้วย เฮียเห็นว่ามีแววน่าจะปั้นให้ดังได้ก็เลยเรียกมาคุยดู"
"ใช่เร้อ...ดูท่าทางไม่น่าจะใช่นักแข่ง ไม่ใช่เพราะเห็นว่ามันสวยหรือ เฮีย ถึงได้อยากเรียกเข้ามาคุย คิดอะไรอยู่อย่านึกว่าไม่รู้นะ"
เธอชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ ตอนเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากห้องเธอยังอดตะลึงไม่ได้ แล้วมีหรือที่สามีของเธอจะให้เป็นแค่นักแข่งในสังกัด ไม่มีทาง!
"รุ้ง เฮียเรียกมาคุยเรื่องเป็นนักแข่งจริง ๆ แต่เขาไม่เอาเพราะเขาทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วสองคนนี้เขาเป็นแฟนกันจริง ๆ เมื่อคืนเฮียก็เห็นเขาเดินกอดกันอยู่ในผับ คนที่สวย ๆ นั่นน่ะห้าวจะตาย เสียงยังห้าวเลย"
เฮียไช้พยายามอธิบายอย่างใจเย็นเพราะไม่อยากให้ภรรยาเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของอลินดาและยูมิจนเสียแผน สำหรับสาวสวยสองคนนี้อย่างไรเสียเขาก็ต้องจับให้อยู่หมัด หากปล่อยให้หลุดมือไปก็เสียดายแย่
รุ้งลาวัลย์หรี่ตามองสามีอย่างจับผิด แต่พอเห็นเขาไม่มีท่าทีผิดปกติอะไรจึงค่อยวางใจ
"ถ้าเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ จะหาว่าฉันร้ายไม่ได้นะเฮีย"
เธอรู้ว่าสามีเป็นคนเจ้าชู้มักมาก และมักมีสาว ๆ ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เสมอ แต่เพราะเขาไม่เคยคิดจริงจังกับใครหรือเลี้ยงผู้หญิงคนไหนเป็นตัวเป็นตน ยิ่งเขาทำงานตรงนี้ย่อมมีสาวสวยห้อมล้อมอยู่แล้ว เธอจึงพยายามปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง คิดเสียว่าเขาก็แค่หาเศษหาเลยนอกบ้านเท่านั้น แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนล้ำเส้นคิดเกาะแกะเขา เธอก็จะลงมือจัดการสั่งสอนอย่างเด็ดขาดทันที
"เฮียจะไปสนามกี่โมง จะได้รอไปพร้อมกัน"
รุ้งลาวัลย์นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา เฮียไช้ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเห็นว่าตอนนี้บ่ายสองแล้วจึงบอกไปตามตรง
"ว่าจะไปสักบ่ายสาม รุ้งไปเสริมสวยก่อนก็ได้ เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง เสร็จแล้วค่อยมาหาเฮียที่นี่"
รุ้งลาวัลย์ครุ่นคิดไปพักหนึ่ง วันนี้ที่สนามน่าจะมีเรซซิงควีนหุ่นเซ็กซี่ขยี้ใจหลายคน และสามีของตนต้องจ้องตาเป็นมันแน่ ฉะนั้นเธอต้องไปนั่งเฝ้า และต้องทำตัวเองให้สวยที่สุดด้วย ในเมื่อเธอเป็นเจ้านาย ผู้หญิงพวกนั้นเป็นลูกน้อง เรื่องอะไรที่ตนจะต้องยอมแพ้แล้วปล่อยให้พวกนั้นมันข้ามหน้าข้ามตา
รุ้งลาวัลย์อายุสามสิบแปดแล้วแต่ยังดูแลรักษารูปร่างหน้าตาให้ดูดีอยู่เสมอเพราะรู้นิสัยของสามีดีว่าชอบมองของสวยงาม เธอจึงไม่ยอมมีลูกเพราะกลัวรูปร่างไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม
"ก็ได้" รุ้งลาวัลย์ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมไป จึงไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างถึงที่สุดของผู้เป็นสามีที่มองตามอยู่ด้านหลัง
"งานกูสำเร็จเมื่อไร กูเฉดหัวมึงทิ้งแน่อีแม่มด!"
เฮียไช้พ่นลมหายใจออกมาอย่างหัวเสีย นับวันรุ้งลาวัลย์มีแต่หึงหวงไร้สาระมากขึ้นทุกที เขาเบื่อผู้หญิงคนนี้แทบบ้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยังต้องพึ่งพาอิทธิพลของพ่อตาอยู่
บิดาของรุ้งลาวัลย์เป็นอดีตนายพล สนิทสนมกับนักการเมืองดัง และยังเป็นที่นับหน้าถือตาของคนที่นี่อีกด้วย แม้ตอนนี้จะเกษียณอายุราชการแล้วแต่บารมีของอีกฝ่ายก็ยังเป็นใบเบิกทางที่ดีได้อยู่ กว่าเขาจะขึ้นมายืนตรงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะความช่วยเหลือจากพ่อตาด้วย
แต่ความอดทนของคนเราย่อมมีขีดจำกัด ใครเล่าจะอยากตกเป็นเบี้ยล่างไปตลอดชีวิต ต้องมีสักวันที่เขาจะถีบพ่อตาลงจากตำแหน่งนั้นแล้วขึ้นไปยืนแทนที่อีกฝ่าย ส่วนรุ้งลาวัลย์นั้นเขาย่อมมีวิธีจัดการให้หายไปจากชีวิตของเขาอย่างถาวร
ปกเกล้าเดินตรวจความเรียบร้อยของศูนย์ตกแต่งรถไปทีละจุดโดยมีกรกฎ ผู้ช่วยคนสำคัญคอยเดินตาม และตอบคำถามเวลาผู้เป็นเจ้านายสงสัย
"อะไหล่บางตัวที่สั่งไปยังไม่มาเลยครับพี่" กรกฎพลิกเปิดแฟ้มในมือซึ่งเป็นรายการอะไหล่ยี่ห้อต่าง ๆ สำหรับรถซูเปอร์คาร์
"เกิดปัญหาอะไรรึเปล่า" ปกเกล้าถามพลางเดินเข้าไปด้านหลังซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการ
"ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการขนส่งครับ ถ้ายังล่าช้าก็อาจต้องขอจากทางสาขากรุงเทพฯ มาก่อน"
"อืม จัดการเลย" ปกเกล้ายืนกอดอกมองช่างเทคนิคทดสอบอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดกับมือขวาคนสำคัญว่า
"จะเปิดศูนย์อาทิตย์หน้าอยู่แล้ว อย่าให้มีอะไรผิดพลาดได้ล่ะ จริงสิ เรื่องของปีย์ไปถึงไหนแล้ว"
"วันนี้เขาจะให้คำตอบครับ เห็นว่าขอกลับไปปรึกษากับที่บ้านก่อน แต่ดูท่าทางเขาสนใจอยู่นะ" กรกฎยิ้ม
"คิดว่ากี่เปอร์เซ็นต์" ปกเกล้าถามถึงความเป็นไปได้ที่นักแข่งดาวรุ่งอย่างปีย์ ชนะพลจะตอบตกลงมาเป็นนักแข่งในสังกัด
"ผมว่าเจ็ดสิบแปดสิบนะพี่ น้องมันดูตื่นเต้นมากเลย แต่ต้องขออนุญาตพ่อกับแม่ก่อน เห็นบอกว่าพ่อสนับสนุนแต่แม่ไม่อยากให้เป็นนักแข่งรถ"
"เป็นธรรมดาแหละ อาชีพนี้มันเสี่ยง" ปกเกล้าพูดถึงตรงนี้ก็หันหน้าไปหากรกฎแล้วกดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม
"สืบเรื่องไอ้เฮียไช้ให้พี่หน่อย พี่อยากรู้ว่านอกจากพ่อตามันแล้ว มันมีใครหนุนหลังอยู่อีกรึเปล่า และตอนนี้มันแอบทำอะไรลับ ๆ อยู่"
"ครับพี่" กรกฎพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบบอกเจ้านาย
"วันนี้เฮียไช้จะจัดแข่งหาอันดับ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะประมาณบ่ายสี่โมงนี่แหละ พี่จะลองไปดูก็ได้นะครับ"
ปกเกล้ายิ้มมุมปากแล้วพูดว่า
"ก็ดีเหมือนกัน ไปเยี่ยมคนคุ้นเคยสักหน่อย"
อลินดากับยูมิมาถึงสนามแข่งรถในเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง คนดูที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์นั้นค่อนข้างบางตาเพราะเป็นการจัดแข่งภายในเพื่อหาอันดับที่ดีที่สุดของนักแข่งในสังกัดวายเอ็มเอชของเฮียไช้
สองสาวเลือกนั่งปะปนไปกับคนอื่น ๆ เพราะไม่อยากให้เป็นจุดเด่นเกินไปนัก อีกทั้งที่นั่งทุกที่บนอัฒจันทร์นี้ก็สามารถมองเห็นได้ทั่วสนามอยู่แล้วจึงไม่ซีเรียสว่าบริเวณไหนทำเลดีที่สุด
ตอนนี้นักแข่งแต่ละคนกำลังฝึกซ้อมอยู่ในสนาม อลินดามองแล้วได้แต่ยิ้มบาง ๆ เพราะนึกถึงตอนที่ตัวเองลงแข่งเป็นครั้งแรกคราวนั้น
"อยากลงสนามอีกล่ะสิ" ยูมิพูดอย่างรู้ใจ เพราะแค่เห็นสายตาของอีกฝ่ายก็รู้แล้ว
"อืม แต่อยากแข่งไปก็เท่านั้นแหละเพราะเป็นนักแข่งไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากพี่ทศจะเช่าสนามให้สมาชิกมาแข่งกันอีกเหมือนตอนนั้น" อลินดาถอนหายใจแผ่ว
"พูดถึงพี่ทศก็นึกถึงรถแข่งของมึง กูว่ามึงเอารถไปเก็บไว้ที่ลอยชายไม่ดีกว่าหรือวะ เอาไปฝากไว้ที่โน่นไม่รู้จะมีใครมาแอบขี่เล่นบ้างรึเปล่า อันตรายจะตายไป" ยูมิเอ่ยเตือนเพื่อน
"กำลังคิดอยู่เลยเนี่ย มึงนี่จะรู้ใจกูเกินไปละ กะว่าเสร็จจากตรงนี้ก็จะไปอู่พี่ทศแล้วให้มึงขับคันนั้นไปเก็บไว้ที่เกสต์เฮ้าส์"
อลินดาหันไปยิ้มให้ยูมิ ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาจากคนรอบข้างที่มองมาทั้งหญิงและชาย โดยเฉพาะบรรดาหนุ่ม ๆ ทั้งหลายต่างก็พากันมองมาที่พวกเธอทั้งสองคนเป็นตาเดียว
"มึงนั่งคนเดียวได้ใช่ไหม ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน จะราดแล้วเนี่ย"
ยูมิกวาดตามองผ่าน ๆ โดยไม่ได้หยุดสายตาที่ใครเป็นพิเศษ แต่เห็นอยู่ว่าพวกตนเป็นจุดสนใจของชายหนุ่มแถวนี้เข้าเสียแล้ว
"ไปเถอะ กูอยู่ได้" อลินดาพูดกลั้วหัวเราะ สถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น แต่เพราะเกิดมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งพวกเธอก็ทำได้เพียงนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย และพยายามไม่สบตากับใคร เพราะหากเผลอไปมองตอบใครเข้า อาจถูกหาว่าให้ท่าหรือทอดสะพาน และถ้าผู้ชายคนนั้นมีแฟนอยู่แล้ว พวกเธอก็อาจโดนด่าฟรีว่ามองอ่อยแฟนชาวบ้าน
“ไม่!” เธอมองเขาตาเขียวก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกจากห้องนอนก่อนที่จะทนลูกอ้อนของเขาไม่ไหว เพราะสำหรับปกเกล้าแล้ว คำว่าแป๊บเดียวนั้นไม่เคยต่ำกว่ายี่สิบนาทีอลินดาลงไปรับภาวินกับแฟนสาวที่ล็อบบี้ชั้นล่าง สาวน้อยคนนั้นเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างที่ปกเกล้าว่าไว้จริงเสียด้วย“อ้าวลินดา อยู่กับไอ้ปกมันหรือ” ภาวินทักด้วยรอยยิ้มแต่สีหน้าเหมือนจะล้อเลียนเรื่องที่ตนลงมาช้าเพราะคงคิดว่าเธอกับปกเกล้ามัวแต่เล่นผีผ้าห่มกันอยู่บนเตียงกระมัง“เอ่อ...ค่ะ พี่ปกอาบน้ำอยู่ก็เลยให้ลินดาลงมารับ”“นี่มะลิ แฟนพี่เอง นี่พี่ลินดาแฟนพี่ปกเขาน่ะ” ภาวินแนะนำแฟนสาวให้รู้จัก อีกฝ่ายจึงยกมือไหว้พลางมองมาด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด อลินดาจึงรับไหว้และยิ้มกว้างพลางพูดว่า“ยังเด็กอยู่เลย พี่วินหลอกน้องเขามารึเปล่าคะเนี่ย”“เด็กอะไร ไม่เด็กแล้ว หน้าอ่อนเฉย ๆ หรอก แหม...เห็นพี่เป็นพวกโลลิคอนรึไง”เมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก อลินดาจึงเดินไปหยิบน้ำมาให้แขก เป็นเวลาเดียวกับที่ปกเกล้าเดินออกมาจากห้องนอนพอดี
ปกเกล้าคลี่ยิ้มร้ายกาจ ความช่างยั่วแสนเซ็กซี่ของเธอนี่เป็นอย่างหนึ่งที่ถูกใจเขามากเช่นกัน และเขาก็ไม่รอให้เธออนุญาตหรือตั้งตัว ก้มลงจูบหญิงสาวทันทีท่ามกลางคนมากมายที่กำลังเดินออกจากผับ“โอเค ถือว่าดื่มไม่เยอะเท่าไร แต่เพื่อความปลอดภัยพี่ว่าเธอขับรถพี่กลับไปดีกว่าไหม” ไม่พูดเปล่า แต่เขาล้วงหยิบกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงมาใส่มือเธอด้วย เพราะสำหรับเขาแล้วความปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนของอลินดาสำคัญที่สุด“ก็ได้” เธอหยิบกุญแจรถบิ๊กไบค์และหมวกกันน็อกของตัวเองยื่นส่งให้เขาบ้าง จากนั้นก็เดินออกไปที่ลานจอดรถรถซูเปอร์คาร์ของปกเกล้าหาไม่ยากนักเพราะน้อยคนที่จะมีรถแบบนี้ขับ หลังจากสตาร์ตเครื่องแล้วอลินดาก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถบิ๊กไบค์อันแสนคุ้นหูอยู่ใกล้กับรถที่ตนนั่งอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปกเกล้าขี่เจ้าแพนเตอร์มาจอดรออยู่เบื้องหน้าแล้ว เธอจึงเลื่อนกระจกลงแล้วทำมือเป็นเชิงบอกให้เขาล่วงหน้าไปก่อนได้เลย เพราะเธอจะขับตามเขาไปเองปกเกล้าพยักหน้าแล้วเคลื่อนรถออกไปไม่เร็วนัก อลินดาจึงขับตามไป เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าแฟนสาวขับตามมาแล้วจึงเร่ง
อลินดาขับรถบิ๊กไบค์คู่ใจเข้ามาจอดไว้ในบริเวณที่ทางสถานบันเทิงจัดเอาไว้ให้โดยมียูมิ เพื่อนสนิทขับอีกคันเข้ามาจอดคู่กัน ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในผับชื่อดังของตัวเมืองบุรีรัมย์หญิงสาวอยู่ในชุดกางเกงยีนสกินนีกับเสื้อยืดพอดีตัวเช่นเคย ส่วนยูมินั้นสวมกางเกงยีนรัดรูปกับเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยเพื่อโชว์รอยสักรูปเกอิชาบนแผ่นหลังที่เจ้าตัวแสนภาคภูมิใจอลินดามองหากลุ่มเพื่อนของตนที่นัดเอาไว้ แต่สายตาดันไปหยุดอยู่ที่โต๊ะของนักท่องราตรีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในโต๊ะเธอก็คุ้นหน้าคุ้นตาดีทั้งสามคน แต่ที่ไม่คุ้นคือหญิงสาวอีกสามคนที่นั่งเบียดกับหนุ่ม ๆ เหล่านั้นจนแทบจะรวมร่างกันอยู่รอมร่อ“มึงเดินไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูตามไป” อลินดาหันไปบอกเพื่อน ยูมิมองตามสายตาของอีกฝ่ายจึงแค่นยิ้มมุมปากพลางพูดว่า“ได้ แต่ถ้าจะตบก็เรียกกูด้วยละกัน พักนี้กูคัน อยากตบคน”อลินดาหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าพูดว่า “เออ รู้แล้วน่า”จากนั้นหญิงสาวก็เดินไปยังโต๊ะที่ปกเกล้ากับเพื่อนอีกคนสองคนนั่งอยู่ เธอเห็นตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าแฟ
ปกเกล้าก้าวลงจากรถสปอร์ตสีเทาดำแล้วเดินเข้าไปในคอนโดมิเนียมของแฟนสาว ขณะที่กำลังจะกดเรียกลิฟต์นั้น สายตาของชายหนุ่มก็เห็นร่างคุ้นตาของหญิงสาวที่เขาตั้งใจขับรถจากบุรีรัมย์มาหาเพราะอยากเห็นหน้า และชวนไปกินมื้อเย็นด้วยกันก่อนที่ตนจะต้องขับกลับไปทำงานที่จังหวัดบุรีรัมย์อีกครั้งอลินดากำลังยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งหากเป็นคนอื่นปกเกล้าคงไม่เข้าไปวุ่นวาย แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นนครินทร์ ตำรวจหนุ่มที่จ้องจะตีท้ายครัวของตนเสมอเมื่อสบโอกาส เขาจึงไม่สามารถอยู่เฉยได้ ฉะนั้นปกเกล้าจึงเดินเข้าไปหาแฟนสาวแล้วโอบเอวของเธอพร้อมกับจูบขมับเบา ๆ เพื่อประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทันที“ไงครับผู้กอง เพิ่งกลับหรือครับ” ปกเกล้ายิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าขณะที่มือก็เลื่อนขึ้นมาโอบบ่าของอลินดาไว้“ครับ เพิ่งมาถึงก็เจอคุณลินดาพอดี” นครินทร์ยิ้มตอบ“ผู้กองเขาชวนไปกินข้าวหน้าคอนโดฯ น่ะ พี่กินอะไรมารึยังล่ะ”อลินดาหันไปถามแฟนหนุ่มพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นอาการขี้หวงของใครบางคนกำเริบ“กินอะไรเล่า เดี๋ยวเราต้องร
“เรื่องนั้นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเรามีลูกพี่ก็คงอยากให้ลูกเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ มากกว่าเพราะใกล้ญาติพี่น้องทางนี้ เวลามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ง่ายกว่าอยู่บุรีรัมย์”“ถ้าเราแต่งงานกัน พี่ไปอยู่บ้านลินได้ไหมล่ะ แม่ของลินจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เพราะบ้านพี่ก็มีพี่ป้องกับพี่ก้อยอยู่ที่นั่นแล้ว”“ได้สิไม่มีปัญหา” เขายิ้มมุมปากพลางเลื่อนมือลงต่ำไปที่บั้นท้ายงามงอนแล้วเลิกชายกระโปรงของเธอขึ้นแล้วพูดว่า“แต่เราอาจต้องทำห้องนอนใหม่นะ เอาแบบที่เก็บเสียงได้ดีหน่อย ไม่อย่างนั้นแม่ของลินอาจจะนอนไม่หลับเพราะเสียงตอนพี่กระแทกเธอคงดังรบกวนท่านแน่นอน” ไม่พูดเปล่า แต่เขายังจ่ออาวุธประจำตัวเข้าที่จุดเดิมแล้วเริ่มขยับสะโพกอย่างเป็นจังหวะ มือทั้งสองข้างก็จับชายชุดกระโปรงของหญิงสาวแล้วดึงขึ้นเพื่อถอดออกไปทางศีรษะ จนในที่สุดร่างเซ็กซี่เย้ายวนที่เขาหลงใหลก็ปรากฏต่อสายตา“ไหนว่าจะนวดให้ไง” เสียงแหบพร่าของเธอกระท่อนกระแท่นไปตามแรงกระแทกกระทั้น“ขออีกยกแล้วจะนวดให้ รับรองว่าเธอจะติดใจฝีมือการนวดของ
“แล้วคิดว่าไงล่ะ” แค่เธอลูบคลำไปมา เจ้าสิ่งที่อยู่ในกางเกงก็ประกาศศักดาสู้มือทันทีราวกับสั่งได้“จะไวไฟไปแล้วนะ” อลินดาแค่นยิ้มให้แฟนหนุ่ม“ไม่ไวได้ไงเล่า พี่ไม่ได้เมกเลิฟกับเธอนานแล้วนะ กระสุนเต็มรังแล้วเนี่ยไม่ได้ยิงออกไปสักที” ปกเกล้าปลดกระดุมกางเกงยีนเพื่อปล่อยอาวุธประจำกายให้เป็นอิสระ จากนั้นก็ยกมือขึ้นแตะศีรษะหญิงสาวเป็นเชิงบอกใบ้ ซึ่งเธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก“นานอะไรกัน ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เลย หื่นไม่เข้าเรื่อง” อลินดายิ้มมุมปาก“สามวันก็จะขาดใจแล้ว นะที่รัก” ปกเกล้าออดอ้อนเสียงอ่อน ก่อนจะครางออกมาเบา ๆ เมื่อปลายลิ้นอ่อนนุ่มที่เขาหลงใหลปัดป่ายอยู่ตรงส่วนหัวแล้วลากไล่จากโคนถึงปลาย ตามมาด้วยความอุ่นร้อนจากโพรงปากที่กำลังกลืนกินเขาเข้าไปทีละนิดจนหมดชายหนุ่มชะลอรถให้วิ่งช้าลง เขาไม่กลัวรถคันอื่นจะมองมาแล้วเห็นว่าแฟนสาวคนสวยของเขากำลังก้มหน้าทำอะไรให้เพราะกระจกติดฟิล์มดำ อีกทั้งการขับรถไปแบบเสียว ๆ นี้ทำให้เขาตื่นเต้นและอารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด ส่งผลให้