"อุ๊ย ที่บ้านโทร. ตามอีกแล้ว หนูไปก่อนนะคะ...ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูเดินออกไปเอง บ๊ายบายค่ะหนูพราว เสาร์หน้าเจอกันนะคะ"
มัลลิกาโบกมือให้เพื่อนตัวน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปไม่เร็วนักเพราะยังเจ็บหัวเข่าอยู่ เธอเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรั้วบ้านของตัวเองแล้วจึงเปิดซองสีน้ำตาลนั้นออกดู จากนั้นก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นธนบัตรใบสีเทาอยู่ในนั้นปึกหนึ่งจึงลองนับจากในซองเพราะไม่กล้าหยิบออกมาด้านนอก
"โห! ตั้งสองหมื่นแน่ะ ถ่ายรูปแค่นี้เองเนี่ยนะ"
มัลลิกายืนมองรถบัสสองชั้นที่จอดเรียงรายหน้าอาคารเรียนด้วยแววตาระยิบระยับ บรรดานักเรียนในชุดลูกเสือและเนตรนารีเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นทำให้หญิงสาวอดนึกไปถึงตอนที่ตนเป็นนักเรียนมัธยมต้นไม่ได้
ขณะที่มัลลิกายืนรอน้องชายอยู่กับมารดาและพ่อเลี้ยงนั้น ก็มีเด็กผู้ชายตัวผอมเก้งก้างคนหนึ่งเดินสะพายเป้ใบใหญ่มาทางนี้ หญิงสาวอมยิ้มมองน้องชายต่างบิดาที่อายุห่างกันเก้าปี เธอรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึงรถจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่คอของนฤบดินทร์มีรอยแผลครูดเป็นทางยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือ
"คอไปโดนอะไรมาน่ะไอ้ดิน" ครั้นพอมารดาได้ยินที่เธอถามน้องชาย ท่านจึงรีบแหวกคอเสื้อของนฤบดินทร์ออกเพื่อดูแผลให้ชัด ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยปากถาม
"ดีนะที่แผลไม่ลึก ตกลงไปโดนอะไรมาน่ะตาดิน"
"โดนหนามเกี่ยวตั้งแต่ไปถึงวันแรกครับ ไม่เป็นอะไรหรอกแผลนิดเดียว อาจารย์ทำแผลมาให้แล้ว" เสียงห้าวของเด็กชายที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่นตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเดินไปเปิดกระโปรงหลังรถเพื่อเก็บกระเป๋าเป้ไว้ในนั้น ทุกคนจึงขึ้นไปนั่งรอบนรถโดยนฤบดินทร์ขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย
ทั้งสี่คนตกลงกันตอนนั่งรถว่าจะกินอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อเย็น นฤเบศร์จึงขับรถเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟก็คุยกันสัพเพเหระ ซึ่งหัวข้อสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องบุตรชายคนเล็กของบ้านไปเข้าค่ายต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก
พลันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของมัลลิกาดังขึ้น หญิงสาวจึงหยิบขึ้นมาดูชื่อคนที่โทร. เข้ามา ครั้นพอเห็นว่าเป็นเบญญาภา ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่กินเส้นกันตั้งแต่จำความได้ มัลลิกาก็เบะปากทันที กระนั้นก็ยังกดรับสาย
"มีอะไร" เธอถามเสียงห้วน และพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายโทรศัพท์มาทำไม
"ยายมะลิ นี่แกไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เอเอ็นเอสหรือ"
ได้ยินปลายสายถามรัวเร็วเหมือนร้อนใจมัลลิกาก็ยิ้มกว้าง แต่พอหันหน้าไปมองมารดากับพ่อเลี้ยง ก็เห็นท่านทั้งสองส่งสายตาปรามมาเป็นเชิงว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงด้วย ทว่า...
"อุ๊ย! เขาเอาขึ้นเพจแล้วหรือ ไวดีจัง เป็นไง สวยใช่ไหมล่ะ"
หญิงสาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาของท่านทั้งสอง เพราะกับคนอื่นเธออาจยอม แต่สำหรับเบญญาภา คู่ปรับตั้งแต่เกิดคนนี้เธอไม่มีวันยอมเด็ดขาด
"ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย อย่างกับเด็กแอบเอาเครื่องสำอางแม่มาทาเล่น แกไม่กลัวเขาเจ๊งรึไง ระวังเถอะเขาจะฟ้องร้องแกโทษฐานที่ทำให้สินค้าเขาขายไม่ได้"
"แหม จะไปกลัวทำไมก็ในเมื่อเจ้าของแบรนด์เขามาขอร้องฉันด้วยตัวเองเชียวนะ แถมยังเป็นคนแต่งหน้าให้ฉันเองเลยด้วย แกพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเจ้าของแบรนด์ฝีมือแต่งหน้าไม่ได้เรื่องน่ะสิ นี่ยายเบญ ถ้าแกอยากชมว่าฉันสวยแกก็พูดมาตามตรงเถอะ ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมทำมาเป็นตินั่นตินี่เลย"
เธอพูดพลางมองน้องชายที่นั่งข้าง ๆ เห็นเจ้าตัวแลบลิ้นทำท่าเหมือนจะอาเจียนจึงยื่นมือไปผลักศีรษะอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้
"อีบ้า! เด็กเนิร์ดหน้าจืดอย่างแกเนี่ยนะสวย ถ้าอยากสวยก็ต้องไปเกิดใหม่อย่างเดียวนั่นแหละ อย่าหลงตัวเองนักเลย"
ยังไม่ทันที่มัลลิกาจะได้โต้ตอบอีกฝ่ายก็ชิงวางสายไปก่อน แต่แทนที่จะโกรธที่ถูกเบญญาภาด่าทอ ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกอารมณ์ดีที่ทำให้คนแบบนั้นดิ้นพล่านไปด้วยความร้อนรุ่มในอก
หญิงสาวยิ้มกริ่มแล้วเข้าแอปพลิเคชันไลน์ เลื่อนหารายชื่อของลูกพี่ลูกน้องคู่ปรับ จากนั้นก็พิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปเพื่อเติมเชื้อไฟลงไปอีก
...แกสิบ้า อย่าขี้อิจฉานักเลย เดี๋ยวก็อกแตกตายจนนอนไม่หลับหรอก...
ทางด้านคนที่ถูกยั่วโมโห หลังจากอ่านข้อความที่มัลลิกาส่งมาแล้วก็ได้แต่คับแค้นใจจนเกือบปาโทรศัพท์ทิ้ง แต่เพราะมันคือเครื่องมือทำมาหากิน เบญญาภาจึงได้แต่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องเพื่อระงับความโกรธ
เธอเกลียดมัลลิกาเข้าไส้ เกลียดที่ตั้งแต่เล็กจนโตเธอจะถูกผู้ใหญ่นำไปเปรียบเทียบกับมัลลิกาตลอด เพราะอายุเท่ากันเรียนชั้นเดียวกัน แต่อีกฝ่ายเรียนดีสอบได้ที่หนึ่งของห้องเสมอ ในขณะที่เธอมีผลการเรียนระดับกลาง ผู้เป็นย่า หรือแม้กระทั่งบิดาของเธอเองจึงเอาแต่ชื่นชมมัลลิกาไม่ขาดปาก ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกอบรมและถูกพูดกรอกหูอยู่เสมอว่าให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างก็คือเธอ ดังนั้นเธอจึงเกลียดแสนเกลียดผู้หญิงคนนี้
พลันนั้น ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นในหัว เบญญาภารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเข้าหน้าเฟซบุ๊กของเครื่องสำอางยี่ห้อเอเอ็นเอสทันที
"วางขายมะรืนนี้อย่างนั้นหรือ" หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อคิดออกแล้วว่าควรทำอย่างไรถึงจะเป็นฝ่ายพลิกเอาชนะมัลลิกาในเกมนี้ได้
เบญญาภาเป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่มีคนติดตามในเพจและอินสตาแกรมเกือบแสนคน เครื่องสำอาง อาหารเสริมยี่ห้อดังหลากหลายยี่ห้อต่างก็ติดต่อเข้ามาจ้างเธอรีวิวให้ และถ้าเธอเป็นฝ่ายรีวิวลิปสติกรุ่นนี้ด้วยตัวเองโดยที่เอเอ็นเอสไม่ได้จ้าง แต่เธอจะใช้วิธีแท็กชื่อเพจของแบรนด์นี้เข้าไป อย่างไรเสียแอดมินของทางเอเอ็นเอสจะต้องเห็น และต้องนำขึ้นไปเสนอผู้บริหารเพื่อให้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์แทนที่มัลลิกาแน่นอน
ในเมื่อเธอสวยกว่า ดังกว่า คนรู้จักมากกว่า มีหรือที่เอเอ็นเอสจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
"คอยดูละกันนังมะลิ ว่าระหว่างฉันกับแกเขาจะเลือกใคร"
มัลลิกานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียงขณะที่มองรูปตัวเองโชว์หราอยู่หน้าเพจของเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ไม่อยากเชื่อว่าตนจะได้มาเป็นนางแบบลิปสติก เพราะแต่ไหนแต่ไรมาใบหน้าของเธอแทบไม่ได้แตะต้องเครื่องสำอางเลย ในแต่ละวันมีเพียงครีมบำรุง ครีมกันแดด แป้งเด็ก และลิปกลอสเท่านั้น
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองครั้งตามมาด้วยเสียงเปิดประตูแล้วปิดลงตามเดิม ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครเดินเข้ามา มัลลิกาจึงส่งเสียงทักออกไป
"มีอะไรรึเปล่าดิน เพราะปกติเวลานี้แกต้องนั่งเล่นเกมอยู่ในห้องไม่ใช่หรือ"
นฤบดินทร์ยักไหล่พลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วถาม
"อาทิตย์หน้าจะไปบ้านนู้นหรือ"
"อืม วันเกิดน้องภูมิน่ะ คุณย่าโทร. มาชวน กะว่าจะอยู่สักพักก็กลับแล้วละคงไม่อยู่นานหรอก คนเยอะเรื่องก็เยอะ ขี้เกียจไปวุ่นวายด้วย" หญิงสาวเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อนึกถึงญาติทางฝั่งบิดาบังเกิดเกล้า
"ก็ดี ถ้าพี่ไปก็ระวังตัวด้วยล่ะ โดยเฉพาะพวกนั้น" เด็กหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับมีเรื่องให้เครียดตลอดเวลา
"พี่รู้น่า ถึงได้บอกว่าไม่อยู่นานไง ถ้าพี่เกาะติดอยู่กับคุณย่าตลอดเวลาพวกมันก็คงไม่กล้ามาแกล้งอะไรพี่หรอก" มัลลิกาเห็นน้องชายพยายามวางท่าเคร่งขรึมก็อดยิ้มไม่ได้ แต่พอเหลือบไปเห็นรอยครูดที่คอจึงจ้องหน้าน้องชายนิ่ง
"ไอ้ดิน แกบอกพี่มาตามตรงว่ารอยที่คอไปโดนอะไรมากันแน่"
ได้ยินพี่สาวเค้นถาม ทั้งยังทำท่าราวกับว่าตนต้องตอบไปตามความจริงห้ามโกหก นฤบดินทร์จึงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดแล้วตอบว่า
"ต่อยกับเพื่อนในห้อง"
"แล้ว..." หญิงสาวรู้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นจึงคาดคั้นให้น้องชายพูดต่อ
"ก็ไม่แล้วไง มันสู้ผมไม่ได้ก็เลยบีบคอผม ก็แค่นั้น" เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
"สาเหตุล่ะ พี่รู้สึกว่าแกบอกพี่ไม่หมดนะ" มัลลิกาได้แต่เค้นถามเพราะไม่สามารถจับมือน้องชายเพื่ออ่านใจอีกฝ่ายได้
"มันเรียกผมว่าไอ้ตุ๊ด บอกว่าผมสวยกว่าผู้หญิง ผมไม่ชอบก็เลยต่อยมัน"
มัลลิกาถอนหายใจแผ่วเมื่อทราบถึงสาเหตุที่ทำให้น้องชายเลือดร้อนของตนก่อเรื่อง แต่จะว่าไปนฤบดินทร์ก็จัดว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีเหมือนนักร้องเกาหลีที่สาวไทยชื่นชอบ ด้วยความที่ใบหน้าขาวใสไร้สิวหนำซ้ำริมฝีปากยังแดงราวกับทาลิปสติก จึงไม่แปลกที่จะถูกเพื่อนในห้องล้อเลียนว่าสวยเหมือนผู้หญิง
"แกจะไปใส่ใจทำไม ไม่รู้รึไงว่าหน้าตาแบบนี้สาว ๆ เขาชอบกันจะตาย พี่ว่านะ คนที่มันล้อแกน่ะคงอิจฉามากกว่า เป็นเพราะผู้หญิงในห้องมาชอบแกเยอะสิท่าก็เลยถูกหมั่นไส้เอาน่ะ พี่เดาถูกไหม"
นฤบดินทร์หันขวับมองพี่สาวด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็อ้อมแอ้มพูดเสียงแผ่วราวกับกลัวคนได้ยิน
"พรุ่งนี้ไปโรงเรียน อาจารย์ฝ่ายปกครองบอกว่าจะส่งจดหมายเชิญผู้ปกครองให้มาคุยเรื่องที่ผมไปต่อยเพื่อน พี่มะลิไปแทนคุณพ่อหน่อยได้ไหม"
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะความจริงแล้วแค่การทะเลาะวิวาทกันธรรมดา อาจารย์ไม่น่าเชิญผู้ปกครองไปพูดคุยถึงที่โรงเรียน นอกเสียว่าเรื่องจะค่อนข้างร้ายแรง
"ทำไมถึงต้องเชิญ แกบอกพี่มาตามตรงสิไอ้ดินว่าแกไปทำอะไรเพื่อนกันแน่"
นฤบดินทร์นั่งโน้มตัวมาด้านหน้าเอาศอกวางไว้บนหัวเข่าแล้วถูมือตัวเองไปมาไม่ยอมปริปากพูด ซึ่งอากัปกิริยาเช่นนี้มัลลิกาก็เดาออกแล้วว่าน้องชายของตนเล่นงานเพื่อนร่วมห้องหนักหนาไม่น้อยเลย
เด็กหนุ่มนั่งเงียบอยู่ประมาณสิบนาที มัลลิกาเองก็รอคำตอบอย่างใจเย็น ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมเปิดปากพูด
"ผมต่อยมันดั้งหัก คางแตกเย็บไปยี่สิบเข็ม"
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก