Home / โรแมนติก / เล่ห์โอบรัก / บทที่ 5 ญาติตัวดี - 35%

Share

บทที่ 5 ญาติตัวดี - 35%

last update Last Updated: 2025-03-18 13:00:30

มัลลิกาหลับตานิ่งตอนที่ภาวินแต้มลิปสติกลงบนริมฝีปาก เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง และยิ่งไม่กล้าสบตากับเขา ใจนึกอยากให้เขาแต่งหน้าให้เธอเสร็จเร็ว ๆ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้าจนหญิงสาวอยากคิดว่าเขาจงใจยืดเวลาให้นานขึ้นเพื่อแกล้งเธอ

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้มัลลิกาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นทันทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ภาวินแต่งหน้าให้เธอเสร็จแล้วเช่นกัน หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าผู้ที่โทร. เข้ามาคือนฤเบศร์ผู้เป็นพ่อเลี้ยง

"ค่ะคุณพ่อ"

ภาวินปล่อยให้มัลลิกาคุยโทรศัพท์ส่วนตนก็หันมาหาบุตรสาวที่กำลังนั่งรอให้ตนแต่งหน้าให้อย่างใจจดใจจ่อ เขาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ มารดาของเขาถูกใจเหลือเกินที่หลานสาวรักสวยรักงามแบบนี้

ระหว่างที่ชายหนุ่มแต่งหน้าให้พราวนภา มัลลิกาก็วางสายจากบิดาแล้วนั่งมองเขาใช้ปลายพู่กันค่อย ๆ แต้มบนริมฝีปากเล็ก ๆ ของบุตรสาว มือไม้ของเขาดูคล่องแคล่วมาก เธอไม่ค่อยเห็นผู้ชายแท้ ๆ จะเชี่ยวชาญเรื่องการใช้แปรงแต่งหน้าและเครื่องสำอางเท่าไร ส่วนใหญ่คนที่ชำนาญด้านนี้มักเป็นสาวประเภทสองมากกว่า

"ทำไมพี่ถึงแต่งหน้าเป็นล่ะคะ ไปเรียนมาหรือ"

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นนักบินมาก่อน และเพิ่งมารับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้านในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้นการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถแต่งหน้ารวมไปถึงรู้จักการใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้คล่องขนาดนี้ก็น่าจะเป็นเพราะไปเรียนศึกษาเพิ่มเติมเป็นแน่

"เรียนเอาจากยูทูบน่ะ มีเพียบเลย" เขาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม

"ปกติหนูไม่ค่อยเห็นผู้ชายสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่พี่ดูคล่องกว่าหนูอีก"

หญิงสาวพูดไปตามตรง เพราะหากพูดถึงการแต่งหน้าแล้ว เธอแทบไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย

"มันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนี่นาว่าเครื่องสำอางควรจะเป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้น สำหรับพี่แล้วการแต่งหน้าคือศิลปะอย่างหนึ่ง จะว่าไปมันก็เหมือนเวทมนตร์นะเพราะเครื่องสำอางสามารถดึงจุดเด่นกลบจุดด้อยบนใบหน้าของคนได้ และที่สำคัญคือครอบครัวพี่ทำธุรกิจนี้ ถ้าพี่ไม่หัดเรียนรู้สตอรี่ของมันพี่ก็คงบริหารไม่ได้"

มัลลิกายิ้มให้กับคำอธิบายของเขา กำลังคิดจะพูดบางอย่างแต่หางตาก็เห็นว่าภคินีกำลังถือเสื้อผ้าหลายชุดเดินเข้ามาในห้อง

"หนูมะลิลองใส่เสื้อตัวนี้ให้ป้าดูหน่อย...เอ๊ะ"

ภคินีขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่ตนแต่งแต้มไว้ให้นางแบบจำเป็นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม

"นี่เราแต่งหน้าให้น้องใหม่หรือตาวิน" ไม่ต้องไปสืบความที่ไหน เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็มีเพียงภาวินคนเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้

"คือว่าเมื่อกี้หนูเผลอทำลิปสติกเลอะหน้าค่ะ ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะ พี่เขาก็เลยแต่งให้ใหม่"

มัลลิการีบพูดขึ้นอย่างร้อนตัวเพราะเกรงว่าพราวนภาจะชิงเล่าให้ผู้เป็นย่าฟังก่อน

ภคินียิ้มพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดว่า "ฝีมือเมกอัปดีขึ้นนะ เมื่อก่อนนี่อย่างกับแต่งไปเล่นงิ้ว เอาละ ไปห้องสตูฯ กันเลยดีกว่า"

มัลลิกาเดินตามทุกคนไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุดซึ่งอยู่ถัดจากห้องทำงานไปโดยมีห้องน้ำกั้นไว้ หญิงสาวรับเสื้อผ้าจากเจ้าของบ้านมาถือพลางตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายบอก

"ถ้าหนูแต่งตัวเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องนั้นนะ พยายามอย่าให้เครื่องสำอางเลอะหน้าอีกล่ะ"

หญิงสาวยิ้มเจื่อนรับคำเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ภคินีเลือกมาให้นั้นเป็นเดรสแขนกุดลายทางขาวดำคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสี่ส่วนสีขาวขนาดพอดีตัว

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย มัลลิกามองตัวเองในกระจกแล้วอดยิ้มไม่ได้ เพราะการแต่งตัวแบบนี้ทำให้ดูก้ำกึ่งระหว่างผู้หญิงวัยรุ่นกับวัยทำงาน ดูไม่เด็กจนเกินไปและดูไม่เคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่อีกด้วย

หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำแล้วไปห้องที่อยู่ในสุดตามที่เจ้าของบ้านบอก เมื่อเข้าไปถึงเธอจึงเห็นว่าห้องนั้นคือห้องสำหรับถ่ายภาพโดยเฉพาะ ผนังห้องด้านหนึ่งเป็นตู้กระจกสูงจรดเพดาน ในตู้มีเครื่องสำอางต่าง ๆ วางเรียงรายจนนับไม่ถ้วน หน้าตู้มีโต๊ะตัวยาววางขนานตลอดแนว ตรงกลางห้องมีชุดไฟและแบ็กดรอปรวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพไม่ต่างจากสตูดิโอทั่วไป ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความจริงจังและเป็นการเป็นงานจนเธอรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และเหมือนภาวินจะรู้สึกได้ว่านางแบบจำเป็นเริ่มประหม่าจึงเดินเข้ามาคุยด้วย

"ไม่ต้องเกร็งนะ แค่ถ่ายรูปเอง จะยิ้มก็ได้ไม่ยิ้มก็ได้ พี่จะถ่ายเราแค่ครึ่งตัวเท่านั้น"

"ค่ะ" แม้จะรับคำไปอย่างนั้นแต่ใจจริงเธอก็อดกังวลไม่ได้ กลัวภาพออกไม่ดี กลัวฟีดแบ็กติดลบหลังจากปล่อยภาพออกไปแล้วจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาขายไม่ออก

ขณะที่มัลลิกามัวแต่กังวลไปสารพัด ชายหนุ่มก็เดินไปพูดบางอย่างกับบุตรสาวสุดที่รักที่กำลังนั่งเอียงหน้าไปมาอยู่หน้ากระจก เห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับคำบิดาอย่างแข็งขัน ภาวินจึงเดินไปยืนอยู่หลังขาตั้งกล้องมองมารดาของตนถือนิตยสารเล่มหนึ่งเปิดให้มัลลิกาดู

"ลองดูนะจ๊ะ ป้าเชื่อว่าหนูทำได้ ครั้งแรกก็เขินแบบนี้แหละ แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็ชิน" ภคินีชูนิ้วโป้งขึ้นอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินออกมายืนข้างบุตรชาย

"พี่มะลิสวยจังเลยค่ะ โตขึ้นหนูพราวอยากสวยแบบพี่มะลิบ้าง"

พราวนภาโบกมือพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้า ส่วนคนถูกชมซึ่งหน้านั้นก็เขินจนอดยิ้มออกมาไม่ได้

แชะ! แชะ! แชะ!

เสียงกดชัตเตอร์ดังติดกันสามครั้ง ส่งผลให้มัลลิกาหุบยิ้มทันทีด้วยความตกใจ เธอเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองตากล้องเพราะอยากรู้ว่าเมื่อครู่เขาแค่ลองกล้องเล่นหรือถ่ายจริง แต่ชายหนุ่มกลับกดชัตเตอร์รัวอีกครั้ง

"โอเคครับภาพสวยมาก จัดสีต่อไปเลยครับคุณแม่"

พูดจบภาวินก็เดินไปเปลี่ยนฉากด้านหลังด้วยการเลื่อนฉากสีชมพูอ่อนไปเก็บไว้ในผนังแล้วเลื่อนฉากใหม่มาแทนที่ ส่วนมัลลิกานั้นก็ถูกภคินีดึงมานั่งที่โต๊ะแล้วจัดการเช็ดลิปสติกสีเดิมออก จากนั้นก็ทาสีใหม่ลงไป

มัลลิกาต้องเช็ดแล้วทาสีใหม่อยู่แบบนี้ทั้งหมดแปดครั้งเพราะลิปสติกของคอลเลกชั่นนี้มีแปดสี แต่หญิงสาวกลับไม่เบื่อ ตรงกันข้าม เธอเริ่มสนุกกับการแต่งหน้าทาปากถึงกับหยิบลิปสติกขึ้นมาทาด้วยตัวเอง

การถ่ายภาพนิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น นางแบบจำเป็นเริ่มคล่องและไม่เขินกล้องเท่าครั้งแรกแล้ว อีกทั้งยังมีพราวนภากับภคินีสองย่าหลานคอยชวนคุยตลอดเวลา โดยที่ตากล้องสมัครเล่นอย่างภาวินก็คอยกดชัตเตอร์ในอิริยาบถทีเผลอของหญิงสาว ภาพที่ได้จึงดูเป็นธรรมชาติและดูเข้าถึงง่ายอย่างที่เขากับมารดาต้องการพอดี

"ผมจะรีบส่งรูปไปให้กราฟฟิกทำรายละเอียดแล้วเย็นนี้จะเอาขึ้นเฟซบุ๊กเลย" ชายหนุ่มพูดกับมารดาจบก็มองเลยไปทางนางแบบจำเป็นแล้วยิ้มให้

"ขอบคุณมากนะมะลิ ถ้าไม่ได้หนูพี่คงแย่แน่"

"ไม่เป็นไรค่ะ" มัลลิกายิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากประโยคนี้ ขณะที่กำลังจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนเพื่อเปลี่ยนใส่ชุดเดิมนั้น โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวรีบกดรับแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำทันที

สิบนาทีต่อมา มัลลิกาก็เดินกลับเข้ามาในห้องสตูดิโอพร้อมกับเสื้อผ้าของภคินีที่พับอย่างเรียบร้อย ตอนที่เข้ามานั้นภาวินไม่อยู่ในห้องแล้วเพราะต้องรีบส่งรูปไปให้ฝ่ายกราฟฟิก มีเพียงสองย่าหลานเท่านั้นที่ยังเพลิดเพลินกับบรรดาเครื่องสำอางที่มีอยู่มากมายในตู้

เธอวางเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะแล้วบอก "หนูกลับบ้านก่อนนะคะ คุณพ่อโทร. มาเรียกแล้วค่ะ"

"จะกลับแล้วหรือจ๊ะ ว่าแต่คุณพ่อหนูไม่ว่าอะไรใช่ไหม ป้าว่าเย็นนี้จะไปขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของหนูสักหน่อยเรื่องที่ให้หนูมาเป็นนางแบบให้โดยไม่ขออนุญาต"

"หนูบอกคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ ท่านไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าเย็นนี้ที่บ้านคงไม่มีคนอยู่เพราะเดี๋ยวต้องไปรับน้องชายที่กลับจากเข้าค่ายต่างจังหวัดค่ะ เห็นว่ารถบัสจะถึงโรงเรียนตอนบ่ายสี่โมง รับเสร็จก็คงกินข้าวกันจากข้างนอกเลยแล้วค่อยเข้าบ้าน"

ภคินีพยักหน้าพลางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

"ถ้าอย่างนั้นหนูมะลิรอป้าตรงนี้ก่อนนะ อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวป้ามาจ้ะ รอแป๊บเดียว" พูดจบก็เดินเร็ว ๆ ออกจากห้องไป

มัลลิกาเดินไปดูเครื่องสำอางที่วางกองอยู่บนโต๊ะโดยมีพราวนภานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบชิ้นนั้นชิ้นนี้มาเปิดดูอย่างตื่นเต้น เธอจึงแกล้งกระเซ้าไป

"ชอบละสิหนูพราว มีแต่สวย ๆ ทั้งนั้นเลย"

"ใช่ค่ะ หนูพราวชอบมาก ถ้ารู้ว่าที่นี่มีที่แต่งหน้าเยอะขนาดนี้หนูพราวคงเข้ามาเล่นตั้งนานแล้ว"

พราวนภาพูดพลางใช้แปรงเกลี่ยบนบลัชออนแล้วเอามาปาดแก้มตัวเองจนแก้มใส ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูแจ๋ มัลลิกาคิดจะห้ามแต่ก็ได้ยินเสียงภคินีเดินเข้ามาในห้องเสียก่อนจึงหันไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายยื่นซองสีน้ำตาลเข้มมาให้แล้วบอก

"ค่าเหนื่อยของหนูจ้ะ รับไว้เถอะห้ามปฏิเสธ ถึงจะไม่มากมายอะไรแต่ป้าก็อยากให้"

ตอนแรกมัลลิกาไม่กล้ารับเพราะเกรงใจแต่ก็ถูกภคินียัดใส่มือมาจนได้ สุดท้ายหญิงสาวจึงต้องรับซองนั้นไว้แล้วยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม

"หนูกลับบ้านก่อนนะคะ หนูพราวคะพี่มะลิกลับบ้านก่อนนะ"

ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเพื่อนตัวน้อย แต่แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าที่เต็มไปด้วยสีสันของพราวนภา ส่วนผู้เป็นย่านั้นถึงกับยกมือทาบอก

"หนูพราวสวยไหมคะ"

 เด็กน้อยฉีกยิ้มสดใส ลิปสติกสีแดงสดที่ทาเลยริมฝีปากไปนั้นยิ่งส่งให้ปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มดูกว้างขึ้น พวงแก้มสีชมพูสด เปลือกตาสารพัดสี ทำเอาผู้ใหญ่สองคนเกือบหลุดหัวเราะออกมา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 24 พ่อตากับลูกเขย - บทส่งท้าย

    มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 100%

    ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 70%

    "ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 23 ฝึกรัก - 35%

    มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 100%

    มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่

  • เล่ห์โอบรัก   บทที่ 22 ตื่นจากฝัน - 70%

    มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status