นาร์มินก้าวลงมาจากรถหรูที่มีคนขับเดินลงมาเปิดประตูให้ หลังจากกลับมาจากแคนาดาแล้วพักผ่อนสองวัน เธอก็ต้องมารับหน้าที่คุยเจรจาขอให้มาร์คินยอมทำธุรกิจร่วมกับธุรกิจทางบ้าน
คนรอบข้างบอกว่าการที่จะทำให้มาร์คินยอมตกลงทำธุรกิจด้วย ไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เพราะไม่เคยมีใครสามารถหว่านล้อมมาร์คินได้ แม้รู้ว่ายาก แต่ก็อยากลองเสี่ยงดูสักตั้ง… “มาขอพบคุณมาร์คินค่ะ” “ไม่ทราบว่าชื่ออะไรคะ?” “นาร์มินค่ะ” “คุณนาร์มินได้นัดไว้รึเปล่าคะ?” “ไม่ได้นัดค่ะ” “ปกติแล้วท่านประธานจะไม่ให้ใครเข้าพบง่ายๆ ถ้าไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้าอะค่ะ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์บริเวณทางเข้าบอกนาร์มิน ปกติแล้วมาร์คินไม่ค่อยให้ใครเข้าพบง่ายๆ บางคนขอนัดล่วงหน้าแต่ถูกมาร์คินปฏิเสธมาแล้วก็มี การที่จะเข้าถึงตัวมาร์คินไม่ใช่เรื่องง่าย… “พอจะมีวิธีไหมคะ พอดีมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเขา” “คุณนาร์มินคงต้องนัดท่านประธานก่อนนะคะ” พนักงานสาวพูดกับนาร์มินด้วยรอยยิ้ม มาร์คินเป็นคนแบบไหนพนักงานที่นี่รู้ดี ถ้าหากทำให้ท่านประธานไม่พอใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา จะไม่มีคำว่าตักเตือนหรือตำหนิ สิ่งเดียวที่จะได้รับก็คือ…ใบลาออก “มีเบอร์ติดต่อเขาไหมคะ?” เธอเอ่ยถาม มาร์คินเป็นคนเข้าถึงยากมากพอสมควร ขนาดเบอร์โทรศัพท์ยังหายาก ในแวดวงนักธุรกิจแทบไม่มีใครมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาเลย “ถ้าต้องการนัดท่านประธาน คุณนาร์มินต้องติดต่อผ่านคนสนิทของคุณท่านประธานเท่านั้นนะคะ นี่ค่ะ เบอร์ของคนสนิท” “ขอบคุณนะคะ” เธอเอื้อมมือไปหยิบกระดาษที่พนักงานสาวเขียนเบอร์คนสนิทของมาร์คินให้มา จังหวะกำลังก้าวเท้าเดินออกไป สายตาได้พลันเห็นบางคนที่ตั้งใจมาหากำลังเดินตรงมาทางนี้ มาร์คิน… ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร หากแต่สีหน้าและแววตากลับเต็มไปด้วยความนิ่งเฉย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามได้ดีไม่น้อย เธอมองเขาด้วยความรู้สึกคุ้นตา ราวกับว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน แค่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียทีว่าที่ไหน “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณมาร์คิน” เธอตรงเข้าไปหาเขาอย่างไม่รีรอ ในตอนที่เธอพุ่งไปหามาร์คิน ชายชุุดดำที่เดินตามหลังก็ตั้งท่าเข้ามาหาเธอเช่นเดียวกัน แต่ถูกเขายกมือห้ามเอาไว้ “….” มาร์คินยืนมองหญิงสาวตรงหน้านิ่งๆ ไม่เอ่ยทักทายหรือพูดอะไรออกมา ความเงียบของเขาพลอยทำให้นาร์มินรู้สึกประหม่า “เอ่อ…พอจะมีเวลาว่างไหมคะ ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย” “เรื่องอะไร” มาร์คินเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ใบหน้ายังคงมีเพียงอารมณ์เดียว ท่าทางนิ่งๆ ของมาเฟียหนุ่มยิ่งทำให้นาร์มินประหม่าหนักขึ้นจากเดิม “เรื่องธุรกิจค่ะ” “ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันไม่คุย” พูดจบมาร์คินก็เดินออกไป ทิ้งให้นาร์มินยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่คนเดียว เธอยืนอึ้งและทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตวัดสองเท้าเดินตามมาร์คิน ยังไงวันนี้ก็ต้องหว่านล้อมให้เขายอมมาทำธุรกิจกับครอบครัวของเธอให้ได้ ตอนนี้พ่อและแม่ฝากความหวังไว้ที่เธอ ถ้าหากทำพลาด พวกเขาคงผิดหวังมากน่าดู เพราะดูแล้วพ่อกับแม่คาดหวังเรื่องนี้ไว้สูงมากๆ “เดี๋ยวก่อนสิคะคุณมาร์คิน ขอร้องนะคะ ช่วยหยุดฟังฉันสักแป๊บนึงได้ไหม” เธอเดินตามมาร์คิน พยายามขอร้องให้เขาหยุดฟังในสิ่งที่เตรียมมา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมหยุดฟังอย่างที่เธอเอ่ยขอ มาร์คินเดินตรงไปยังรถที่จอดรอโดยไม่สนใจนาร์มินที่พยายามเดินตามมาขอให้ตัวเองหยุดฟัง หญิงสาวเดินไปดักหน้ามาเฟียหนุ่มเพื่อขวางทางเดิน แต่ทว่าส้นสูงที่สวมใส่มาดันพลิก ทำให้มือเล็กคว้าสูทสีดำของมาร์คินเอาไว้อัตโนมัติ “คุณมาร์คะ…ว้าย!!” มาเฟียหนุ่มถูกมือเล็กดึงสูทโดยที่ตัวเองไม่ทันตั้งตัว เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเร็วจนตั้งรับไม่ทัน ทำให้เสียหลักเซตามแรงดึงของนาร์มิน แต่โชคดีที่ตนเองมีสติมากพอเลยทำให้ไม่ล้มลงพื้นทั้งคู่ มาร์คินใช้มือข้างหนึ่งรั้งเอวบางนาร์มินแล้วดึงกลับมา ทำให้ร่างบางกระแทกใส่ร่างของเขาเต็มแรงแต่ไม่ถึงกับล้ม เพียงแค่เท้าถอยเซก้าวไปข้างหลังเท่านั้น “!!!!” เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ตอนนี้ปากตัวเองและปากของมาร์คินกำลังแนบชิดกัน หัวใจที่นิ่งสงบพลันเต้นแรงอัตโนมัติ เมื่อได้สติจึงรีบผลักเขาออกห่าง เขาเลื่อนมือขึ้นมาสัมผัสปากตัวเองที่เพิ่งจูบกับผู้หญิงคนนี้ตรงจุดที่มีเลือดออก สายตามองเลือดบนนิ้ว ก่อนจะดึงสายตาไปมองตัวก่อเรื่อง “ขะ…ขอโทษค่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ปากคุณเลือดออกเลยนะคะ” “….” ซวยแล้วไหมยัยนาร์มิน! เธอพูดคนเดียวในใจ หลังจากขอโทษมาร์คิน สิ่งเดียวที่ได้รับกลับมาก็คือ…ความเงียบ มาร์คินไม่พูดอะไร สองเท้าตวัดเดินตรงไปยังรถหรูที่จอดรออยู่ไม่ไกล ทิ้งให้นาร์มินยืนเคว้งคนเดียวท่ามกลางความรู้สึกอาย นอกจากจะไม่ยอมคุยเรื่องธุรกิจแล้ว ยังเผลอไปจูบอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย…มาร์คินหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดคราบเลือดบนริมฝีปากที่เกิดจากการกระแทกกับนาร์มินเมื่อกี้ด้วยความรู้สึกหัวเสีย“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร มึงรู้จักไหมไอ้เร็น” เขาเอ่ยถามคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกายคนขับเสียงเข้ม “รู้จักครับ เธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเธียระกิตติ์” เร็นตอบกลับมาร์คิน ก่อนจะเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ตอนนี้บริษัทของตระกูลเธียระกิตติ์กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างหนัก ซึ่งมีโอกาสล้มละลายสูงมาก”“….”“การที่ลูกสาวคนโตของตระกูลเธียระกิตติ์มาหานาย ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจ เธอคงมาขอให้นายช่วย”“ถ้าเห็นผู้หญิงคนนี้มาที่บริษัทอีก ไล่ให้ไปให้พ้น”“ครับนาย” เร็นตอบรับคำสั่งจากมาร์คิน พลางแอบชำเลืองมองเจ้านายผ่านกระจกหลัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้คงสร้างความขุ่นเคืองให้แก่มาร์คินไม่น้อย เพราะเท่าที่ฟังจากน้ำเสียง มันบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้านายหนุ่มไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาสักเท่าไร“ตอนที่นายกำลังประชุม คนของเราโทรมาบอกว่ารู้ตัวหนอนบ่อนไส้แล้ว”“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”“อยู่โกดังครับ”“คืนนี้กูจะเข้าไป” เขาตอบ ก่อนจะเบือนใบหน้ามองไปนอกกระจกหรู เหตุการณ์ที่ผ่านมายังคงทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองไม่
นาร์มินก้าวลงมาจากรถหรูที่มีคนขับเดินลงมาเปิดประตูให้ หลังจากกลับมาจากแคนาดาแล้วพักผ่อนสองวัน เธอก็ต้องมารับหน้าที่คุยเจรจาขอให้มาร์คินยอมทำธุรกิจร่วมกับธุรกิจทางบ้าน คนรอบข้างบอกว่าการที่จะทำให้มาร์คินยอมตกลงทำธุรกิจด้วย ไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เพราะไม่เคยมีใครสามารถหว่านล้อมมาร์คินได้แม้รู้ว่ายาก แต่ก็อยากลองเสี่ยงดูสักตั้ง…“มาขอพบคุณมาร์คินค่ะ”“ไม่ทราบว่าชื่ออะไรคะ?”“นาร์มินค่ะ”“คุณนาร์มินได้นัดไว้รึเปล่าคะ?”“ไม่ได้นัดค่ะ”“ปกติแล้วท่านประธานจะไม่ให้ใครเข้าพบง่ายๆ ถ้าไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้าอะค่ะ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์บริเวณทางเข้าบอกนาร์มิน ปกติแล้วมาร์คินไม่ค่อยให้ใครเข้าพบง่ายๆ บางคนขอนัดล่วงหน้าแต่ถูกมาร์คินปฏิเสธมาแล้วก็มี การที่จะเข้าถึงตัวมาร์คินไม่ใช่เรื่องง่าย…“พอจะมีวิธีไหมคะ พอดีมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเขา”“คุณนาร์มินคงต้องนัดท่านประธานก่อนนะคะ” พนักงานสาวพูดกับนาร์มินด้วยรอยยิ้ม มาร์คินเป็นคนแบบไหนพนักงานที่นี่รู้ดี ถ้าหากทำให้ท่านประธานไม่พอใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา จะไม่มีคำว่าตักเตือนหรือตำหนิ สิ่งเดียวที่จะได้รับก็คือ…ใบลาออก“มีเ
หนึ่งเดือนต่อมานาร์มินเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ภายในสนามบินท่ามกลางผู้คนจำนวนหนึ่งที่เดินสวนไปมา หลังจากอกหักจากแฟนหนุ่มที่คบกันมาสองปี เธอก็ตัดสินใจจองตั๋วบินไปรักษาแผลใจคนเดียวที่แคนาดาร่วมหนึ่งเดือนเต็ม แม้ว่าตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เต็มร้อย แต่ก็ไม่เจ็บปวดเหมือนวันแรกที่รับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอกใจ ที่ต้องบินกลับประเทศไทยเพราะธุรกิจทางบ้านมีปัญหา ทำให้ต้องบินกลับมาช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดวงตากลมโตละจากโทรศัพท์ในมือมองไปยังทางเดินตรงหน้า สายตาปะทะเข้ากับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่สวมแว่นตาสีดำกำลังเดินมาอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับชายชุุดดำ ด้วยความที่เขาคนนั้นมีความโดดเด่นและมีเสน่ห์ ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้แปลก…ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าใบหน้าผู้ชายคนนั้นถึงดูคุ้นตาราวกับเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียที ชายหนุ่มหน้าตาดีเดินผ่านไป กลิ่นหอมจากตัวเขาเผลอมาเตะจมูกจนเผลอทำให้ใจสั่น เธอหยุดชะงักสองเท้าแล้วหมุนตัวไปมองเขาคนนั้นพร้อมเกิดคำถามในใจ“ทำไมดูคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” เธอพึมพำคนเดียวด้วยความสงสัย ลักษณะท่าทางของเขาดูคุ้นตาพิกล แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเจ
เท้าเล็กเหยียบคันเร่งรถหรูของตัวเองบนถนนของสะพานแห่งหนึ่งใจกลางเมืองมหานครในยามค่ำคืนท่ามกลางน้ำตามากมายบนใบหน้า หัวใจดวงน้อยปวดหนึบคล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อหลายนาทีที่ผ่านมา เอี๊ยดดดนาร์มินเหยียบเบรกจนล้อครูดเสียดกับพื้นถนนเสียงดังไปทั่วบริเวณ หญิงสาวฟุบใบหน้าลงพวงมาลัยแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ภาพแฟนหนุ่มและผู้หญิงคนนั้นที่กำลังนัวเนียกันอย่างถึงพริกถึงขิงยังคงติดตามาจนถึงตอนนี้ รู้ดีว่าไม่มีใครลืมเหตุการณ์ที่ทำให้เราเจ็บปวดได้ภายในไม่กี่วินาที แต่ถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็อยากลืมมันเสียตอนนี้ ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจดจำ และไม่อยากให้ภาพเหล่านั้นมาทำร้ายความรู้สึกของเธอ “ฮึก…” เธอเปิดประตูรถลงมา ตวัดสองเท้าไปยังสะพานแม่น้ำตรงหน้าลมเย็นพัดโกรกผ่านมาทำให้น้ำตาบนใบหน้าเริ่มแห้ง แทนที่น้ำตาจะหายไป แต่ทว่ามันกลับยังคงไหลโรยรินเปียกชุ่มใบหน้าเหมือนเดิมแววตาคู่สวยแฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทอดมองสายน้ำตรงหน้า พร้อมหลุบมองความสูงระหว่างจุดที่ตัวเองยืนและแม่น้ำข้างล่าง สองมือกำขอบสะพานเอาไว้แน่น “หึ แค่ผู้ชายคนเดียว มันทำให้ฉันถึงขั้นเกือบคิดสั้นเลยเหรอเนี่ย” เธอแค
ริมฝีปากกระจับสีระเรื่อคลี่ยิ้มกว้างหลังจากทำการจัดลูกโป่งอัดแก๊สฮีเลียมที่มีคำว่า ‘2nd Anniversary’ แปะเอาไว้บนผนังตรงหัวเตียงนอน ส่วนบนเตียงนอนมีกลีบกุหลาบสีแดงโรยเป็นรูปหัวใจและมีช่อดอกไม้วางเอาไว้ตรงกลางพร้อมกล่องของขวัญที่จัดเตรียมเอาไว้ นาร์มิน มองผลงานตัวเองที่ก้มหน้าก้มตาทำอย่างตั้งใจมาตลอดทั้งวันด้วยรอยยิ้ม วันนี้คือวันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบที่เธอและแฟนคบกันครบสองปี ทุกอย่างในห้องนอนเธอเป็นคนจัดเตรียมเองคนเดียวทั้งหมด ดวงตากลมโตมองเวลาบนผนังห้อง ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกับอีกสามสิบนาที ซึ่งแฟนเธอบอกว่าคืนนี้กลับดึกเพราะมีนัดคุยงานกับลูกค้า เธอบอกแฟนว่าวันนี้จะไปงานเลี้ยงสำคัญกับครอบครัวที่หัวหินและจะกลับพรุ่งนี้ ซึ่งในความเป็นจริงมีเพียงพ่อกับแม่เธอที่ไปเท่านั้น เพียงแค่เอาส่วนนั้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อให้เขาไม่รู้ว่าคืนนี้ตนจัดเตรียมเซอร์ไพรส์เอาไว้ให้“เมื่อไหร่จะมา…” เธอเริ่มพึมพำ มือหยิบโทรศัพท์มาหมายจะส่งข้อความหาแฟนหนุ่ม แต่ต้องชะงักนิ้วเอาไว้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสงสัย “เดี๋ยวก็มาแล้วละ”สุดท้ายตัดสินใจไม่ส่งข้อความหาแดนที่เป็นแฟนหนุ่ม นั่งรอเขาอยู่เกือบสี