"หาน... หลี่หาน..." เสิ่นหาน หรือเขาควรจะชื่อว่าหลี่หานพึมพำชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับเป็นคำที่ไม่คุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความผูกพันอันลึกซึ้งที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขามองจี้หยกจักรพรรดิในมือลูกสาวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของผู้หญิงที่เคยเรียกว่าแม่มาทั้งชีวิต... ผู้หญิงที่เลี้ยงดูเขามาด้วยความลำเอียงกดขี่ และบัดนี้กำลังยื่นคำขาดที่แสนโหดร้าย
"หากอยากจะอยู่ที่นี่ต่อและใช้แซ่เสิ่นแกก็ยอมยกตำแหน่งงานให้อาฉีซะ หากไม่ตกลงแกก็ออกไปจากบ้านนี้โดยที่แม้แต่แซ่เสิ่นแกก็ต้องทิ้งเอาไว้ด้วย" คำพูดของจางหลินยังคงก้องอยู่ในหู
มันคือทางเลือกที่บีบคั้นหัวใจ... เลือกที่จะอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงและการกดขี่ต่อไปเพียงเพื่อรักษาแซ่ ที่ไม่ใช่ของตัวเอง
หรือเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างออกไปเผชิญโลกภายนอกด้วยตัวตนที่แท้จริง แต่ไร้ซึ่งหลักประกันใด ๆ ถึงอนาคตที่มองไม่เห็นทาง
เสิ่นฉีและฟางหลานมองมาด้วยแววตาคาดหวังและเย้ยหยัน พวกเขาเชื่อมั่นว่าน้องชาย/น้องเขยที่หัวอ่อนและหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงมาตลอดจะต้องยอมจำนนในที่สุด
จางหลินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยรอคอยคำตอบด้วยความมั่นใจ นางเชื่อว่าคนที่นางเลี้ยงมากับมือจะไม่มีวันกล้าปฏิเสธนาง แต่แล้ว...สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เสิ่นหานที่ตอนนี้ตัดสินใจจะใช้แซ่ของตนตามหยกที่ได้มาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความสับสนและเจ็บปวดบัดนี้กลับฉายแววของความสงบนิ่งและความเด็ดเดี่ยวอย่างประหลาด เขามองจางหลินนิ่งนานก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและชัดเจนมากกว่าทุกครั้งในชีวิต
"ผมจะตกลงก็ต่อเมื่อคุณให้ผมทำการแยกบ้านและตัดขาดความสัมพันธ์กับผมทั้งหมดโดยที่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ว่าผมกับครอบครัวจะเป็นเช่นไรคุณจะไม่นำมาพูดถึงอย่างเด็ดขาด" คำกล่าวของพ่อทำให้เสิ่นเมี่ยวเบิกตากว้างมองไปทางเขาอย่างเหลือเชื่อ
พ่อ...ยอมแลกตำแหน่งงานกับอิสรภาพอย่างนั้นเหรอ แม้ว่าเรื่องนี้จะผิดแผนไปจากที่เธอวางไว้แต่เธอคิดว่านี่ก็เป็นทางออกที่ดีเหมือนกันยังไงซะก็จะได้ไปจากบ้านที่เปรียบเหมือนนรกหลังนี้
"แกว่าอะไรนะ!" จางหลินแทบไม่อยากเชื่อหู นางคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว หากว่าหลี่หานเลือกตัดความสัมพันธ์จริงแล้วต่อไปหล่อนจะไปรีดไถเงินจากพวกมันได้ยังไง?
ตำแหน่งงานของเสิ่นฉีมันก็สำคัญแต่แหล่งเงินในอนาคตก็ทิ้งไม่ได้ "แกจะบ้าเหรอ! แยกบ้าน ตัดขาดกันง่าย ๆ แบบนี้น่ะนะ! แกคิดว่าแกจะไปรอดรึไง!" นางจางเริ่มหาเหตุผลมาคัดค้าน
แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะได้พูดอะไรมากไปมากกว่านั้น เสิ่นฉีที่อยากได้ตำแหน่งงานจนตัวสั่นก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
"แม่ครับ! ผมว่าข้อเสนอของอาหานก็ไม่เลวนะ" เขารีบสนับสนุนน้องชายนอกไส้อย่างรวดเร็วกลัวว่าแม่จะเปลี่ยนใจ
"เราก็ได้ตำแหน่งงานที่เราควรจะได้ ส่วนพวกมันอยากจะแยกไปไหนก็เรื่องของมัน ตัดขาดกันไปเลยก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก"
ฟางหลานเองก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ค่ะแม่! พี่ฉีพูดถูกค่ะ ตำแหน่งงานสำคัญที่สุดนะคะ ส่วนเรื่องอื่นช่างมันเถอะ"
จางหลินมองหน้าลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ที่เห็นแก่ได้อย่างชัดเจน นางลังเลอย่างหนัก ใจหนึ่งก็อยากได้ตำแหน่งงานให้เสิ่นฉี อีกใจก็เสียดายแหล่งเงินที่จะหายไป แต่เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของหลี่หานและท่าทีกระตือรือร้นของเสิ่นฉี นางก็รู้ว่าคงจะรั้งไว้ไม่ได้แล้ว
"ก็ได้!" นางกัดฟันพูดออกมาในที่สุด แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "ถ้าแกยืนยันจะไปนัก ก็ไป แยกบ้านไปเลยตัดขาดกันไป แต่ตำแหน่งงานนั่นแกต้องเขียนใบลาออกให้เรียบร้อย แล้วก็..." นางปรายตามองไปยังจี้หยกจักรพรรดิในมื เสิ่นเมี่ยวอีกครั้ง
"หยกนั่นต้องทิ้งไว้ด้วย"
"เรื่องตำแหน่งงาน ผมจัดการให้ได้" หลี่หานตอบรับอย่างหนักแน่น "แต่หยกชิ้นนี้เป็นของผม เป็นของดูต่างหน้าจากแม่ แท้ ๆ ของผม ผมไม่ให้!"
"แก!" จางหลินกำลังจะอาละวาดอีกครั้ง
"พอเถอะค่ะแม่!" คราวนี้เป็นฟางหลานที่รีบห้ามไว้ หล่อนกระซิบกับแม่สามี "เรื่องหยกช่างมันก่อนเถอะค่ะ เอาตำแหน่งงานมาก่อนดีกว่าอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง อีกอย่างหยกนั่นก็สลักแซ่กับชื่อของมันไว้เอามาจะมีประโยชน์อะไรได้"
จางหลินจ้องหลี่หานอย่างกินเลือดกินเนื้อ แต่สุดท้ายก็สะบัดหน้าพรืด "เออ! ไม่ให้ก็ไม่ต้องให้! แต่แกต้องไปทำเรื่องลาออกให้เสร็จภายในวันนี้ แล้วก็ไสหัวออกจากบ้านฉันไปซะ! อย่าให้ฉันเห็นหน้าพวกแกอีก!"
"เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แต่ก่อนอื่นผมว่ารีบไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้มาเป็นพยานเรื่องตัดขาดความสัมพันธ์ก่อนดีกว่าเพราะผมกับครอบครัวก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาเหมือนกัน"
คำพูดของหลี่หานเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวทำให้จางหลินโกรธจนหน้าเขียว แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยปากเสิ่นฉีก็รีบตอบรับทันทีเพราะกลัวว่าเรื่องจะพลิกผัน
"ใช่ครับแม่! รีบไปตามผู้ใหญ่บ้านมาเลยดีกว่าครับ จะได้จัดการให้มันจบ ๆ ไปเสียที อาหานเขาอยากไปเราก็ควรจะปล่อยเขาไปตามทางของเขาจริงไหมครับ" เสิ่นฉีหันไปยิ้มเอาใจหลี่หาน แต่แววตาฉายแววสมใจอย่างปิดไม่มิด
"ใช่ค่ะแม่ ให้พี่ฉีไปตามผู้ใหญ่บ้านเถอะค่ะ" ฟางหลานรีบเสริมทัพสามี
จางหลินมองหน้าลูกชายและลูกสะใภ้ที่แทบจะรอไม่ไหว นางกัดฟันกรอดรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า แต่เมื่อนึกถึงตำแหน่งงานที่มั่นคงของโรงงาน นางก็จำต้องสะกดความไม่พอใจเอาไว้
"ก็ได้! เสี่ยวตง แกรีบวิ่งไปตามผู้ใหญ่บ้านมา! บอกให้มาเป็นพยานเรื่องแยกบ้าน ตัดขาดความสัมพันธ์เดี๋ยวนี้"
เสิ่นตงที่แอบฟังอยู่รับคำอย่างรวดเร็วราวกับกลัวใครจะแย่งหน้าที่ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกจากบ้านไปด้วยความเร็วทิ้งให้บรรยากาศในบ้านตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
จางหลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ใบหน้ายังคงบึ้งตึงและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หล่อนจ้องมองหลี่หานราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ในใจกำลังคิดคำนวณถึงผลกระทบที่จะตามมา แม้จะได้ตำแหน่งงานให้ลูกชายคนโตสมใจแต่การตัดขาดกับหลี่หานก็หมายถึงการสูญเสียแหล่งพึ่งพิงและเบี้ยเลี้ยงในอนาคตไปเช่นกัน
เสิ่นฉีและฟางหลานนั่งอยู่ด้านข้างพยายามเก็บอาการดีใจไว้ แต่แววตาที่ลอบมองหลี่หานเป็นครั้งคราวก็เต็มไปด้วยความสมใจและเย้ยหยัน ในที่สุดอุปสรรคชิ้นใหญ่ก็กำลังจะถูกกำจัดออกไป ตำแหน่งงานที่พวกเขาใฝ่ฝันกำลังจะตกมาอยู่ในมือ! ส่วนเรื่องอื่น...ค่อยว่ากันทีหลัง
ทางด้านครอบครัวหลี่หาน พวกเขายืนจับมือกันแน่นเป็นวงกลมขนาดเล็กอยู่กลางห้องโถง หลี่หานยืนตัวตรงแม้ภายในใจจะยังคงสับสนและเจ็บปวดกับความจริงที่เพิ่งรับรู้
แต่การตัดสินใจที่จะตัดขาดและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวตนที่แท้จริง ทำให้เขารู้สึกถึงความปลดปล่อยและความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขามองภรรยาและลูกสองคนด้วยแววตาที่แน่วแน่...ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรพวกเขาจะเผชิญมันไปด้วยกัน
เซี่ยอวิ๋นซือซบศีรษะลงบนไหล่สามี น้ำตายังคงคลอหน่วย แต่ไม่ใช่เพราะความเสียใจอีกต่อไปแต่เป็นความตื้นตันใจในความเด็ดเดี่ยวของสามีและความหวังในอนาคตที่กำลังจะเริ่มต้น แม้ว่าตอนนี้จะยังมองไม่เห็นหนทางแต่เธอก็พร้อมจะสู้ไปกับเขา
เสิ่นหยวนยืนอยู่ข้างพ่อมองไปยังย่าและลุงป้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้น เขาอาจจะยังเด็กแต่เขาก็เข้าใจดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้มีความหมายต่อครอบครัวพวกเขามากเพียงใด เขาจะเข้มแข็งและคอยช่วยเหลือพ่อแม่และน้องสาวให้ดีที่สุด
เสิ่นเมี่ยวยืนกุมมือพ่อไว้แน่น เธอมองไปรอบห้องโถงที่เคยเรียกว่าบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ในใจกำลังวางแผนขั้นต่อไปอย่างรวดเร็ว...เมื่อออกจากบ้านหลังนี้แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน? จะหาเงินได้อย่างไร? เธอต้องรีบคิดหาทางให้เร็วที่สุด
เสี่ยวหม่าว สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? มีบ้านเช่าราคาถูกใกล้ ๆ หรือที่พักชั่วคราวแนะนำไหม?
กำลังค้นหาครับเจ้านาย! พบข้อมูลบ้านร้างท้ายหมู่บ้านหลังหนึ่ง เจ้าของย้ายไปอยู่เมืองหลวงนานแล้วอาจจะพอเจรจาขออาศัยชั่วคราวได้ และก็มีห้องเช่าหลังเล็กค่อนข้างเก่าในซอยใกล้ตลาดแต่สภาพค่อนข้างทรุดโทรมครับ ต้องใช้เงินซ่อมแซมอยู่บ้าง
หากอยากให้พ่อเป็นช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าตามที่เราวางแผนกันไว้ ฉันว่าบ้านเช่าใกล้ตลาดน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ว่าหากมันต้องซ่อมแซมฉันก็ไม่รู้ว่าบ้านเราจะมีเงินพอหรือเปล่า เสิ่นเมี่ยวรู้สึกลังเลโดยหลงลืมเรื่องที่แม่ของเธอนั้นได้เคยขอยื่นเรื่องให้ทางโรงงานจัดสรรที่พักเอาไว้ให้ตั้งแต่ต้นปี
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ละวินาทีดูเหมือนจะยาวนานกว่าปกติ ทุกคนต่างจมอยู่ในความคิดของตนเองรอคอยการมาถึงของผู้ที่จะมาเป็นสักขีพยานในการแยกทางครั้งนี้
และแล้ว...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นจากหน้าประตูบ้าน เสิ่นตงกลับมาแล้ว...พร้อมกับผู้ใหญ่บ้านรวมถึงยังมีชาวบ้านตามมาอีกเป็นพรวนเสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ
อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "
หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง
หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่