Share

ตอนที่9 เปิดเผยความลับ

"แม่ครับ ผมว่าบอกความจริงกับมันไปเถอะ" คำพูดของบุตรชายคนโตทำให้จางหลินที่กำลังยกมือปิดปากแน่นส่ายหน้าไปมา

"แม่คะ ฉันเห็นด้วยกับพี่ฉีนะคะ บอกกับเขาไปเถอะ" ฟางหลานเองก็ถือโอกาสนี้ยุแยงออกมาบ้าง

"นี่มันเรื่องอะไรกันครับ!?" เสิ่นหานตะโกนถามเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสับสนและเจ็บปวด เขามองหน้าแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้สลับกันไปมาต้องการคำตอบต้องการความจริงที่จะมาปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดหายไปในชีวิตของตน

จางหลินยังคงส่ายหน้ายกมือปิดปากแน่นดวงตาสั่นระริก นางไม่อยากพูดไม่อยากให้ความลับที่เก็บงำมานานถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด แต่นางก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันบีบคั้นเกินกว่าจะปิดบังได้อีกต่อไป

"แม่ครับ บอกเขาไปเถอะ" เสิ่นฉีกระตุ้นอีกครั้ง น้ำเสียงมีความสมเพชระคนสะใจอยู่ในที

"ให้มันรู้ความจริงไปเลย มันจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นแค่กาฝากอะไรที่ไม่สมควรได้ก็ไม่ควรเรียกร้อง"

"ใช่ค่ะแม่ บอกไปเลยค่ะ" ฟางหลานเสริมอย่างกระตือรือร้น "อาหานจะได้รู้บุญคุณที่แม่กับพ่อเลี้ยงดูมา"

แรงกดดันจากลูกชายคนโตและลูกสะใภ้กอปรกับสายตาคาดคั้นที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวของเสิ่นหานทำให้กำแพงในใจของจางหลินพังทลายลงในที่สุด

นางลดมือลงจากปากถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายและจำนน ก่อนจะเริ่มเล่าความจริงด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเย็นชา

"ก็ได้...ในเมื่อแกอยากรู้มากนัก ฉันก็จะบอกให้!" นางจ้องมองเสิ่นหานเขม็ง "หลายปีก่อน...นานมากแล้ว ตอนที่ฉันกับพ่อแกยังลำบากอยู่ที่เก่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง...หน้าตาสะสวย แต่งตัวมอซออุ้มแกตอนยังเป็นทารกมาหาพวกเรา"

นางจางเว้นจังหวะ มองปฏิกิริยาของเสิ่นหานที่ยืนนิ่งฟังราวกับรูปปั้น "หล่อนบอกว่ามีเหตุจำเป็น เลี้ยงแกไม่ได้ ต้องเดินทางไกล ขอฝากแกไว้กับพวกเราก่อน...นางบอกว่าจะฝากไว้แค่สิบปี แล้วจะกลับมารับคืน"

เสิ่นหานแทบหยุดหายใจ...สิบปี?

"แกเห็นหรือยังว่าบ้านเสิ่นของเรามีน้ำใจกับแกมากแค่ไหน" นางจางเริ่มบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องเงินที่ผู้หญิงคนนั้นให้ไว้

"ดังนั้นตอนนี้แกคิดว่าควรจะถึงเวลาที่แกควรตอบแทนพวกเราแล้วหรือยัง" คำพูดต่อมาอย่างหน้าไม่อายของจางหลินทำให้ครอบครัวของเสิ่นหานตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งด้วยความตกตะลึงและความรู้สึกเหลือเชื่อ

เสิ่นหานที่เพิ่งจะรับรู้ความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองยังไม่ทันจะได้ประมวลผลความเจ็บปวดนั้นให้ดี ก็ต้องมาเผชิญกับการทวงบุญคุณที่ไร้ยางอายนี้อีก เขาจ้องมองใบหน้าของผู้หญิงที่เลี้ยงดูเขามาด้วยแววตาว่างเปล่า

ความรู้สึกสับสน เจ็บปวด และตอนนี้...มีความขมขื่นและผิดหวังอย่างรุนแรงเข้ามาแทนที่ นี่นะหรือคือน้ำใจของผู้ที่ตัวเขาเรียกว่าแม่มาตลอดหลายปีพูดถึง? การเลี้ยงดูเขาและใช้แรงงานเขาเยี่ยงทาส

อีกทั้งมีอะไรก็ต้องคอยเสียสละให้เสิ่นฉีตลอดหลายปีเขายังตอบแทนน้ำใจไม่พออีกหรือ เซี่ยอวิ๋นซือโอบกอดสามีไว้แน่นยิ่งขึ้น หล่อนกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือดด้วยความโกรธอีกทั้งอยากจะกรีดร้อง อยากจะด่าทอความหน้าไม่อายของแม่สามี

แต่เมื่อเห็นสภาพจิตใจอันเปราะบางของสามี เธอก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ ส่งผ่านความอบอุ่นและกำลังใจให้เขาผ่านอ้อมกอด เสิ่นหยวนกำหมัดแน่นดวงตาที่ปกติจะอ่อนโยนบัดนี้ฉายแววโกรธขึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขารู้สึกขยะแขยงการกระทำของย่าและลุงป้าอย่างที่สุด เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่เอาเปรียบครอบครัวตนมาตลอด แต่ยังกล้านำเรื่องนี้มาขู่เข็ญพ่อของเขาอีก คำว่าบุญคุณนับตั้งแต่จำความได้ที่เสิ่นหานรับเขามาเลี้ยงดูไม่เคยมีวันไหนเลยที่คนบ้านใหญ่จะไม่รังแกพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูก

ท่ามกลางความเงียบงันและความรู้สึกที่หลากหลายนั้น เสียงใส ๆ แต่เย็นชาของเสิ่นเมี่ยวก็ดังขึ้นทำลายความเงียบนี้ลง

"คุณจาง” เสิ่นเมี่ยวคิดว่าในเมื่อพ่อของตนไม่มีสายเลือดเดียวกับคนพวกนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องนับญาติกับพวกเขาอีกต่อไป

จางหลินหันขวับมามองหลานสาวตัวแสบนอกสายเลือดด้วยแววตาขุ่นเคือง "แกจะพูดอะไรอีก นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!"

เสิ่นเมี่ยวไม่สนใจคำด่าทอ เธอก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยจ้องมองย่าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

"ฉันอยากรู้ว่าย่าตัวจริงของพ่อฉันนั้นได้ทิ้งอะไรไว้ให้พ่อบ้างหรือเปล่า บอกตามตรงว่าฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณจะมีน้ำใจรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งโดยไม่มีผลประโยชน์"

คำถามนี้ของเสิ่นเมี่ยวราวกับระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกโยนลงมากลางวง จางหลินหน้าซีดเผือดทันที นังเด็กนี่! มันรู้เรื่องอะไรหรือเปล่าหรือว่ามันจะรู้เรื่องเงิน เป็นไปไม่ได้ฉันไม่เคยบอกใครอีกอย่างตอนนั้นเสิ่นหานก็ยังแบเบาะ

แววตาของนางจางกลิ้งกลอกไปมา เสิ่นเมี่ยวจึงคิดว่าตัวเองน่าจะมาถูกทางดังนั้นเธอจึงได้จี้ใจดำโดยการหยั่งเชิงขึ้นมาอีก

"อย่างเช่นเงินมหาศาลจำนวนหนึ่ง" เสิ่นเมี่ยวยังพูดไม่ทันจบนางจางก็โพล่งสวนมาทันที

"เงินอะไร...ไม่มีหรอก"

ท่าทางของจางหลินยิ่งทำให้เสิ่นเมี่ยวรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว

(เหอะ..ไม่มีกับผีนะสิ ฉันดูละครสั้นมาเยอะนะยะ) วิญญาณของหญิงสาวในร่างเด็กแย้ง

"ถ้าไม่มีเงิน อย่างนั้น...ฉันคิดว่าก็น่าจะมีหยกหรือเครื่องประดับหรือของแทนตัวอะไรสักอย่างที่บ่งบอกฐานะของพ่อฉัน ไม่อย่างนั้นหากว่าย่าตัวจริงของฉันกลับมาจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนคือลูกของเธอ" เสิ่นเมี่ยวยังไม่คิดยอมแพ้เธอคิดว่าหากพ่อไม่ใช่ลูกชายของบ้านเสิ่นจริงหลักฐานบอกตัวตนของเขาจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน

นางจางกำลังจะปฏิเสธอีกคำรบ ทว่า..."คุณจางคิดให้ดีก่อนตอบนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะคิดว่าการที่คุณบอกว่าพ่อไม่ใช่สายเลือดของคุณนั้นเป็นเพียงข้าอ้างที่คุณต้องการจะบีบให้พ่อสละตำแหน่งงานให้กับ..." เสิ่นเมี่ยวกล่าวเชิงขู่พลางปรายตามองไปทางเสิ่นฉีที่กำลังยืนหน้าดำหน้าแดง

"ฉันพูดเรื่องจริงต่างหาก แกคอยดูนะฉันจะไปเอาหลักฐานมาให้เดี๋ยวนี้แหละ" ด้วยความโกรธและโดนสายตาที่เด็กไม่กี่ขวบมองมาอย่างรู้ทันทำให้จางหลินไม่คิดหน้าคิดหลังจึงเดินหายไปทางห้องนอนของตน

ไม่นานนักหล่อนก็เดินกลับออกมาจากห้องด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ในมือของนางกำวัตถุชิ้นหนึ่งไว้แน่น เมื่อมาถึงกลางห้องโถงเธอก็เหยียดแขนออกไปตรงหน้าเสิ่นหานอย่างแรง แบมือออกอย่างไม่เต็มใจนัก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น

ทันทีที่วัตถุชิ้นนั้นปรากฏแก่สายตาบรรยากาศในห้องก็พลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้แต่แสงสลัว ๆ ภายในบ้านก็ดูเหมือนจะสว่างวาบขึ้นเล็กน้อยเมื่อกระทบกับสิ่งนั้น

มันคือจี้หยกชิ้นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคน ต้องเบิกตากว้างคือสีและเนื้อของหยกชิ้นนั้นซึ่งมีสีเขียวสดเข้ม และสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้นราวกับสีเขียวมรกตซึ่งดูงดงาม อีกทั้งยังไม่มีตำหนิอย่างหยกราคาถูกทั่วไป เนื้อหยกดูฉ่ำวาวมีความโปร่งแสงสูงจนเกือบจะใส

เมื่อแสงตกกระทบก็เกิดประกายเรืองรองอ่อน ๆ ขึ้นมาจากภายในเนื้อหยกสัมผัสได้ถึงความเนียนละเอียดและเย็นเยียบในตัว แม้จะไม่ได้แกะสลักลวดลายซับซ้อน เป็นเพียงรูปทรงหยดน้ำเรียบ ๆ แต่ความงามอันบริสุทธิ์และคุณภาพเนื้อหยกที่เหนือกว่าหยกใด ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นก็บ่งบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา

เจ้านาย มันคือหยกจักรพรรดิ ราคาของมันไม่ธรรมดาเลยนะครับ สำหรับยุคนี้หากนำไปขายก็น่าจะได้หลายหมื่นหยวนทีเดียว เสียงของเสี่ยวหม่าวดังขึ้นซึ่งเสิ่นเมี่ยวเองก็เห็นด้วย

(แต่ในเมื่อหยกยังคงอยู่นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่คนโลภอย่างนางจางไม่นำไปขาย อีกทั้งยังคงเก็บรักษามาจนถึงตอนนี้) เสิ่นเมี่ยวครุ่นคิดก่อนจะอาศัยช่วงเวลาที่นางจางไม่ทันตั้งตัวหยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาดู

"นางเด็กบ้า! แกจะทำอะไร" จางหลินตวาดแหวเสียงดังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

"หลี่" ทว่าเสิ่นเมี่ยวหาได้สนใจ เธอจึงได้อ่านอักษรที่สลักบนตัวหยกออกมาก่อนจะตามมาด้วยประโยคที่สอง "หาน หลี่หาน" เธอหันหน้าไปมองพ่อของตัวเองทันทีทันใดหลังอ่านอักษรทั้งสองคำรวมกัน

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   ตอนที่52 กล้าไม่กล้า

    เสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   ตอนที่55 ผมขอปฏิเสธ

    สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   ตอนที่51 ความหน้าหนาของนางจาง

    อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   ตอนที่54 ช่วย (2)

    หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   ตอนที่53 ช่วย (1)

    หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   ตอนที่50 เข้าสู่หนทางอันตราย

    ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status