ในช่วงที่หญิงสาวกำลังรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต เธอได้ช่วยชีวิตหญิงชราคนหนึ่งเอาไว้ นับตั้งแต่วันนั้นชิวิตของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
View More“คุณฟาง นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปคุณไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ เนื่องจากบริษัทมีการลดจำนวนพนักงานตามนโยบาย และผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่คุณเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนซองนี้เป็นเงินค่าชดเชยผมหวังว่าคุณจะหางานใหม่ได้ในเร็ววัน” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้ายังคงดังก้องในหัวของหญิงสาววัยยี่สิบห้าปี นามของเธอคือฟางซิน ในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงไปตามริมทางเท้า หลังจากเดินออกจากบานประตูกระจกหมุนซึ่งเป็นที่ทำงานของตนมาตลอดระยะเวลาสามปี
(เหอะ! ลดพนักงานลงตามนโยบายอย่างนั้นหรือ งี่เง่าสิ้นดี ไล่ฉันออกก็มีคนมาเสียบต่อทันทีอย่างนี้เขาเรียกว่าลดตรงไหน ประเทศนี้มันเป็นอะไรกันคนไม่มีเส้นสายมักจะถูกรังแกอยู่เสมออย่างนั้นหรือ) หญิงสาวคิดในระหว่างที่เดินไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ใบหน้าห่อเหี่ยวของเธอมองซองสีขาวยับยู่ยี่ในกำมือแน่น (เงินชดเชยสามเดือนแลกกับการปิดปากไม่ให้ฉันไปร้องเรียน จะว่าคุ้มก็ไม่เชิง จะว่าไม่คุ้มก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน ถ้าเป็นคนอื่นคงได้ประท้วงไปแล้ว แต่ใครใช้ให้คนนั้นเป็นฉันกันล่ะ
อยู่ตัวคนเดียวญาติพี่น้องไม่มี ชีวิตเด็กกำพร้าที่ปากกัดตีนถีบมาตลอดมันก็ต้องดิ้นกันต่อไปล่ะนะ เอาเถอะในเมื่ออยู่เมืองใหญ่ไม่ได้ก็ไปอยู่เมืองอื่นก็แล้วกัน) หญิงสาวคิดเรื่อยเปื่อยในขณะที่สองเท้าเดินไปยังจุดรอรถประจำทางเบื้องหน้า
แต่แล้วสายตาของเจ้าตัวก็มองเห็นหญิงชราท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ เดินอยู่ตรงทางข้ามแยก ซึ่งอีกไม่นานสัญญาณไฟจะเปลี่ยนสี “แย่แล้ว!”
ฟางซินไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยในการวิ่งไปช่วยหญิงชราคนนั้น “คุณยาย!” เธอตะโกนขึ้นจนสุดเสียงเมื่อมองเห็นรถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของผู้ที่ตนกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถคนนั้นกำลังจะชนเข้ากับร่างของหญิงชรา ฟางซินก็ได้ผลักร่างกายผอมบางของหญิงคนนั้นให้พ้นรัศมีของพญามัจจุราชไปได้อย่างฉิวเฉียด
แต่ทว่าผู้โชคร้ายนั้นกลับเป็นตัวของฟางซินเองที่เป็นผู้มารับเคราะห์แทนในครั้งนี้
ร่างของหญิงสาวลอยละลิ่วราวว่าวขาดออกจากเชือกก่อนที่จะตกกระแทกลงกับพื้นถนน เสียงผู้คนกรีดร้องไม่ได้เข้าหูผู้กำลังนอนมองท้องฟ้าด้วยดวงตาพร่ามัว
“เจ็บ อย่างน้อยฉันก็ได้ทำความดีก่อนตายละนะ” ถ้อยคำพึมพำแผ่วเบาผสมกับเลือดสีแดงสดก่อนดวงตาของหญิงสาวจะปิดลงตลอดกาล
วิญญาณของฟางซินมองสภาพแสนอเนจอนาถของตัวเองด้วยความรู้สึกชวนอดสู
“ความโชคร้ายนี้ช่างเป็นของฉันฟางซินคนนี้จริง ๆ ถูกเชิญออกจากงานยังไม่พอ มาช่วยคนข้ามถนนก็มาโดนรถชนตายสภาพดูไม่ได้ อ๊ะ! ว่าแต่คุณยายที่เราช่วยไว้ไปไหนแล้ว”
วิญญาณของฟางซินหันซ้ายแลขวาแต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ มีมืออันเย็นเยียบของใครบางคนจับหัวไหล่ของเธอจากทางด้านหลัง
“มองหาฉันอยู่หรือแม่หนู ขอบใจนะที่ช่วยฉันเอาไว้โดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง” น้ำเสียงของผู้พูดไม่คล้ายกับหญิงชราเฉกเช่นรูปลักษณ์ทำให้ฟางซินหัวคิ้วชนกันด้วยความสงสัย
“เธอนี่ตลกดีนะ ฉันนึกว่าจะแปลกใจเสียอีกที่เห็นฉันในสภาพเช่นนี้แต่ทว่ากลับสงสัยในน้ำเสียงของฉันแทน”
(อุ๊ต๊ะ! คุณยายอ่านใจเราได้ด้วย) เจ้าตัวคิด
“ฉันไม่ได้อ่านใจได้หรอก เพียงแต่ใบหน้าของเธอมันฉายชัดออกมาต่างหาก”
ฟางซินยิ้มแหยก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยความเสียใจ เนื่องจากเจ้าตัวคิดว่าเธอไม่สามารถช่วยหญิงชราเอาไว้ได้นั่นเอง “หนูขอโทษนะคะ ที่ไม่สามารถช่วยคุณยายเอาไว้ได้”
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ความจริงแล้วรถคันนั้นมองไม่เห็นฉันตั้งแต่แรกแล้ว โน ๆ เธออย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันไม่ใช่วิญญาณหาตัวตายแทนอย่างที่เธอคิดนะ ฉันเป็นเทพต่างหาก และกำลังมองหาผู้ที่มีชะตาต้องกันไปรับทำหน้าที่บางอย่าง
ซึ่งบังเอิญว่าเป็นเธอที่มาช่วยฉันเอาไว้และมีคุณสมบัติตามที่ฉันต้องการ” ฟางซินนิ่งฟังหญิงชราก่อนที่เธอจะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี
“คุณยายคะ การที่จะหาใครสักคนให้ทำหน้าที่แทน ฉันคิดว่าอย่างน้อย ๆ คุณยายก็ควรถามความเห็นของเขาก่อนไหมคะ ไม่ใช่ว่าจะมาทำแบบนี้และดูสภาพศพของฉันสิแหลกเหลวไปทั้งร่างหาดีไม่ได้เลย แถมซ้ำผู้คนยังลือกันไปอีกว่าฉันฆ่าตัวตาย” วิญญาณสาวกล่าวตัดพ้อ
“เธออย่าได้โทษฉันเรื่องนี้เลย ความจริงคือเธอนะดวงชะตาขาดแล้วเพียงแต่ว่าได้มาเจอเข้ากับฉันจึงทำให้ยังไม่มีใครมารับต่างหาก แต่ถ้าหากเธอไม่รับข้อเสนอพวกเขาก็คงจะต้องมารับวิญญาณของเธอในไม่ช้านี่แหละ” เทพในร่างหญิงชรากล่าวตามจริง
“จริงหรือคะ แต่ฉันยังไม่ทันได้ใช้เงินที่ได้มาเลยนะ เฮ้อ! คิดแล้วก็เศร้าแปลก ๆ” ฟางซินถอนใจอย่างเสียดาย
“ไม่ต้องเสียดายไปหรอก เพราะหากเธอรับข้อเสนอของฉัน เงินรวมถึงความโชคดีจะมีต่อเธอดั่งสายน้ำไหลทีเดียว” เทพ ในร่างหญิงชรากล่าวชวนเชื่อโดยที่เจ้าตัวปิดบังความจริงไว้กึ่งหนึ่ง
“จะมีสิ่งดี ๆ อย่างนี้จริงหรือคะ ไม่ใช่ว่าคุณยายจะคุยโวให้ฉันรับปากหรอกนะ” ฟางซินหรี่ตามองผู้พูดด้วยแววตาเคลือบแคลง
“ฉันจะหลอกทำไม อีกอย่างเธออยากมีครอบครัวไม่ใช่หรือ โลกใบนั้นมีครอบครัวของเธอด้วยนะ เป็นอย่างไรเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างหรือยัง”
ฟางซินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดไปชั่วขณะหนึ่งความ คิดของเธอเริ่มที่จะเอนเอียงไปทางคำว่าครอบครัว ซึ่งตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนตกตายไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง
“แล้วหน้าที่นั้นคืออะไรหรือคะ”
“เมื่อถึงเวลาเธอจะรู้เองแต่ฉันรับรองได้ว่าไม่เกินความ สามารถของเธอหรอก และฉันจะยังมีของแถมให้ด้วย ว่าอย่างไรเวลาไม่คอยท่า หากฉันไม่ส่งเธอไปเกิดใหม่ในตอนนี้เขาจะไม่ยอมแล้วนะ”
“ตกลงค่ะ” ฟางซินตอบหลังจากเห็นท่าทางอันร้อนรนของหญิงชรา “เป็นคำตอบที่ฉลาดมาก ฉันขออวยพรให้เธอโชคดี ของแถมจะปรากฏเมื่อเธอมีอายุได้หนึ่งปีจำไว้นะจงใช้สติและสิ่งที่ได้ไปให้คุ้มค่าล่ะ เอาไว้ค่อยพบกันใหม่ในภายหลัง”
จบคำของเทพผู้อยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงชราร่างวิญญาณของฟางซินก็ถูกท้องฟ้าเบื้องบนดูดกลืนเข้าไป
โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะต้องไปเกิดยังยุคแห่งความอดยากและที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเป็นยุคแห่งประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกด้วย
สายลมเย็นของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิได้นำพาความสดชื่นให้กับผู้คนใช้แรงในขณะที่กำลังนั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่
จู่ ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเจ็บท้องคลอดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “โอ๊ย! มะ..แม่ฉันเจ็บท้อง” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นดังออกมาจากริมฝีปากขาวซีดของลูกสะใภ้คนที่สาม
ทำให้หญิงวัยกลางคนรีบลุกขึ้นเดินมาทางหล่อนด้วยความร้อนใจ
และเมื่อนางเห็นท่าไม่ดีจึงได้ตะโกนเรียกให้หลานชายคนโตวัยหกขวบไปตามลูกชายคนที่สามที่ยังอยู่ในแปลงนา
“ต้าซวนรีบไปเรียกพ่อเร็ว ส่วนเอ่อห่าวรีบไปบอกป้าสะใภ้สองให้ไปตามหมอตำแยสี่มาเร็วเข้า แม่พวกแกกำลังจะคลอดน้อง”
เด็กชายผู้มีใบหน้าคล้ายกันรีบวิ่งออกไปทำตามคำสั่งผู้เป็นย่าด้วยความรวดเร็ว
“พ่อ! แย่แล้วแม่จะออกน้อง” เด็กชายวัยหกขวบตะโกนไปพลางวิ่งไปพลาง “แกว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มผู้อยู่ห่างออกไปตะโกนกลับมาเมื่อได้ยินไม่ชัดเจน
“แม่จะออกน้อง” กู้ซีซวนหรือต้าซวนรวบรวมพละกำลังเท่าที่ทำได้ตะโกนตอบกลับ
เด็กชายงอตัวเอามือกุมเข่าท่าทางคล้ายหมดแรง กู้ซานไห่เมื่อสองหูได้ยินอย่างชัดเจน สองเท้าของเขารีบสาวเท้าเดินลุยดินโคลนมาทางบุตรชายคนโตอย่างเร่งรีบ
“มีใครไปตามป้าสี่หรือยัง” เขาถามเมื่อเดินขึ้นจากแปลงนามาได้ พร้อมกับอุ้มบุตรชายขึ้นเหน็บเอว “น้องรองไปตาม” น้ำเสียงของเด็กน้อยยังคงหอบเนื่องจากเจ้าตัววิ่งมาไกล
“แกจับตัวพ่อดี ๆ นะ” หลังซานไห่กล่าวจบเจ้าตัวก็ออกแรงวิ่งทำให้บุตรตัวน้อยหัวสั่นหัวคลอนไปตามการเคลื่อนไหวของผู้เป็นพ่อ สองแขนผอมบางโอบรอบคอของผู้เป็นพ่อแน่นด้วยกลัวตนเองจะตกลงไปยังพื้นดินแข็งเบื้องล่าง
“ซานไห่มาแล้ว แม่แกพาเมียเข้าไปภายในห้องพักของหัวหน้าหน่วยผลิตแล้ว แกรีบไปดูเถอะ” หญิงวัยเดียวกับมารดารีบบอกชายหนุ่มรุ่นลูกอย่างหวังดี
ซานไห่ยังไม่ทันปล่อยลูกน้อยสองเท้าของเขาก็วิ่งมายังเรือนกระต๊อบที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบเพื่อให้หัวหน้าหน่วยได้พักเป็นการชั่วคราว
“พี่รอง เมียกับแม่ของผมล่ะ” เมื่อสองตาไม่เห็นเมียกับแม่เจ้าตัวจึงได้ถามเอากับพี่ชายที่ยืนอยู่ด้านนอกกับชาวบ้านอีกสามสี่คน “อยู่ข้างใน”
“แกเข้าไปไม่ได้ ผู้หญิงจะคลอดผู้ชายห้ามยุ่งมีลูกมาตั้งสองแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นญาติแซ่เดียวกันรีบกล่าวห้ามเมื่อเห็นว่าหลานชายทำท่าจะเข้าไปในห้องด้านหน้า
ซานไห่ชะงักฝีเท้ายกมือข้างที่ว่างลูบท้ายทอยด้วยอาการเก้อเขิน ตอนนี้ชายหนุ่มได้หลงลืมไปแล้วว่าได้อุ้มลูกชายคนโตเหน็บเอวอยู่
“พ่อ ปล่อย” ต้าซานผู้น่าสงสารส่งเสียงบอกข้างหูของบิดา ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกปล่อยให้ยืนลงกับพื้นด้วยท่าทางโงนเงน (ต่อไปนี้จะไม่ให้พ่ออุ้มอีกแล้ว) เจ้าตัวคิด
ในระหว่างที่คนทั้งหมดกำลังยืนอยู่ด้านนอก พี่สะใภ้คนที่สองของชายหนุ่มก็เดินเข้ามาโดยมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินนำหน้า “คนท้องอยู่ไหน”
ทุกคนชี้ไปทางห้องด้านหน้าพร้อมกัน หมอทำคลอดรีบเดินเข้าไปด้านในทันทีก่อนที่จะสั่งความกับคนด้านนอก “ไปต้มน้ำ” สิ้นคำสั่งนี้ซานไห่ผู้กำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งรีบเดินไปหากระทะใบใหญ่เพื่อต้มน้ำร้อนตามคำสั่งของหมอหญิงโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครสั่งซ้ำ
ภายในท้องของหญิงสาวตั้งครรภ์ ฟางซินผู้กำลังรอการเกิดรู้สึกแปลกใจที่ตนเองมาอยู่ในสถานที่แคบแต่ทว่ากลับมีความอบอุ่น เธอจำได้ว่าหลังจากตนเองถูกท้องฟ้าดูดก็สลบไป
และหลังจากลืมตาตื่นก็มองเห็นเพียงแต่ความมืด อีกทั้งแขนขาของตนก็ดูไม่เหมือนเดิมทำให้เจ้าตัวรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย และไม่รู้ว่าการที่ตนถีบขาไปมานั้นทำให้แม่ของตนรู้สึกเจ็บ
(เราอยู่ที่ไหน) เธอเริ่มนิ่งเพื่อใช้ความคิด กระนั้นทุกสิ่งกลับไม่ได้เป็นดั่งที่ต้องการเมื่อเธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมาถีบก้นของตน อีกทั้งยังได้ยินเสียงจากภายนอกอีกด้วย
“เบ่ง แม่ต้าซวนออกแรงอีกหัวเด็กใกล้จะโผล่ออกมาแล้ว” หมอตำแยสี่พูดขึ้น
“อาจิน อดทนอีกหน่อยนะลูก” นางโม่ผู้เป็นแม่สามีพูดพลางซับเหงื่อให้ลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง
ตอนนี้ฟางซินรู้แล้วว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์ของมารดา (ท่านเทพอย่าให้แม่ของหนูทรมานมากกว่านี้เลยนะให้หนูคลอดออกไปเถอะ)
พรู๊ด!!! “ออกมาแล้ว คลอดง่ายเสียจริง” หมอตำแยกล่าวชม นางโม่เองก็ยิ้มออกมาบ้างนางจึงได้ถามขึ้นด้วยความอยากรู้และคาดหวัง
“ผู้ชายผู้หญิง” คำถามนี้ทำให้ฟางซินรู้สึกเย็นวาบถึงสันหลัง (หรือว่าที่นี่จะไม่ชอบเด็กผู้หญิง ไม่จริงใช่ไหม ฉันคงจะไม่ซวยซ้ำซวยซ้อนหรอกใช่หรือไม่) เด็กน้อยไม่ต้องรอให้ใครตี เธอก็แหกปากร้องออกมาเสียงดังจนคนด้านนอกได้ยินกันจนทั่ว
การเกิดของเด็กหญิงได้ทำให้ทั่วทั้งท้องทุ่งถูกแดดย้อมจนดูเหมือนสีของทองคำไม่มีผิด
“เด็กคนนี้ต้องนำโชคมาให้หมู่บ้านสือเยี่ยน กองผลิตหน่วยที่แปดของเราเป็นแน่” ชายวัยชราฟันเหลือน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อเขาแหงนใบหน้ามองไปยังพระอาทิตย์เบื้องบน
หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นโดนแม่ทำโทษแน่” เสียงถอนหายใจของเธอดังขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วมือเรียวคลี่กระดาษที่ถูกม้วนเข้าหากันให้คลายออกอย่างทะนุถนอม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น “แม่แน่ ๆ” เจ้าตัวคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าเสร็จสรรพ “น้าเสี่ยวเซิงว่าอะไรนะคะ น้ารอหนูอยู่ข้างล่างเหรอ เอ๋! น้าพาเสี่ยวเสวี่ยมาด้วยหนูจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวคนสวยกดวางสายก่อนหย่อนมือถือรุ่นล่าสุดที่บริษัทขอ
สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกผมก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเป็นวัวเป็นม้าและตอบแทนเธอไปจนกว่าชีวิตจะดับสูญ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคนในครอบครัวกู้จะมีความรักให้ผมอย่างท่วมท้นทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่บุญธรรมที่คิดว่าตัวผมนั้นคือเลือดเนื้อในอกของตนอย่างแท้จริง ซึ่งยิ่งเมื่อผมได้ฟังเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ว่าเธอมีน้ำนมให้ผมดื่มกินตั้งแต่วันแรกที่ผมฟื้น หากไม่ใช่ว่าคนในครอบครัวรวมถึงพี่สาวสุดที่รักของผมยืนยันผมคงคิดว่าเรื่องเล่านี้คงเป็นเรื่องโกหก 
“พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจเป็นเพราะเขามองท่าทางของศิษย์คนโปรดออก “แหะ ๆ ผมก็ลืมไปมักจะคิดว่าพ่อยังหนุ่มอยู่เรื่อย” คำแก้ตัวของเจียอินทำให้ชายชรามองเขาตาเขียว “แกเอาตาไหนดูว่าฉันยังหนุ่มเห็นทีว่าสายตาของแกคงจะยิ่งแย่กว่าคนแก่อย่างฉันเสียอีก หล่อนเห็นด้วยไหมศิษย์รัก” ถ้อยคำจิกกัดของอู๋เหยียนหาได้ทำให้เจียอินรู้สึกอันใดไม่ ตรงกันข้ามเขายังแย้มยิ้มยอมรับอีกต่างหาก “ฉันว่าที่พี่เจียอิน
ความนัยใจของผมถึงภรรยาสุดที่รัก ในช่วงเย็นของทุกวันหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้าน สิ่งที่ผมมักจะทำเป็นอย่างแรกและทุกครั้งก็คือการมองหาภรรยาเช่นเดียวกับวันนี้เมื่อผมถามหาเธอจากเด็กรับใช้ สองเท้าของผมเดินมาทางห้องครัว ผมจึงได้เร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นหลังจากได้กลิ่นหอมซึ่งผู้ที่กำลังทำอาหารอยู่นั้นจะต้องเป็นสุดที่รักของผมอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อสองสายตามองเห็นหญิงสาวร่างบางรวบผมเป็นหางม้ากำลังยืนหันหน้าเข้าหาเตา ขาทั้งสองข้างของผมยังไม่ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาหล่อนในทันทีแม้ว่าใจอยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ทั้งนี้เป็นเพราะผมกำลังยืนนิ่งมองผู้กำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำด้วยค
หลายวันผ่านไปข่าวคราวของพวกเขายังคงเงียบงัน ฟางซินเองแม้อยากจะไปดูให้เห็นกับตาทว่าก็จนใจด้วยสถานที่แห่งนั้นเธอกับเสี่ยวหม่าวยังไม่เคยไปมาก่อน ‘ท่านเทพได้โปรดอย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ’ ฟางซินอ้อนวอนร้องขอเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายของตนกับคนรักกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหนานเสิ่นกับมู่เฉินได้ย้อนกลับมาช่วยคนเห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง เพียงเพราะความโลภคนกลุ่มนี้จึงได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวทำตัวเป็นโจรหมายจะปล้นชิงสิ่งของมีค่าของผู้อื่นแต่ทว่าเป็นพวกเขาเองที่โดนคนประเภทเดียวกันเล่นงาน “อาเสิ่นนายหนีไปก่อน ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง” มู่เฉินพูดขึ้นเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นมีอาวุธร
ฟางซินเริ่มฝึกงานหลังวันปีใหม่ บริษัทแห่งนี้เป็นอาคารสูงห้าชั้น ซึ่งในยุคนี้อาคารสูงส่วนใหญ่ยังไม่มีมีลิฟท์ หญิงสาวจึงรู้สึกทดท้อเป็นอย่างมากหากจะต้องให้เธอเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสุดท้าย “เอ๋! ที่นี่สมกับเป็นบริษัทข้ามชาติมีลิฟท์ด้วย” ฟางซิน รู้สึกประหลาดใจเมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารแล้วมองเห็นประตูลิฟท์ที่กำลังปิดแม้ว่าจะมีอยู่เพียงตัวเดียวก็ตาม หลังจากเจ้าตัวกดลิฟท์รออยู่สักพักในที่สุดประตูของมันก็เปิดออก ฟางซินก้าวเท้าของตนเข้าไปอย่างไม่รอช้า ชุดที่หญิงสาวสวมมาวันนี้ค่อนข้างเรียบร้อยดูดีมากว่าทุกวัน อีกทั้งยังค่อนข้างทันสมัยมีเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนสวมอยู่ภายนอก จึงยิ่งเพิ
Comments