"ความแค้นจากอดีตชาติที่ถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหด จะถูกชำระด้วยความตายที่สยดสยองกว่าร้อยเท่า! เมื่อ ลำดวน วิญญาณอาฆาตที่เคยถูกทรมานจนตายกลับมาทวงคืนทุกหยาดเลือดจาก พิกุล ในร่างของ พิมพ์พลอย... ทุกฝีก้าวคือความหวาดผวา ทุกวินาทีคือความเจ็บปวดเกินจินตนาการ "เล่ห์ลำดวน" จะพาคุณดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความมืดมิดที่คุณไม่เคยสัมผัส เตรียมตัวให้พร้อมรับความหลอนสุดขั้ว ความทรมานที่ไร้ขีดจำกัด และบทสรุปแห่งการล้างแค้นที่จะทำให้คุณขนหัวลุกไปถึงไขสันหลัง! จงระวัง... เพราะบางความแค้น ไม่ได้จบลงเพียงแค่ความตาย!"
더 보기บางครา... ความงดงามก็อาจเป็นเพียงภาพลวงตาอันบอบบางที่ซ่อนเร้นคมมีดแห่งหายนะไว้เบื้องหลัง เฉกเช่นดอกลำดวนอันหอมหวาน ที่ในคืนหนึ่งของอยุธยาอันรุ่งเรือง กลิ่นของมันมิได้นำพามาซึ่งความสุขสม หากแต่เป็นลางบอกเหตุหรือสัญญาณถึงความพินาศของชีวิตหนึ่งชีวิต และการกำเนิดขึ้นของแรงอาฆาตที่ไม่มีวันดับสูญ ซึ่งจะคุกรุ่นข้ามภพข้ามชาติรอวันชำระแค้นอย่างสาสม
เรื่องราวเริ่มใน ปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ พระนครศรีอยุธยา อันรุ่งเรืองอร่าม เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหลากหลาย ดินแดนที่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางศิลปะ การค้า และการทูตเบ่งบานไปทั่วแว่นแคว้น ผู้คนพลุกพล่านตามท้องถนนสายใหญ่ที่ทอดตัวไปสู่พระบรมมหาราชวัง เรือน้อยใหญ่สัญจรไปมาในสายน้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงจันทร์ส่องประกายระยิบระยับยามค่ำคืน บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้หอมรัญจวนปนกลิ่นเครื่องเทศจากนานาชาติ ที่ล่องลอยมาจากเรือสินค้าต่างแดน ก่อให้เกิดเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของพระนคร
“ลำดวน” หญิงสาวผู้เป็นดั่งดอกไม้งามแห่งพระนคร บุตรีเพียงคนเดียวของ หลวงวิจิตรภักดี ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ในกรมวัง เธองดงามหมดจดราวกับนางในวรรณคดีที่หลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ ผิวขาวนวลผ่องสะท้อนแสงจันทร์ยามต้องลม ผมดำขลับยาวสลวยจนจรดปลายเท้าถูกรวบอย่างงดงาม ใบหน้ารูปไข่ได้สัดส่วน ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสซื่อตรงและไร้เดียงสา ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ รับกับรอยยิ้มที่อ่อนหวานและบริสุทธิ์ ชวนให้ผู้คนหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น เธอเปรียบเสมือนความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมชวนหลงใหล แต่จิตใจของเธอก็บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ซึ่งมลทินใดๆ ความอ่อนโยนและเมตตาของเธอเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนรอบข้าง
“ขุนเดช” ชายหนุ่มผู้สง่างาม เฉลียวฉลาด และเปี่ยมด้วยคุณธรรม แท้จริงแล้วเขาคือ ออกญาเดชะ ขุนนางระดับสูงแห่งกรมท่า ที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งมาไม่นานนี้ ทั้งยังเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเป็นกำลังสำคัญในการติดต่อสัมพันธ์กับต่างชาติ เขามีรูปร่างสูงสง่าสมชายชาติทหาร ใบหน้าคมคายรับกับดวงตาที่เฉลียวฉลาดเป็นประกาย บ่งบอกถึงสติปัญญาและความจริงใจ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักได้รูป ที่มักจะคลี่แย้มรอยยิ้มอบอุ่นเสมอ ช่างเป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบทั้งรูปกายและคุณธรรมที่สตรีทั่วพระนครต่างหมายปอง ด้วยความสามารถและตำแหน่งหน้าที่ เขาจึงเป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง คนทั่วไปยังคงเรียกว่า “ขุนเดช” ตามความเคยชิน โดยที่เขาเองก็มิเคยถือสา
“พิกุล” บุตรีของ หลวงศรีราชนิกูล ขุนนางในกรมมหาดไทย พิกุลเองก็เป็นหญิงสาวรูปงามไม่แพ้ลำดวน รูปร่างบอบบางอรชร ผิวขาวผ่อง ดวงตาคมโตคล้ายนัยน์ตาของงู แต่แววตาซ่อนเร้นความทะเยอทะยานและเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่เผยออกมานั้นดูอ่อนหวาน หากแต่แฝงไว้ด้วยความไม่จริงใจและเจตนาร้ายที่ยากจะคาดเดา ทว่าภายใต้รอยยิ้มและท่าทางอันอ่อนหวานชวนมองนั้น กลับซ่อนเร้นไว้ซึ่งจิตใจที่เต็มไปด้วยความริษยาและทะเยอทะยานอย่างมหาศาลเกินกว่าใครจะหยั่งถึง
ลำดวนและพิกุล เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยที่บิดาของพวกเธอเป็นสหายสนิทกัน และบ้านเรือนก็อยู่ใกล้เคียงกัน ความผูกพันของทั้งสองจึงลึกซึ้งราวกับพี่น้องคลานตามกันมา พวกเธอแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความลับ ความฝันเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่ความสุขร่วมกันในการละเล่นตามประสาเด็กหญิง ลำดวนมองพิกุลเป็นดั่งส่วนหนึ่งของชีวิต เธอไว้ใจเพื่อนรักคนนี้อย่างหมดใจ ไม่เคยระแวงสงสัยในมิตรภาพอันยาวนานนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อทั้งสองเติบโตขึ้น ความงามของทั้งคู่ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั้งพระนคร ซึ่งความงดงามหมดจดของลำดวนและความดีงามที่อยู่ในจิตใจของเธอ ได้นำพาให้ ออกญาเดชะ (ขุนเดช) เข้ามาในชีวิตของเธอ ความรักระหว่างลำดวนและขุนเดชเบ่งบานงดงามราวกับดอกลำดวนในยามราตรีที่ส่งกลิ่นหอมหวลชวนเคลิบเคลิ้ม ทุกครั้งที่ขุนเดชอยู่ใกล้ลำดวน แววตาของเขาจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเอ็นดู เขามักจะเอื้อมมือไปลูบเรือนผมของเธอเบาๆ หรือจับมือของเธอไว้ในยามที่พูดคุยกัน เสียงหัวเราะที่สดใสของลำดวนจะดังขึ้นทุกครั้งที่ขุนเดชหยอกเย้า ความสุขที่ทั้งสองมีให้กันนั้นชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด ขุนเดชปฏิบัติต่อลำดวนด้วยความเคารพและให้เกียรติเสมอ ทั้งสองสาบานจะครองรักกันชั่วนิรันดร์ วาดฝันถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่น และการได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป ลำดวนเทิดทูนขุนเดชยิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิต เธอเชื่อมั่นในความรักที่เขามอบให้มาตลอด และคิดว่าไม่มีสิ่งใดจะมาพรากความสุขนี้ไปจากเธอได้
ทว่า... ในขณะที่ลำดวนกำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความสุขและมองหาอนาคตร่วมกับขุนเดช ดวงตาของพิกุลกลับเต็มไปด้วยไฟแห่งความริษยาที่กำลังโหมกระหน่ำ เธอเฝ้ามองความรักที่บริสุทธิ์ของเพื่อนสนิทและชายที่ตนเองหลงใหล เธอรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง แต่พิกุลยังคงแสร้งทำเป็นยินดีกับความรักของทั้งคู่ ทุกรอยยิ้มที่ส่งให้ลำดวนนั้นล้วนเป็นรอยยิ้มที่ถูกปั้นแต่งขึ้น ภายใต้ดวงตาที่ดูใสซื่อนั้นกลับเต็มไปด้วยความมืดมิด เธอคอยสังเกตทุกความเคลื่อนไหว ทุกคำพูด และทุกการกระทำของลำดวนและขุนเดช เพื่อหาช่องทางที่จะแทรกตัวเข้าไปในความสัมพันธ์ของทั้งสอง เธอคอยพูดจาฉอเลาะ ปั่นป่วนจิตใจของขุนเดชให้คล้อยตาม โดยที่ไม่ให้ลำดวนรู้ตัว พิกุลไม่ได้รักขุนเดชด้วยใจจริง หากแต่ปรารถนาในฐานะ อำนาจ ตำแหน่ง และการเป็นที่หนึ่งที่เหนือกว่าทุกคน เธอเชื่อว่าตนเองต่างหากที่เหมาะสมคู่ควรกับ ออกญาเดชะ ผู้สูงศักดิ์ มากกว่าลำดวนผู้แสนจะธรรมดา ที่มีเพียงความดีและความงามเท่านั้น และความริษยาที่สั่งสมมานานนี้เอง ที่พร้อมจะปะทุขึ้นทำลายมิตรภาพที่เคยมี และนำไปสู่โศกนาฏกรรมอันเลวร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด
วันเวลาล่วงเลยไป หลวงวิจิตรภักดี บิดาของลำดวน ล้มป่วยหนักด้วยอาการป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุ ร่างกายของท่านซูบผอมลงอย่างรวดเร็ว แม้หมอหลวงจะมารักษาเท่าใดก็ไม่เป็นผล ลำดวนเฝ้าดูแลบิดาอย่างไม่ห่างไปไหน ด้วยความรักและห่วงใยสุดหัวใจ ขุนเดชเองก็คอยมาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจอยู่เสมอ
ในคืนที่ลมหายใจของหลวงวิจิตรภักดีรวยริน ท่านเรียกขุนเดชและลำดวนเข้ามาใกล้ มือที่เหี่ยวย่นของท่านจับมือขุนเดชไว้แน่น ดวงตาที่ฝ้าฟางมองหน้าลำดวนด้วยความรักและห่วงใยอันสุดซึ้ง "พ่อขอฝากลำดวน...ลูกสาวคนเดียวของพ่อ...ไว้กับเจ้าด้วยนะพ่อเดช... นางไม่มีใครแล้ว... ได้โปรดดูแลนาง...ด้วยชีวิตของเจ้า" หลวงวิจิตรภักดีกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกสุดท้ายและสิ้นลมลงอย่างสงบ ลำดวนโอบกอดร่างไร้วิญญาณของบิดา ร้องไห้ปานใจจะขาด ขุนเดชกอดปลอบเธอไว้แน่น ให้คำมั่นสัญญาในใจว่าจะดูแลลำดวนด้วยชีวิตของเขาตามคำขอของบิดา
หลังจากการจากไปของหลวงวิจิตรภักดี ลำดวนไร้ญาติขาดมิตร เธอเดียวดายและอ้างว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พิกุล เพื่อนรักผู้แสนดี (ในสายตาของลำดวน) ได้เข้ามาปลอบโยนและเสนอให้ลำดวนย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เรือนของตน "แม่ลำดวน...เจ้าอย่าอยู่ผู้เดียวเลยหนา... มาอยู่กับข้าเถอะ ข้าจะดูแลเจ้าเอง เหมือนที่พี่น้องเขาทำกัน" ลำดวนซาบซึ้งในน้ำใจของพิกุลเป็นอย่างมาก เธอคิดว่าพิกุลคือเพื่อนแท้ที่ไม่มีวันทิ้งเธอไปไหน เธอจึงย้ายข้าวของบางส่วนมาอยู่กับพิกุล โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือการเดินเข้าสู่กับดักที่พิกุลและบิดาของนางได้วางแผนไว้
ก่อนการเดินทางไปราชการต่างเมืองของ ออกญาเดชะ ซึ่งต้องใช้เวลาแรมเดือน ลำดวนตั้งใจจะไปส่ง ขุนเดช ที่ วัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้คนมักจะไปขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลจากพระสงฆ์ก่อนออกเดินทางไกล เพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัยและประสบความสำเร็จ พิกุลขอไปร่วมส่งด้วย โดยอ้างว่าจะได้ช่วยลำดวนเก็บดอกไม้มาทำบุญให้ พี่เดช เพื่อเสริมสิริมงคลเป็นสองเท่า ซึ่งลำดวนก็หลงเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขณะอยู่ในวัด ขุนเดชได้เข้าไปกราบ พระอาจารย์ ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้คน ใบหน้าของท่านเปี่ยมด้วยเมตตา แต่แววตาของท่านกลับมีแววแห่งความกังวลอย่างเห็นได้ชัด พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเนิบช้าแต่ก้องกังวานในความรู้สึกของขุนเดชว่า "โยมเดช... การเดินทางครั้งนี้ให้ระวังภัยจากคนใกล้ชิด ผู้ที่คิดร้ายหมายปองในสิ่งของของโยม ภัยนั้นจะมาจากเงามืดที่ซ่อนเร้น จงมีสติและอย่าได้ประมาทต่อสิ่งที่ไม่คาดฝันจักเกิดขึ้น..." ขุนเดชรู้สึกประหลาดใจกับคำเตือนนั้น แต่ก็กราบรับพรด้วยความนอบน้อม ไม่ทันได้คิดถึงความหมายอันลึกซึ้งและเป็นลางบอกเหตุหรือสัญญาณนั้นเลย
เมื่อส่งขุนเดชออกเดินทางเรียบร้อย ลำดวนและพิกุลเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่เรือน แต่พิกุลกลับพาเลี้ยวเข้าไปในทางเปลี่ยวที่มืดมิดและไร้ผู้คน ซึ่งเป็นทางลัดที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันยามค่ำคืน บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดกระทบกิ่งไม้แห้งเสียดสีกัน และเสียงน้ำกระทบฝั่งแผ่วเบาเท่านั้น ท่ามกลางความมืดมิดของราตรีที่ไร้ผู้คนและแสงจันทร์ส่องรอดมาเพียงน้อยนิด พิกุลหันกลับมาเผชิญหน้ากับลำดวนอย่างช้าๆ เผยธาตุแท้และเจตนาชั่วร้ายของตนเองอย่างชัดแจ้ง ดวงตาของเธอฉายแววบ้าคลั่งและเต็มไปด้วยความสะใจยามที่เอ่ยคำเย้ยหยันบาดลึกถึงใจลำดวน "มึงคิดว่าพี่เดชจะรักมึงจริง ๆ รึ! มึงมันก็แค่หมากตัวหนึ่งที่เขานำมาเล่นสนุกก็เท่านั้น! พี่เดชเขาก็แค่เล่นสนุกกับมึง! และตอนนี้เขาก็เบื่อที่จะเล่นกับมึงแล้ว! ไปให้พ้นจากชีวิตของกูและพี่เดชซะทีเถอะมึง!" พิกุลไม่รอช้า นางไม่ปล่อยให้ลำดวนได้มีโอกาสตอบโต้หรือแม้แต่ทำความเข้าใจกับคำพูดนั้น นางกระชากเส้นผมดำขลับของลำดวนอย่างแรงจนร่างบอบบางล้มลงไปกองกับพื้นหิน ใบหน้าสวยสะบัดไปตามแรงกระชากอย่างรุนแรง ก่อนจะใช้ท่อนไม้แห้งที่หนักอึ้งและแข็งกระด้างฟาดเข้าที่ศีรษะของลำดวนอย่างไม่ปรานี เสียงไม้กระทบกระดูกดังผัวะ! สนั่นไปทั่วบริเวณ ลำดวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสุดแสนสาหัส เลือดสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นอาบใบหน้าที่เคยงดงาม บัดนี้กลับบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเกินจะรับไหว พิกุลยังคงกระหน่ำตีซ้ำไม่ยั้ง ราวกับจะระบายความริษยาและความบ้าคลั่งทั้งหมดที่มีลงไปบนร่างอันบอบบางของเพื่อนที่เคยรัก เสียงเนื้อกระทบไม้ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามแรงอารมณ์คลุ้มคลั่งของพิกุล ราวกับต้องการบดขยี้ชีวิตนั้นให้แหลกคามือและฝังกลบความริษยาให้จมดิน
ลำดวนพยายามดิ้นรน เฮือกสุดท้ายเพื่อต่อสู้ แต่ร่างกายของเธอไร้เรี่ยวแรงจนแทบขยับไม่ได้ ดวงตาพร่าเลือนด้วยเลือดที่ไหลรินผสมกับน้ำตาแห่งความเจ็บปวดและผิดหวัง พิกุลหัวเราะเสียงสูงอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเปื้อนเลือดของลำดวนยิ่งทำให้เธอสะใจ จากนั้นนางก็เตะซ้ำเข้าที่สีข้างของลำดวนอย่างแรง! แรงกระแทกนั้นทำให้ลำดวนสำลักเลือดออกมาอีกครั้ง เลือดสีเข้มปนฟองอากาศกระเด็นเปรอะเสื้อผ้าสีขาวที่เคยสะอาดบริสุทธิ์ของเธอ ก่อนที่พิกุลจะกระชากร่างที่โชกเลือดและเจ็บปวดของลำดวนเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมและเต็มไปด้วยความสะใจถึงขีดสุด "นี่ไง! นี่คือผลตอบแทนของการบังอาจมาแย่งชิงของของกู! พี่เดชของมึง... เขาก็เห็นดีเห็นงามกับการตายของมึงนั่นแหละ! มึงมันก็แค่หมากตัวหนึ่งที่พี่เดชใช้เล่นสนุก! ส่วนของจริงน่ะ...มันเป็นกูต่างหาก!"
ความเจ็บปวดจากการถูกทรยศหักหลังโดยเพื่อนรักที่เติบโตมาด้วยกัน คนที่เธอไว้ใจที่สุด และโหดร้ายที่สุดคือได้รับรู้ว่าคนรักเองก็ร่วมมือด้วย ความรู้สึกเหล่านี้พุ่งเข้าท่วมท้นหัวใจของลำดวนยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายหลายร้อยเท่า เธอรู้สึกเหมือนถูกฉีกทึ้งทั้งร่างกายและจิตใจ
ในห้วงสุดท้ายแห่งลมหายใจ ลำดวนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในดวงตาที่แดงก่ำและเต็มไปด้วยความอาฆาตที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พลางเอ่ยคำสาปแช่งอันเจ็บปวดด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่าและยากจะลืมเลือน "กูขอสาปแช่งให้พวกมึง... ไม่มีความสุขในความรัก! ไม่ว่าจักกี่ภพ..กี่ชาติ พวกมึงจะต้องตายด้วยความโดดเดี่ยว และถูกคนที่รักหักหลัง! กูจะตามพวกมึงไปทุกที่... ตามติดเป็นเงา... จนกว่าความแค้นของกูจะถูกชำระจนสาสม!"
สิ้นคำสาปแช่ง ร่างของลำดวนก็ไร้ซึ่งสติ พิกุลไม่รอช้า กระชากร่างอันบอบช้ำ โชกเลือด และใกล้จะสิ้นใจของลำดวน ลากไปที่ท่าน้ำใกล้เคียง ก่อนจะผลักลงไปในน้ำอย่างรุนแรงสุดกำลัง ปล่อยให้ร่างนั้นจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดของสายน้ำอย่างไร้ทางสู้ ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ พิกุลยืนมองผิวน้ำที่กลับคืนสู่ความสงบด้วยรอยยิ้มสะใจ ปราศจากซึ่งร่องรอยของการสำนึกผิด ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดอกลำดวนที่โชยมาอย่างรุนแรงเหนือผิวน้ำ สื่อถึงวิญญาณอาฆาตที่ถือกำเนิดขึ้นจากความแค้นอันไม่อาจยอมอภัยในขณะที่วิญญาณลำดวนถือกำเนิดขึ้นจากแรงแค้นอันแรงกล้า พิกุลกลับไปที่เรือนของตนด้วยความภาคภูมิใจที่ได้กำจัดคู่แข่งอย่างเด็ดขาด เธอเดินยิ้มมุมปากเข้าไปในห้องรับแขก ที่นั่น หลวงศรีราชนิกูล บิดาของพิกุล ผู้มีใบหน้าคมคายแต่แฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียมและแววตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานไม่ต่างจากบุตรี กำลังนั่งรอข่าวอยู่บนเก้าอี้ไม้สักอย่างใจจดใจจ่อ "เรียบร้อยแล้วหรือพิกุล?" หลวงศรีราชนิกูลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความตื่นเต้น "เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ... ลำดวนมันไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครมาขวางทางเราได้อีก" พิกุลตอบด้วยรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัว หลวงศรีราชนิกูลถามลูกสาวต่อว่า “ทำไมเจ้าต้องลงมือเอง พ่อส่งคนไปจัดการก็ได้” พิกุลยิ้มด้วยมุมปากและตอบทันทีว่า “ลูกอยากจัดการมันด้วยมือของลูกเอง” หลวงศรีราชนิกูลพยักหน้ารับและไม่ถามต่อ แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความยินดีในแผนการอันชั่วร้ายที่ประสบความสำเร็จ
ในขณะที่ลำดวนประสบโศกนาฏกรรมเลวร้ายอย่างแสนสาหัส ออกญาเดชะ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ได้ออกเดินทางไปราชการต่างเมืองตามหน้าที่สำคัญของขุนนางกรมท่า ภารกิจครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเจริญสัมพันธไมตรีหรือการจัดการผลประโยชน์ทางการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความมั่นคงของพระนคร แต่ในยุคที่ความขัดแย้งภายในราชสำนักกำลังคุกรุ่น ความสำคัญของภารกิจนี้ก็หมายถึงการมี ‘ศัตรูทางการเมือง’ ที่ต้องการขัดขวางมันเช่นกัน พวกเขารอจังหวะและโอกาสที่จะลงมืออย่างเงียบงัน
คืนหนึ่ง... กองคาราวานของ ออกญาเดชะ ต้องหยุดพักแรมกลางป่าลึกเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในป่ายามค่ำคืนมืดมิดและเงียบสงัด มีเพียงเสียงเรไรที่กรีดร้องและเสียงลมพัดใบไม้ที่ทำให้รู้สึกวังเวงและเยือกเย็นจับใจ แสงจันทร์สาดส่องลงมารำไร ผ่านกิ่งไม้ที่สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านเป็นเงาทะมึนเหนือศีรษะ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นจากพงหญ้ารอบข้างอย่างกะทันหัน กลุ่มคนชุดดำผู้มุ่งร้ายที่ต้องการขัดขวางภารกิจของออกญาเดชะ พุ่งเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว พวกมันมีจำนวนมากกว่า และมาพร้อมกับความโหดเหี้ยมและความตั้งใจที่จะสังหาร ขุนเดชและเหล่าทหารองครักษ์พยายามต่อสู้สุดกำลัง ดาบกระทบกันดังลั่น เสียงเนื้อกระทบเหล็กดังสนั่น เลือดสาดกระเซ็นในความมืดมิดของป่า ร่างแล้วร่างเล่าล้มลงไปบนพื้นดิน ออกญาเดชะ แม้จะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ก็ได้รับการฝึกฝนวิชาดาบมาอย่างดีเยี่ยม เขากวัดแกว่งดาบปัดป้องและตอบโต้ศัตรูอย่างดุเดือด ด้วยความสามารถที่เหนือกว่า เขาล้มผู้บุกรุกไปได้หลายราย แต่จำนวนที่มากมายและไร้ความปรานีของศัตรูก็ทำให้เขากำลังเสียเปรียบอย่างหนัก กลุ่มคนชุดดำที่ถูกจ้างวานมาอย่างดีและฝึกฝนมาเพื่อการนี้ อาศัยจังหวะที่เขาเผลอจากการรับมือกับศัตรูตรงหน้า ฟันดาบเข้าที่กลางหลังของขุนเดชอย่างแรง! เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น ขุนเดชทรุดฮวบลงกับพื้น เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาจากบาดแผลรวดเร็วและไม่ขาดสาย ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว ศัตรูที่เหลืออีกหลายคนกรูกันเข้ามา รุมกระหน่ำแทงดาบเข้าใส่ร่างของขุนเดชอย่างบ้าคลั่ง! ดาบหลายเล่มเสียบเข้าที่หน้าอก สีข้าง และช่องท้องของเขาอย่างไม่ยั้งมือ เลือดพุ่งกระฉูดเปรอะเปื้อนพื้นดินและใบหญ้าจนชุ่มโชก ดวงตาของขุนเดชเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวดและในวาระสุดท้าย เขากระอักเลือดออกมาเป็นฟอง คำว่า "ลำดวน..." หลุดออกมาจากริมฝีปากเป็นเฮือกสุดท้าย ก่อนที่ร่างจะแน่นิ่งไปในกองเลือดใต้แสงจันทร์ที่ซีดจางและดูมืดหม่นราวกับเป็นพยานของโศกนาฏกรรม ร่างของ ออกญาเดชะ ล้มลงอย่างไร้ลมหายใจในป่าลึก ห่างไกลจากลำดวนและบ้านเมืองที่เขารัก โดยที่เขาไม่เคยล่วงรู้ถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับลำดวน ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใด ๆ กับแผนการอันชั่วร้ายของพิกุล และเสียชีวิตไปพร้อมกับความรักที่เขามีต่อเธอ... ส่วนวิญญาณลำดวนนั้น ได้รับรู้เพียงข่าวการตายของเขาและตีความว่าการตายนั้น “สมควรแล้ว” ราวกับเป็นผลกรรมจากการทรยศ
จากคืนอันโหดร้ายที่ท่าน้ำ พิกุล ใช้ชีวิตด้วยความหวังว่า ออกญาเดชะ จะเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว ทว่า... ไม่นานนัก ข่าวการเสียชีวิตของขุนเดชก็มาถึง สร้างความตกตะลึงให้กับพิกุล แม้จะไร้ซึ่งความรักแท้จริง แต่ความปรารถนาที่จะครอบครองขุนเดชยังคงมี ด้วยเหตุผลหลายสิ่ง แต่ตอนนี้มันได้มลายหายไปอย่างกะทันหัน พิกุลรู้สึก ใจหายและเสียใจอย่างประหลาด อนาคตที่เคยวาดฝันกับเขา...พลันสลายหายไปในพริบตา ความเสียใจที่มาไม่ทันไร ก็ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้ามา กลิ่นดอกลำดวนที่เคยหอมหวลกลับกลายเป็นกลิ่นสาปที่คุกคามทุกย่างก้าวชีวิตของเธอ ราวกับวิญญาณลำดวนได้เริ่มชำระแค้นในทันที ไม่ใช่เพียงแต่พิกุลที่รับรู้ได้แต่หลวงศรีราชนิกูลผู้เป็นบิดาก็ได้รับเช่นเดียวกัน
วันเวลาผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า หลวงศรีราชนิกูลเริ่มฝันเห็นลำดวนในชุดขาวเปรอะเลือด จ้องมองด้วยดวงตาที่แดงก่ำและเต็มไปด้วยแรงอาฆาต เสียงกรีดร้องของลำดวนที่ถูกฆ่าตายยังคงหลอกหลอนอยู่ในโสตประสาทของเขา กลิ่นดอกลำดวนเริ่มโชยมาในทุกมุมของเรือน ร่างกายของหลวงศรีราชนิกูลก็ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เขากลายเป็นคนหวาดระแวง ไม่เป็นอันกินอันนอน ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาโบ๋ลึก มีแต่ความหวาดกลัวที่เกาะกินจิตใจ และในคืนหนึ่ง คืนที่การชำระวนมาถึง... ขณะที่หลวงศรีราชนิกูลกำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ห้องนอนของเขาพลันเย็นยะเยือกลงอย่างกะทันหัน เสียงบางสิ่งบางอย่างกระทบกับไม้ผนังบ้าน เหมือนมีใครมาขูดรอบห้อง แต่กลับมองไม่เห็น เสียงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้ เพียงเสี้ยวนาทีก็ปรากฏร่างของลำดวนในชุดขาวเปรอะเลือด ยืนอยู่ปลายเตียง ร่างของเธอเรืองแสงจางๆ แต่ดวงตาของเธอเปล่งประกายสีแดงก่ำราวกับถ่านไฟที่กำลังลุกโชนอย่างน่าขนลุก หลวงศรีราชนิกูลกรีดร้องด้วยความหวาดผวา พยายามลุกหนี แต่ร่างกายของเขากลับถูกตรึงไว้กับเตียงด้วยพลังที่มองไม่เห็น "มึง...มึงมาทำอะไร! กูไม่เกี่ยว! กูไม่เกี่ยว!" เขากรีดร้องด้วยน้ำเสียงแหบแห้งด้วยความกลัวสุดขีด
"มึง...สมรู้ร่วมคิด...กับลูกของมึง...ฆ่ากู...มึงต้องชดใช้!" เสียงแหบพร่าเย็นยะเยือกของลำดวนดังขึ้นราวกับมาจากก้นบึ้งของนรก ร่างของลำดวนลอยเข้ามาใกล้ เล็บที่ยาวแหลมคมราวมีดได้กรีดลงไปที่ใบหน้าของหลวงศรีราชนิกูลอย่างช้าๆ! เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากรอยแผลที่ถูกกรีดเป็นทางยาว หลวงศรีราชนิกูลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่ลำดวนไม่หยุดเพียงแค่นั้น เธอใช้พลังทั้งหมด บีบรอบคอของเขาอย่างช้าๆ แรงบีบนั้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนเส้นเลือดที่คอของหลวงศรีราชนิกูลปูดโปน ดวงตาของเขาถลนออกมาจากเบ้า ลิ้นจุกปาก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำด้วยความขาดอากาศหายใจ "มึง...จะต้องตาย...ด้วยความทุกข์ทรมาน... เพื่อชดใช้กับสิ่งที่มึงทำกับกู!" เสียงกระซิบเย็นยะเยือกของลำดวนดังขึ้นก่อนที่หลวงศรีราชนิกูลจะหมดลมหายใจ ร่างของเขาแข็งเกร็ง สิ้นใจตายคาเตียงด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดแสนสาหัส กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง พร้อมกับกลิ่นดอกลำดวนที่โชยมาอย่างรุนแรง ราวกับจะย้ำเตือนถึงการชำระแค้นที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและไม่มีวันสิ้นสุด
ในคืนเดียวกัน... มีเพียงกลิ่นดอกลำดวนโชยมาในห้องนอนยามค่ำคืนของพิกุล ไม่มีเสียงร้องของหลวงศรีราชนิกูลผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย ไม่มีกลิ่นคาวเลือดมาสักนิด มีเพียงกลิ่นดอกลำดวน ทั้งที่ไม่มีดอกไม้ชนิดนี้ในเรือนของเธอ มันเป็นกลิ่นที่พาให้นึกถึงความรักของลำดวนและขุนเดช แต่บัดนี้กลับกลายเป็นกลิ่นแห่งความตายที่เย็นยะเยือก กัดกินความสงบสุขของเธอ
จากนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ไม่เป็นภาษา ก็เริ่มเล็ดลอดมาจากมุมมืดของห้อง ราวกับมีใครกำลังพูดคุยกันอยู่เบื้องหลังม่าน เสียงนั้นคล้ายเสียงสะอื้น คล้ายเสียงลมหายใจที่เย็นเฉียบ หรือบางครั้งก็คล้ายเสียงหัวเราะเยาะที่มาจากที่ไกลแสนไกล เกินกว่าที่มนุษย์จะเปล่งเสียงได้ พิกุลนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน พยายามหลับตาข่มนอนให้พ้นจากเสียงเหล่านั้น แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ เสียงเหล่านั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น
ไม่นานนัก เงาร่างตะคุ่มคล้ายสตรีก็เริ่มปรากฏขึ้น ยามที่พิกุลหันไปมองเงามืดในห้องนอน บางครั้งมันก็แวบหายไปตรงปลายสายตาในชั่วพริบตา ราวกับเธอตาฝาดไปเอง บางครั้งมันก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเลือนหายไปกับความมืดราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ทุกครั้งที่เห็นเงา พิกุลจะตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขนแขนลุกชันด้วยความหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านเข้ามาในกระดูกจนแทบหยุดหายใจ ความหลอนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินกว่าที่จิตใจของมนุษย์คนหนึ่งจะทนได้ พิกุลเริ่มเห็น ใบหน้าของลำดวนปรากฏขึ้นในกระจกเงา แทนที่ใบหน้าของตนเอง ไม่ว่าจะส่องกระจกบานไหน ใบหน้าของลำดวนที่ซีดขาวราวศพ ดวงตาเบิกโพลงแดงก่ำราวกับเพลิงนรก และรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวด้วยความอาฆาตก็จะจ้องมองกลับมา ราวกับต้องการจะฉีกกระชากเธอเป็นชิ้นๆ เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังแว่วตามมาในความมืดที่ทำให้ไขสันหลังชาวาบ ทำให้พิกุลต้องใช้ผ้าห่มคลุมโปงตัวสั่นงันงก นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มราวกับลูกนกตัวเล็กๆ เพียงชั่วอึดใจ เกิดเสียงครืดคราดดังมาจากปลายเตียง ราวกับมีบางสิ่งกำลังลากถูอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ ผ้าห่มที่คลุมร่างเธออยู่ถูกกระชากออกอย่างแรงจนปลิวละลิ่วไปกองกับพื้น เผยให้ร่างของเธอที่สั่นเทิ้มด้วยความกลัว พิกุลลืมตาโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดขีด แสงจันทร์สีนวลสาดส่องผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็น ร่างของลำดวนในชุดไทยสีขาวเปรอะเลือด ยืนตระหง่านอยู่ตรงปลายเตียง ดวงตาเบิกโพลงแดงก่ำราวกับเพลิงที่กำลังจะเผาไหม้ทุกสิ่ง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้องผสมกับกลิ่นดอกลำดวนที่รุนแรงจนเวียนหัว คลื่นไส้
"มึง... มึงยังไม่ตาย!" พิกุลกรีดร้องด้วยความหวาดผวาอย่างสุดเสียง พยายามดิ้นรนหนีจากเตียง แต่ร่างของเธอกลับถูกตรึงไว้กับเตียงด้วยพลังที่มองไม่เห็น เธอสัมผัสได้ถึง ความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างจนหนาวสั่นไปถึงไขกระดูก ราวกับจะแช่แข็งทุกสิ่งในตัวเธอ ทำให้เลือดในกายหยุดไหลเวียน
"มึง...ต้องชดใช้!" เสียงแหบพร่าของลำดวนดังขึ้นราวกับมาจากขุมนรก ร่างของลำดวนค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้ พิกุลเห็นภาพหลอนของใบหน้าที่โชกเลือดของลำดวนในคืนนั้น ใบหน้าของลำดวนที่เคยงดงาม บัดนี้บิดเบี้ยวด้วยความแค้น ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ผมที่เคยดำขลับบัดนี้ยาวสยายพันรอบตัวเธอ ราวกับงูร้ายที่พร้อมจะรัดเหยื่อให้ตายคามือ
"กูจะให้มึงตายอย่างทรมาน...ยิ่งกว่าที่กูตาย!" ลำดวนกระชากมือพิกุลขึ้นช้าๆ เล็บของวิญญาณยาวแหลมคมราวมีดกรีดลงบนข้อมือของพิกุล เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากผิวหนังที่ถูกฉีกขาด พิกุลกรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดจนสุดทานทน
วิญญาณลำดวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะที่ก้องกังวานในห้องทำให้พิกุลสติขาดผึง จากนั้นลำดวนก็บิดข้อมือของพิกุลอย่างรุนแรงจนกระดูกหักดังลั่นห้อง พิกุลดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมานสุดขีด แต่เธอไม่สามารถขยับตัวได้มากกว่านี้ ลำดวนไม่หยุดเพียงแค่นั้น วิญญาณสาวใช้พลังทั้งหมด บีบรอบคอของพิกุลอย่างช้าๆ แรงบีบนั้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนเส้นเลือดที่คอของพิกุลปูดโปน ดวงตาของพิกุลถลนออกมาจากเบ้า ลิ้นจุกปาก ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำด้วยความขาดอากาศหายใจ
"มึง...จะต้องตาย...อย่างโดดเดี่ยว... และถูกคนที่รัก...หักหลัง... ตามคำสาปของกู!" เสียงกระซิบเย็นเยียบของลำดวนดังขึ้นข้างหูของพิกุลก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหลุดลอย ร่างของพิกุลแข็งเกร็ง สิ้นใจตายคาเตียงด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากความหวาดกลัวและเจ็บปวดแสนสาหัส กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง พร้อมกับกลิ่นดอกลำดวนที่โชยมาอย่างรุนแรง ราวกับจะย้ำเตือนถึงการชำระแค้นที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และความแค้นนี้ได้จองจำวิญญาณลำดวนให้รอคอยการกลับชาติมาเกิดของทั้งพิกุลและขุนเดช เพื่อชำระแค้นให้สาสมในชาติภพถัดไปชั่วนิรันดร์
ขณะที่ความตายและความมืดมิดเข้าครอบงำพิมพ์พลอย ประตูเรือนก็พลันเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นร่างของ ปิ่น แฟนสาวของรวินทร์ ที่ก้าวเข้ามาในด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของพิมพ์พลอย เธอมองเห็นร่างไร้วิญญาณของพิมพ์พลอยที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น และใบหน้าอำมหิตของรวินทร์ที่ยืนอยู่เหนือร่างนั้น ปิ่นกรีดร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็น“วินทร์! เกิดอะไรขึ้นคะ! คุณพิมพ์พลอยเป็นอะไรไป!” ปิ่นวิ่งตรงเข้ามาถามรวินทร์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามจะเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเพื่อขอคำอธิบาย แต่รวินทร์ (ที่ถูกลำดวนสิง) กลับสะบัดมือออกอย่างแรง มองปิ่นด้วยสายตาเย็นชา ไร้เยื่อใย ไม่มีความรู้สึกใดๆ ปรากฏในดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย“เจ้าหมดประโยชน์แล้วปิ่น... ไปให้พ้น!” เสียงของรวินทร์แหบพร่าและไร้อารมณ์ ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ ลำดวนในร่างรวินทร์ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเห็นใจต่อปิ่นที่ถูกใช้เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมอันโหดเหี้ยมนี้ ปิ่นยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงกับคำพูดของรวินทร์ ใบหน้าของเธอซีด
ค่ำคืนนั้น... พายุโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เสียงฟ้าร้องครืนครั่นก้องไปทั่วฟ้า สายฟ้าฟาดผ่าลงมาเป็นสายริ้วๆ สลับกับเสียงลมกรรโชกและเสียงฝนที่สาดซัดกระทบหน้าต่างอย่างรุนแรง บรรยากาศภายนอกดูราวกับเป็นลางร้าย สะท้อนความวุ่นวายภายในจิตใจของ พิมพ์พลอย ที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวังถึงขีดสุดหลังจากถูก ลำดวน ตามราวีอย่างโหดเหี้ยมจนเธอต้อง "หลงเชื่อ" ในทุกคำพูดของ รวินทร์ พิมพ์พลอยได้เตรียมสิ่งของตามที่รวินทร์บอก และมายังบ้านเก่าของเขาตามนัดหมาย สิ่งที่เธอเกิดขึ้นคือเธอไม่มีสติเพียงพอที่จะสังเกตุว่า บ้านเก่าของรวินทร์ คือเรือนไทยโบราณ เหมือนกับที่เธอฝันเห็นตลอด ตอนนี้ร่างกายของเธอบอบช้ำจากการอดหลับอดนอนติดต่อกันหลายวัน ดวงตาของเธอคล้ำโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้า หน้าตาซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เธอสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับคนบ้า ทุกย่างก้าวที่เธอก้าวเข้ามาในเรือนไทยแห่งนี้ คือย่างก้าวที่เต็มไปด้วยความกลัวและความหวังที่ริบหรี่ แต่ที่แน่ๆ คือเธอไม่อยากตาย เธอจึงพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดพิมพ์พลอยนำพาตัวเองมายังลานกว้างกลางเรือนที่ปกติ
หลังจากที่ ลำดวนได้ใช้ "เล่ห์กล" หลอกหลอนพิมพ์พลอยต่างๆนาๆ ทำให้ ความเหนื่อยล้าทางกายและใจได้ถาโถมเข้าใส่พิมพ์พลอยอย่างหนัก เธอจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การที่ เดชา คอยอยู่เคียงข้าง ดูแลเอาใจใส่ และเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้กับเธออย่างสม่ำเสมอ ทำให้พิมพ์พลอยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง และเธอก็ "หลงเชื่อ" ในความรักและความห่วงใยที่เดชามีให้เธออย่างสุดหัวใจ เพราะเขาคือคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีคนอยู่เคียงข้างในโลกที่มืดมิดและเต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติที่กำลังตามราวีเธออย่างไม่ลดละในขณะเดียวกัน รวินทร์ ก็ยังคงติดต่อพิมพ์พลอยอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ "ผู้ช่วยเหลือ" ที่รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของเธอ พิมพ์พลอยเองก็ "หลงเชื่อ" ในตัวรวินทร์อย่างมากเช่นกัน แม้ว่าบางครั้งเขาจะดูมีอาการแปลกๆ หรือพูดจาด้วยถ้อยคำที่น่าประหลาดใจ แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ของเธอ และเสนอหนทางในการหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ พิมพ์พลอยรู้สึกราวกับรวินทร์คือความหวังสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ เธอจึงพร้อมที่จะทำตามทุกสิ่งที่เขาสั่ง โดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังความหวังนั้น มี "เล่ห์
แสงอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในห้องคอนโดที่มืดมิด ทว่ามันไม่ได้นำพาความอบอุ่นหรือความหวังมาสู่ พิมพ์พลอย เลยแม้แต่น้อย เธอนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นห้องเย็นเฉียบ น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เข้าแทนที่ ภาพความทรงจำอันโหดร้ายจากอดีตชาติที่เธอได้เห็นในความฝันเมื่อคืนยังคงฉายซ้ำในมโนสำนึกไม่หยุดหย่อน การกระทำอัน "อัปปรีย์" ของ พิกุล ที่ทรมานทาส วางแผนชั่วร้าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวินาทีที่ผลัก ลำดวน ลงไปในน้ำ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มชั่วร้ายของพิกุลยังคงหลอกหลอนเธอไม่เลิกรา พิมพ์พลอยรู้สึกคลื่นไส้และรังเกียจตัวเองอย่างรุนแรงจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าในอดีตชาติ เธอจะเคยเป็นคนเลวทรามต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้ร่างกายของพิมพ์พลอยบอบช้ำจากความหวาดกลัวและอดหลับอดนอนมาหลายวัน ดวงตาของเธอคล้ำโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้า หน้าตาซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนแทบจะไม่มีแรงขยับตัวได้อีกต่อไป “ทำไม... ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้... ทำไมต้องเป็นฉัน” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแหบแห้ง เธอพยายามจะลืม พยายามจะปฏิเสธความจริงอันน่ารังเกียจนี้ แต่ภาพเหล่านั้นมันชัดเจนเกินกว่าจะเป็น
หลังจากที่พิมพ์พลอยแยกย้ายกับ รวินทร์และปิ่น เธอก็ตรงกลับมาบ้าน และเผลอหลับไปบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าทันที ส่งผลให้จิตสำนึกของ พิมพ์พลอย ถูกฉุดกระชากย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาอันไกลโพ้นอีกครั้ง คราวนี้มันคือการดำดิ่งลงไปในวังวนแห่งอดีตชาติอย่างสมบูรณ์ ภาพและเสียงรอบกายชัดเจนราวกับเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจริง ๆ เธอเห็นตัวเองในร่างของ พิกุล หญิงสาวผู้เติบโตมาพร้อมกับ ลำดวน ด้วยความผูกพันที่แนบแน่นดุจพี่น้อง“แม่พิกุล… ดอกลำดวนที่เรือนเราบานสะพรั่งเชียวหนา” เสียงหวานของลำดวนเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งสองนั่งร้อยมาลัยดอกไม้ริมท่าน้ำ กลิ่นหอมหวานของดอกลำดวนโชยมาตามลมเย็น ๆ พิกุลยิ้มให้ลำดวน ใบหน้าของเธอดูอ่อนหวาน แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ทอประกายถึงดวงตา แววตาของพิกุลกลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะตีความ พิมพ์พลอยรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อเห็นสายตาเหล่านั้นของตัวเองในอดีตชาติ “พิกุล! อย่าวิ่งไปใกล้ท่าน้ำนักสิลูก! ดูสิแม่ลำดวนเขานั่งเรียบร้อยไม่ซนเหมือนเจ้าเลย” คุณหญิงแม่เอ่ยพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มให้ลำดวนที่นั่งรออยู่ข้างเรืออย่างสงบ เนื่องจากคุณหญิงเอ็นดูลำด
พิมพ์พลอยลืมตาโพลงในความมืด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ภาพความฝันในอดีตชาติยังคงฉายชัดในมโนสำนึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เธอเห็นตัวเองในร่างของพิกุลกระทำต่อลำดวนอย่างโหดเหี้ยม แววตาของพิกุลในฝันเต็มไปด้วยความสะใจและไร้ซึ่งสำนึกผิดใดๆ นั่นคือ เธอ นั่นคือ บาปกรรม ที่เธอเคยก่อไว้ พิมพ์พลอยรู้สึกขนลุกซู่กับความชั่วร้ายของตนเองในอดีต เธอไม่เคยคิดเลยว่าในอดีตเธอจะเลวทรามได้ถึงเพียงนี้กลิ่นดอกลำดวนโชยเข้ามาในห้องอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงจนแสบจมูก ราวกับดอกไม้ถูกนำมาโรยไว้ทั่วห้อง กลิ่นนั้นเย็นยะเยือก กัดกินความรู้สึกสงบสุขที่เพิ่งได้รับจากเดชาไปเมื่อครู่ พิมพ์พลอยหอบหายใจถี่ เธอรู้ดีว่าลำดวนยังคงตามติดเธอมาไม่ห่าง ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ตามเธอพยายามขยับตัว แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับเตียง เธอได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ปลายเตียง เสียงนั้นคล้ายเสียงหัวเราะเยาะที่มาจากที่ไกลแสนไกล เกินกว่าที่มนุษย์จะเปล่งเสียงได้ พิมพ์พลอยอยากจะกรีดร้อง แต่เสียงกลับจุกอยู่ที่ลำคอ เธอรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างจนหนาวสั่นไปถึงไขกระดูก ราวกับจะแช่แข็งทุกสิ่งในตัวเ
댓글