“แพรว”
“อย่าร้อง ห้ามร้อง หยุดเดี๋ยวนี้แล้วนั่งลงกินข้าว”
ฉันบอกหวานที่พูดเสียงสั่น ซึ่งมันก็ยอมทำตาม เราก็นั่งกินข้าวกันจนหมด
“พวกแกไปไหนต่อ เรามีเรียนอีกทีบ่ายสอง เหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงเพราะนี่เพิ่งเที่ยง”
“เออใช่ ฟ้าพูดถูก ไปไหนกันดีวะ”
ยัยรันเอ่ยสมทบคำพูดของยัยฟ้า
“ไม่อะ ขี้เกียจ ไปเดี๋ยวก็ต้องกลับมาเรียน เรียนเสร็จก็ต้องเข้าเชียร์ เก็บแรงไว้เข้าเชียร์ดีกว่า” ฉันพูดไปตามที่คิด
“อื้อ เราเห็นด้วยกับแพรวนะ” หวานพูดยิ้ม ๆ
“เฮ้อ เอางั้นก็ได้ ว่าแต่... แกโอแคนะหวาน” รันถามด้วยความเป็นห่วง หวานก็ได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ
“ถ้ามีแฟนแล้วต้องทุกข์แบบนี้ ฉันไม่มีซะยังดีกว่า”
ฟ้าพูดปลง ๆ
ตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันตอนนี้ก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้ว ดูเหมือนเร็วใช่ไหม แต่ความจริงแล้วมันไม่เร็วเลยเลยสักนิด เพราะพวกฉันต้องเข้าเชียร์ทุกวัน ทั้งเรียนทั้งเชียร์โคตรเหนื่อย เหนื่อยมากจริง ๆ มีเรื่องมาให้ปวดหัวทุกวัน นี่ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเจอเรื่องอะไร
แต่ตอนนี้ฉันว่ามาดูเรื่องยัยหวานก่อนดีกว่า มันไม่สดใสเลยตั้งแต่ที่พี่เมฆมา ตอนแรกก็เศร้าพออยู่แล้ว นี่เล่นเหมือนไม่มีวิญญาณเลย ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ ถ้าพวกมันคบกับฉัน อย่างน้อยพวกมันก็น่าจะเข้มแข็งกว่านี้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีเหตุเกิดขึ้นอย่างที่ฉันเคยคิดไว้จริง ๆ พวกมันไม่ปลอดภัย และทำให้ฉันเป็นกังวลแน่ ๆ
“หวาน”
“...” เมื่อฉันเรียก หวานไม่ตอบนอกจากมองหน้าฉันแล้วยิ้มบาง ๆ
“หวานสู้คนไหม” คนตรงหน้าก็ส่ายหน้าให้ทันที ผิดกับที่คิดไว้ที่ไหนล่ะ
“แต่หวานต้องสู้”
“แต่เรากลัว”
“มันไม่มีอะไรน่ากลัว ที่หวานกลัวเพราะว่าหวานไม่สู้ต่างหาก” ฉันบอก เธอก็ทำท่าจะใช้ความคิด เหมือนลังเล ว่าควรทำแบบไหนดี
“ไม่ต้องกังวล มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลยจริง ๆ เชื่อฉัน”
ฉันพูดก่อนจะมองหวานยิ้ม ๆ
“อย่าว่าแต่ยัยหวานกลัวเลย ถึงฉันจะไม่ยอมคน แต่ใช่ว่าจะกล้าสู้คนนะ” ฉันหันไปมองคนพูด
“จริง ยัยฟ้าพูดถูก” ฉันมองเพื่อน ๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้ด้วยความเหนื่อยใจ
“แต่พวกแกคบกับฉันพวกแกต้องสู้ อย่างน้อยแค่ป้องกันตัวเองได้ก็ยังดี”
“แต่/แต่/แต่” เพื่อนฉันประสานเสียงออกมาพร้อมกัน
“ไม่มีแต่ หรือพวกแกอยากจะโดนรังแกตลอดล่ะ โดนหาว่าไปทำร้ายคนนั้นคนนี้ ทั้งที่แกไม่ได้ทำอะไรผิด แถมยังเป็นคนที่ถูกทำร้ายซะเอง จะเอาแบบนั้นเหรอ”
“...” พวกมันต่างก็ส่ายหน้าให้
“ใช่ไง ในเมื่อไม่อยากโดนกระทำแบบนั้น พวกแกก็ต้องสู้ ฉันไม่ได้บอกให้พวกแกทำร้ายใคร แต่พวกแกต้องรู้จักป้องกันตัวเอง”
“...” เมื่อเห็นพวกมันเงียบ ฉันจึงเลือกที่จะหันหน้าไปพูดกับหวานเพราะมันดูอ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเรา
“หวาน แกเป็นคนเรียบร้อย แต่ใช่ว่าเรียบร้อยแล้วต้องอ่อนแอ ถ้ามีคนทำร้ายแก แกก็สู้ไปเลย”
“แต่เราสู้ไม่เป็นนะ”
“เดี๋ยวฉันสอน”
“ฮ๋า!!!” ฉันมองเพื่อนที่ร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวฉันจะสอนพวกแกเอง” ฉันบอกพวกมันก่อนจะยิ้มร้ายออกมา
“เกลียดรอยยิ้มแกจังเลยว่ะ” ฟ้าพูด
“จำที่ฉันบอกแกสองคนวันที่เราตกลงเป็นเพื่อนกันได้ไหม”
ฉันถามซึ่งฟ้ากับรันก็พยักหน้าให้อย่างเข้าใจความหมาย
“อะไรเหรอ” ฉันหันไปมองหวานยิ้ม ๆ มีแค่คนเดียวในกลุ่มนี่แหละที่ไม่รู้
“เอาเป็นว่า หวานรู้แค่เราไม่ธรรมดาก็พอ เราไม่อยากให้หวานกลัวและตกใจ”
“แต่แพรวพูดแบบนี้ เราว่ามันน่ากลัวกว่ารู้อีกนะ” พอหวานพูดจบพวกฉันทั้งหมดก็พากันหัวเราะออกมา
“นั่นไงยัยหวานแกยิ้มแล้ว หัวเราะด้วย” รันทักขึ้น ซึ่งยัยหวานก็ทำหน้าตื่น ๆ ไปให้
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนเราอะเศร้าได้ แต่อย่าให้ความเศร้ามาทำลายความสุขของเรา เศร้าเรื่องนี้สุขเรื่องอื่น ฉันรู้ว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจ แต่เชื่อฉันเถอะ ถ้าเธอคิดได้ เธอจะมองเรื่องที่เธอเจอเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ฉันพูดยิ้ม ๆ
“ขอบคุณนะ จากนี้ไปเราจะยิ้มเยอะ ๆ”
“มันต้องแบบนี้สิหวาน” ฟ้าพูดก่อนที่พวกเราจะนั่งหัวเราะกัน
“ว่าแต่แพรวจะให้เราไปฝึกที่ไหนเหรอ” หวานถาม
“ฉันจะพาพวกเธอไปฝึกที่ยิมส่วนตัว”
“ยิมส่วนตัว!”
“ใช่ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนอื่น เป็นยิมของฉันและพี่ ๆ เอง คนที่ใช้ก็จะเป็นคนของเรา ไม่มีคนนอก” ฉันพูดยิ้ม ๆ
“ดูเหมือนพี่สาวแกและตัวแกจะรวยจังเลยนะ ทั้งสนามแข่งรถทั้งยิม มีอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย” ยัยฟ้าพูด
“คิดว่าไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ฉันตอบมันไปและหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“แล้วแกบอกว่าพี่แกจะมา จะมาตอนไหนล่ะ” รัน
“ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าจะมา แต่ฉันคิดว่าน่าจะมาหลังเรารับน้องเสร็จนะ ฉันก็เดาเหมือนกัน คิกคิก”
“โธ่ ยัยแพรวก็เห็นร้องเพลงเมื่อเช้าก็คิดว่าพี่แกจะกลับมาพรุ่งนี้ซะอีก” ยัยฟ้าพูดด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นัก
“ดูเหมือนแพรวจะรักพี่มากเลยนะ”
“แน่สิหวาน ถ้าไม่ใช่เพราะพวกพี่ ๆ ป่านนี้ฉันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ฉันก็เลยรักพวกพี่เขามาก มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แค่พี่น้อง แต่มันคือครอบครัว” ฉันตอบหวานยิ้มๆ
“อิจฉาแกจังเนอะ ถ้าที่บ้านรับที่ฉันเป็นได้ ฉันอาจมีความสุขมากกว่านี้” ยัยรันพูดเศร้า ๆ
“พอ อย่ามาดึงดรามา ฉันว่าตอนนี้เราไปเข้าเรียนเถอะ นั่งอยู่นี่มานานละ แล้วเดี๋ยวต้องไปเชียร์อีกคนสวยเซ็ง”
ฉันพูดก่อนที่เราทั้งสี่จะพากันเดินออกจากโรงอาหารและมุ่งไปที่อาคารเรียน
“พี่มาร์คคะ ปล่อยแพรวก่อนดีกว่าไหมคะ”“ปล่อยทำไมล่ะครับ อยู่แบบนี้ดีแล้ว”“คือแพรวร้อนน่ะค่ะ”“ร้อนเหรอครับ ห้องเราเปิดแอร์นะที่รัก เรามาซ้อมเข้าหอกันดีไหม”จบคำพูดพี่มาร์คก็เคลื่อนใบหน้าเข้ามาหาฉันอย่างช้า ๆ จนในที่สุดปากเราสองคนก็สัมผัสกัน พี่มาร์คบรรจงจูบฉันอย่างดูดดื่ม สูบเอาความหอมหวานจากริมฝีปากอิ่มของฉันอย่างตะกละตะกลามรสจูบของเขาลึกล้ำปลุกเร้าให้ฉันเกิดอาการประหลาดจนควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ สมองและการกระทำของร่างกายไม่สัมพันธ์กัน มือของฉันสอดเข้าโอบรอบคอของเขาก่อนจะลูบไล้มือไปยังแผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบาฉันได้ยินเสียงครางเบา ๆ ออกมาจากลำคอของเขาในขณะที่ปากเราสองคนยังจูบกันอยู่ พี่มาร์คถอนริมฝีปากออกไป แล้วมองฉันด้วยนัยน์ตาหวานฉ่ำ“หวาน พี่จูบเก่งไหมครับ”“คนบ้า”เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มหน้าฟัง จนฉันอดที่จะต่อว่าเขาไม่ได้“เอาจูบแบบเมื่อกี้อีกไหมครับ”“พอแล้วค่ะ ปากแพรวช้ำหมดแล้ว”ฉันพูดออกมา เพราะกลัวมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ตั้งแต่ที่เราคบกันไม่เชื่อก็ต้องเชื่อที่พี่มาร์คเขาไม่เคยทำอะไรฉันมากไปกว่าการกอดและจูบเลย ซึ่งการที่เขาทำตัวสุภาพบุรุษแบบนี้มันแอบทำให้ฉันกลัวว่
2 เดือนต่อมา“แพรว เรียบร้อยหรือยัง ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ”“เสร็จแล้วค่ะพี่ปรางค์ อย่าเร่งสิคะแพรวตื่นเต้นเหมือนกันนะ”“เสร็จแล้วก็ออกมาให้พี่ดูสักทีสิ มัวแต่อยู่ในห้องน้ำอยู่นั่นแหละ”แอ๊ด!“สวยมากเลยแพรว”“น้องสาวพี่สวยที่สุด”“หวานมาก”ฉันเขินไปกับคำชมของพวกพี่ลิน พี่ปรางค์และพี่มีนสงสัยกันล่ะสิว่าทำไมทุกคนต้องมาชมฉัน เรื่องมันเป็นแบบนี้หลังจากที่ฉันและพวกพี่ลินจัดการนายโทมัสและนายริชาร์ดได้ เรื่องทุกอย่างก็จบ วันที่ทุกคนปฏิบัติการฉันแทบไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งเจาะข้อมูลบริษัทของนายโทมัสเฉย ๆ ซึ่งก็ได้พี่ลินอีกนั่นแหละที่เอาเครื่องรบกวนสัญญาณไปติดในบริษัทของนายโทมัส ทำให้ฉันสามารถเข้าสู่ระบบและได้ข้อมูลทั้งหมดของบริษัทนั่นมาได้ บอกได้เลยว่าพวกมันโคตรชั่ว ข้อมูลที่ได้มาเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีและหุ้นส่วนทั้งนั้น งานฉันมันก็มีแค่นั้นแหละ ไม่ได้ออกแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ ข้อมูลทั้งหมดที่ฉันแฮกมาได้ พี่ลินก็เอาให้ตำรวจสากลไปจัดการต่อ นายโทมัสก็ถูกตำรวจสากลจัดการต่อเช่นกัน เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละอ้อ หลังจบเรื่องทุกอย่างพี่ลินจะให้ฉันออกจากองค์กรด้วยนะ เพราะไม่อยากให้ฉันเป็นอันตราย แต่ว่าฉันไม
“ไงเรา เจ็บตัวฟรีเลย”“นั่นสิคะพี่ปรางค์ แต่ก็สงสารนายดราฟนั่นเหมือนกันนะคะ น่าจะช็อกจากเหตุการณ์ที่สูญเสียครอบครัวกะทันหัน เขาเลยเป็นแบบนี้”“ไม่ต้องสงสารคนอื่นเลย รู้ไหมว่าเราน่ะเกือบตาย ตอนส่งข้อความมาบอกพวกพี่แทบจะเป็นลม แล้วก็เสียพ่อและแม่ไปโดยใช่เหตุอีก เฮ้อ!”“จริงครับพี่มีน ไม่รู้จะไปสงสารคนอื่นทำไม เขาเป็นคนทำร้ายตัวเองกับครอบครัวแท้ ๆ”“น้อย ๆ หน่อยไอ้มาร์ค ออกตัวแรงเกินไปแล้ว”“จริงนะครับพี่มาร์ติน พี่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นผมรู้สึกยังไง”“อะ ๆ ๆ อย่าเถียงกันเด็ก ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้หนูแพรวก็ปลอดภัยแล้ว ก็หมดห่วงกันได้แล้วเนอะ แยกย้ายกันไปพักเถอะ เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”“พวกพี่กลับก่อนนะ”“กลับดี ๆ นะครับพี่ ๆ ส่วนแพรวผมไม่ให้กลับนะครับ วันนี้จะให้นอนนี่แหละ”พี่ทุกคนต่างยิ้มขำให้ผม ก่อนจะต่างคนต่างแยกย้ายกันไป“หมดทุกข์หมดโศกสักทีนะลูกนะ”“ค่ะคุณแม่”“ผมขอตัวพาน้องไปพักก่อนนะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปครับไปห้องพี่กัน” ผมไม่สนใจว่าพ่อกับแม่ผมจะพูดอะไร เลือกที่จะจับจูงมือเล็กของแพรวาขึ้นมาชั้นสองของบ้านทันที“พี่เสียใจเรื่องคุณพ่อคุณแม่ของแพรวด้วยนะครับ ท่านไ
ปัง!“อ๊ากกก ปล่อยกู กูจะฆ่ามัน ปล่อยย ปล่อยกู ปล่อย!”เสียงปืนที่ดังขึ้นลั่นบริเวณ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ก่อนจะได้ยินเสียงร้องโวยวายของผู้ชาย หากแต่ผมก็ยังกอดแพรวาไว้แนบอก ไม่ยอมผละห่าง หัวใจเต้นรัวไปหมด ผมไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวคนที่อยู่ในอ้อมกอดเป็นอะไรไป คิดได้ดังนั้นผมก็กอดร่างเล็กแน่นขึ้น“อ้าว จะยืนกอดกันอีกนานไหม” น้ำเสียงคุ้นเคยที่พ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ ทำให้ผมกับแพรวาผละออกจากกัน“พี่ลิน”แพรวาเอ่ยเรียกคนตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปกอดพี่ลินช้า ๆ“ปล่อยกู มึงต้องตาย มึงต้องตาย! ฮึก ฮือ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ มัน มันผิด มันฆ่าครอบครัวผม ฮึก ฮือ ฮือ ฮึก พ่อครับ แม่ครับ ฮือ มันฆ่าครอบครัวผม”“...”“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมแก้แค้นให้ครอบครัวเราได้แล้วนะครับ พวกมันตายแล้ว ตายหมดแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปไหน ไม่ไป ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ปล่อยผม ฮึก ฆ่ามัน ฮึก ฆ่ามัน”ชายคนที่พยายามทำร้ายแพรวาเสียสติไปแล้วเรียบร้อย เดี๋ยวโวยวาย เดี๋ยวหัวเราะและร้องไห้ สลับกันไปส่วนเสียงปืนที่ทุกคนได้ยิน คือเสียงปืนจากตำรวจที่ยิงเข้าที่มือคนร้าย ทำให้ปืนล่วงก่อนที่มันจะลั่นไกล ผมและแพรวาถึงได้ไม่มีใครเจ็บตัวไปมากก
“ตอนแรกฉันจำแกไม่ได้หรอก แต่ว่าฉันมันเป็นคนฉลาดไง และตอนนี้นวัตกรรมของเทคโนโลยีก็ไปไกลมาก ฉันจึงเอารูปแกตอนเด็กไปวิจัยว่าถ้าอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าแกจะหน้าตาเป็นยังไง มันเป็นวิธีเดียวกับที่วงการตำรวจเขาใช้หาตัวคนร้ายนั่นแหละ จนในที่สุดฉันก็ได้ภาพความน่าจะเป็นของแกมา”“...”“อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล แล้วไง สุดท้ายฉันก็เจอแกอยู่ดี ออกมาเถอะน่า อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดไปมากกว่านี้เลย”“...”“ออกมาสิโว้ยนังอลิน ไม่สิ ฉันต้องเรียกแกว่าแพรวา ออกมาจบเรื่องทุกอย่างซะ”ฉันมองหน้าพี่มาร์คที่ส่ายหัวห้ามฉันออกไป มาถึงตอนนี้ฉันแทบจะห้ามอารมณ์ความแค้นของตัวเองไว้ไม่ไหว และรู้สึกเจ็บใจที่ทำอะไรคนที่ทำร้ายครอบครัวตัวเองไม่ได้“แพรวพอจะจำเรื่องราวได้หรือยังว่ามันตามฆ่าแพรวทำไม”“ไม่รู้เลยค่ะพี่มาร์ค คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้บอกอะไรแพรวเลยค่ะ”“มันต้องมีสาเหตุสิ”ฉันก็พยายามคิดนะ ว่ามันต้องมีสาเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันถูกมันตามฆ่าแบบนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ที่สำคัญพ่อกับแม่ไม่เคยพูดหรือบอกอะไรกับฉันเลย วันที่ถูกลอบทำร้ายจนพ่อแม่ตายในวันนั้น พวกท่านบอกแค่ว่า จะพาฉันไปเที่ยวเท่านั้นเอง มาถึงตอนน
“แพรวครับ”“คะ มีอะไรคะ”“แพรวจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม”ฉันยิ้มให้คนที่ถามฉันด้วยความเป็นกังวล“ไม่หรอกค่ะ แพรวมีหน้าที่แค่เจาะข้อมูล เพราะฉะนั้นแพรวไม่มีอันตรายหรอกค่ะ” ฉันพยายามตอบเลี่ยง ๆ เพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วง“สัญญากับพี่นะครับ หลังจบเรื่องทุกอย่างเราจะหมั้นกัน”“ค่ะ แพรวสัญญา”หลังได้รับคำตอบที่พอใจแล้ว เราก็เดินทางไปหาอะไรกินที่ห้าง และใช้เวลาว่างที่มีในการเข้าไปดูหนัง และเดินซื้อของเหมือนคู่รักคู่อื่น ๆ “พี่มาร์ครักแพรวไหมคะ” คนตรงหน้าขมวดคิ้วสงสัยในคำถามของฉัน ก่อนที่เขาจะพูดว่า“รักครับ รักมาก”“เขินจังเลยค่ะ”ฉันก็เป็นแบบนี้ ชอบถามคำถามนี้กับเขา ฉันถามเขาบ่อยและเขาก็บอกรักฉันบ่อย แต่บอกเลยว่ามันไม่ชิน ฉันยังเขินทุกครั้งที่เขาบอกรักฉัน แรก ๆ ฉันก็คิดว่าเดี๋ยวก็ชิน แต่ที่ไหนได้มันไม่ชินเลย อีกความรู้สึกหนึ่งนอกจากเขินก็คือการอิ่มเอมใจ และมีความสุขทุกครั้ง ที่เขาพูดว่ารัก“พี่บอกเราทุกวัน ยังไม่ชินอีกเหรอ”“ไม่ค่ะ ก็คนมันเขินนี่”“เด็กน้อย เหนื่อยหรือยังครับ วันนี้ซื้อเสื้อผ้าไปเยอะเลยนะเราอะ กลับหรือยัง”“กลับเลยก็ได้ค่ะ ปะ ไปที่รถกัน”เราทั้งคู่เดินมายังโซนรถที่ได้จอดไว้ ก่อน