LOGIN"ฉันทำแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น...เธอจะเอาอะไรมาแลกกับชีวิต?" เมื่อเด็กสาวบ้านนอกที่เพิ่งหนีเข้ากรุงอย่าง ลลิล ต้องเลือกระหว่างความตาย หรือการยอมเป็น 'สิ่งของ' ของมาเฟียผู้ไร้หัวใจอย่าง ธนาทัศ หญิงสาวเสนอ 'ร่างกาย' เพื่อเอาชีวิตรอด แต่เขาไม่ได้ต้องการแค่นั้น... เขาต้องการ 'ทายาท'
View Moreเสียงหอบหายใจของร่างบางดังกระแทกความเงียบของตรอก
นี่เหรอ...กรุงเทพฯ?เมืองที่ปักหมุดไว้ว่าจะเป็นที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ กลับต้อนรับด้วยมุมที่มืดมิดและน่าสะพรึงกลัวที่สุด
"เฮ้ย! มันอยู่นั่น!"
เสียงตะโกนหยาบๆ ดังขึ้นไม่ไกล ทำให้ร่างทั้งร่างของลลิลสะดุ้งสุดตัว หัวใจดวงน้อยหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกมันตามมาทันแล้ว!
สัญชาตญาณดิบสั่งให้ร่างบางตะเกียกตะกายอีกครั้ง เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายถูกใช้พุ่งตัวเลี้ยวเข้ามุมตึกถัดไป ทว่าปลายทางคือความสิ้นหวัง กำแพงอิฐสูงตระหง่านปิดทึบ
...ทางตัน…
ขาทั้งสองข้างของลลิลทรุดลงกับพื้นเปียกแฉะทันที
หมดแรงแล้ว...หนีต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
เงาร่างใหญ่สามร่างเดินเข้ามาปิดปากตรอกที่ลลิลเพิ่งเลี้ยวเข้ามา แสงไฟนีออนสีชมพูที่กะพริบจากร้านค้าฝั่งตรงข้ามถนน สาดส่องให้เห็นรอยยิ้มแสยะน่าขยะแขยงของพวกมัน พวกอันธพาลที่น้าเข้มส่งมา
"จะรีบไปไหนอีหนู" ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าก้าวเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงมองร่างที่สั่นเทาด้วยสายตาโลมเลีย "น้าเข้มเขาคิดถึง บอกให้พากลับไปดีๆ"
ลลิลถอยกรูดจนแผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับกำแพงเย็นเฉียบ หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งความอัปยศและความกลัว
"ไม่...ไม่กลับ"
"ไม่กลับ ก็ต้องกลับ!"
เสียงนั้นกระแทกใส่หน้า มือหยาบกร้านกระชากต้นแขนของลลิลอย่างแรงจนร่างทั้งร่างปลิวไปตามแรง เสื้อยืดราคาถูกที่ใส่วิ่งมาตลอดทางขาดวิ่น เผยผิวเนื้อขาวเนียนตัดกับความโสโครกของตรอก
"เฮ้ย สวยนี่หว่าถึงว่าน้าเข้มมึงหวง" ชายอีกคนหัวเราะในลำคอ
ความอัปยศพุ่งขึ้นมาจุกที่อก ลลิลกรีดร้องสุดเสียง แต่เสียงกรีดร้องถูกกลบอย่างง่ายดายด้วยเสียงดนตรีอึกทึกที่ดังกระหึ่มจากบาร์ฝั่งตรงข้ามถนน ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครสนใจดอกไม้ริมทางที่กำลังจะถูกขยี้
มือที่สอง...มือที่สาม...เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายที่สั่นเทา
'ไม่' ความคิดนั้นแหลมคมยิ่งกว่าความกลัวใดๆ 'ยอมตายดีกว่า'
ในวินาทีที่ชายหัวหน้าก้มหน้าลงมาเพื่อจะสูดดมซอกคอ ลลิลรวบรวมแรงทั้งหมด อ้าปาก และฝังคมฟันลงบนมือหยาบกร้านนั้นอย่างจงเกลียดจงชัง!
"โอ๊ย! อีเหี้ยนี่!"
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือหนักๆ ฟาดลงบนใบหน้าจนชาหนึบ โลกทั้งใบหมุนคว้าง รสคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปาก ลลิลล้มลงกองกับพื้นเปียกแฉะ ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
"มึงกล้ากัดกูเหรอ! " ชายคนนั้นคำรามอย่างเดือดดาล เงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะตบซ้ำ แต่แล้ว…
เอี๊ยดดดดด!
เสียงเบรกดังเสียดแก้วหูจนน่าแสบรอน แสงไฟหน้าสว่างจ้าจนแสบตา สาดทะลุความมืดของตรอกเข้ามา จนพวกอันธพาลทั้งสามต้องยกแขนขึ้นบังหน้า
รถเบนท์ลีย์สีดำสนิทราวกับรัตติกาล จอดขวางปากตรอกไว้พอดิบพอดี ประตูรถติดตามที่ขับตามหลังมาเปิดออกพร้อมกัน ชายชุดดำร่างสูงใหญ่สี่คนก้าวลงมาอย่างพร้อมเพรียง รวดเร็ว และเงียบกริบ
"พวกมึงใครวะ!" ชายที่ถูกกัดตะโกนถาม เสียงสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่มาใหม่
ตุบ!
ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลง ภายในไม่ถึงสามสิบวินาที ความเงียบที่น่าอึดอัดกลับเข้ามาปกคลุมตรอกอีกครั้ง มีเพียงเสียงร้องครวญครางเบาๆ ของพวกอันธพาลที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
ร่างบางคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย พวกเขาอาจเป็นผู้มีอำนาจที่ผ่านมาพบ เลยยื่นมือมาช่วยให้เธอหลุดพ้นจากนรกขุมนี้ได้อย่างทันท่วงที
ประตูรถเบนท์ลีย์คันหรู ประตูหลังฝั่งคนขับก็เปิดออกอย่างเชื่องช้าและมั่นคง
รองเท้าหนังขัดมันวาวจนสะท้อนแสงไฟนีออนสีชมพู ก้าวเหยียบลงบนพื้นตรอกที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำครำ กลับไม่เปื้อนเปรอะเลยแม้แต่น้อย
ร่างสูงสง่าในชุดสูทไร้รอยยับก้าวตามออกมา แสงไฟจากหน้ารถสาดส่องจากด้านหลัง ทำให้ลลิลเห็นเพียงเงาดำมืดที่สูงตระหง่าน 'ธนาทัศ' บุรุษผู้เป็นนายใหญ่แห่งตระกูล 'อันธการกุล' ก้าวผ่านร่างบางไปราวกับเป็นเพียงกองขยะกองหนึ่ง แล้วไปหยุดตรงหน้าชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า เดช
"เรียบร้อยดีใช่ไหม"
น้ำเสียงนั้น ทุ้ม เรียบ และเย็นชา เป็นเสียงของคนที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง ไร้ความตื่นตระหนกใดๆ
"ครับนาย การเจรจาที่บาร์ไม่มีปัญหา ของกำลังจะย้ายครับ" เดชรายงาน
"ดี"
บทสนทนาสั้นๆ นั้นจบลง และนั่นคือเวลาที่ธนาทัศหันมามองลลิลเป็นครั้งแรก ลลิลตัวแข็งทื่อภายใต้สายตานั้น
ดวงตาคู่นั้นเย็นชาเหมือนน้ำแข็งขั้วโลก ว่างเปล่า ไร้ความปรานี สายตานั้นกวาดมองตั้งแต่ศีรษะที่เปรอะเปื้อน เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น จนถึงเท้าเปล่าที่สั่นเทา
ธนาทัศขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เหมือนรำคาญใจกับภาพที่ไม่น่าดูตรงหน้า
ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอดสูทตัวนอกราคาแพงออก แล้ว 'โยน' คลุมลงบนร่างของลลิล
สูทตัวนั้นหนักอึ้ง และอุ่น มีกลิ่นหอมจางๆ ของโคโลญจน์ราคาแพงและกลิ่นยาสูบจางๆ ที่ลลิลไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน นี่คือความอบอุ่นที่ได้รับในรอบหลายวันที่ผ่านมา
ลลิลกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อขอบคุณ แต่ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปสนใจธุระของตนเอง ร่างสูงพูดกับเดชด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"จัดการให้เรียบร้อยซะ"
คำสั่งฆ่านั้นเบาบางแต่หนักแน่นราวกับค้อนที่ทุบลงมาบนโลกทั้งใบของลลิล
"ครับนาย" เดช ชายมือขวาคนนั้น ขานรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับเจ้านาย
ลลิลรู้สึกถึงความตายที่คืบคลานเข้ามา ร่างทั้งร่างชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สูทราคาแพงที่เคยให้ความอบอุ่นเมื่อครู่ หล่นฮวบลงจากไหล่ กองลงบนพื้น เผยให้เห็นร่างที่บอบช้ำและเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นอีกครั้ง
ไม่นะ...หนีจากน้าเข้ม...รอดจากพวกอันธพาล...ไม่ใช่เพื่อมาตายอย่างหมาข้างถนนในตรอกมืดๆ นี้
ลลิลใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งเข้าหาร่างสูงของคนที่ดูเป็นหัวหน้า
ซบใบหน้าที่เปื้อนเลือดและน้ำตาลงบนรองเท้าหนังขัดมันราคาแพง กอดขากางเกงสแลคเนื้อดีไว้แน่นราวกับคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ท่อนสุดท้าย
ทุกอย่าง 'ชะงัก' เดชหยุดก้าว ธนาทัศนิ่งแม้แต่เสียงลมหายใจของลลิลก็ยังหยุดไปชั่วขณะ
นี่เป็นสิ่งเดียวในคืนนี้ ที่ทำให้ชายผู้เย็นชาคนนี้ประหลาดใจได้
ธนาทัศก้มลงมอง 'สิ่งมีชีวิต' ที่กำลังเกาะขาอยู่ สั่นเทา แต่ไม่ยอมปล่อย
"ได้โปรด..." เสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือจนแทบไม่เป็นภาษา "ได้โปรด...อย่าฆ่าฉัน ฮึก..."
"ฉันจะไม่พูดอะไร ฉันสาบาน...ฉันทำได้ทุกอย่าง"
"ฉัน...ฉันไม่มีใคร จะไม่มีใครตามหา...ได้โปรด"
ร่างบางอ้อนวอนซ้ำไปซ้ำมา สติแตก แต่สัญชาตญาณยังคงสั่งให้เกาะขาชายผู้นั้นไว้แน่น
ร่างสูงมองหญิงสาวอยู่นานหลายวินาที ใบหน้าที่บอบช้ำกลับเผยความงดงามล้ำค่าที่ไม่อาจซ่อนได้ แสงไฟสลัวกระทบดวงตาคู่สวยที่สิ้นหวังราวกับเพชรในโคลนตม
แม้จะเป็นเพียงนางนกในกรงที่ไร้เจ้าของ แต่ความงามและรูปลักษณ์นี้ มีมูลค่าพอที่จะใช้เป็น 'ตัวประกันชั้นดี' …
"ฉันทำแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น"
ลลิลชะงักเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง ดวงตาที่บวมช้ำเบิกกว้าง
ดวงตาคมกริบก้มมองดวงตาสวยที่สิ้นหวังคู่นั้น
"แล้วจะเอาอะไรมาแลกกับชีวิตของเธอ"
แดดร่มลมตก แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมายังสนามหญ้าหลังบ้านที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นปาร์ตี้วันเกิดสุดแฟนตาซี ซุ้มลูกโป่งหน้างานแบ่งออกเป็นสองฝั่งชัดเจน ฝั่งซ้ายเป็นสีชมพูประดับด้วยมงกุฎเจ้าหญิงและคทาวิเศษ ส่วนฝั่งขวาเป็นสีน้ำเงินแดงประดับด้วยโล่กัปตันอเมริกาและหน้ากากสไปเดอร์แมน เป็นการผสมผสานธีมที่ดูขัดแย้งแต่ลงตัวในแบบฉบับของบ้านอันธการกุล"กะทิ! หยุดเดี๋ยวนี้! เอาหน้ากากคืนมา!" เสียงตะโกนของตะวันในวัยหกขวบดังลั่น เด็กชายวิ่งไล่กวดหมาไทยหลังอานสีขาวขนฟูที่คาบหน้ากากพลาสติกวิ่งหนีไปรอบสนาม"อาทิตย์! ช่วยจับกะทิหน่อย! มันจะเอาไปฝังดิน!"อาทิตย์ละสายตาจากจานไก่ทอด วิ่งเข้าไปสมทบ สองแฝดวิ่งต้อนเจ้ากะทิที่วิ่งซิกแซกหลบเด็กสองคนอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะวิ่งไปหลบหลังพี่ใหญ่ของบ้าน"หยุดวิ่งกันได้แล้ว! ฝุ่นตลบหมดแล้วเนี่ย!" จันทร์เจ้าในวัยแปดขวบยืนเท้าเอว สั่งเสียงนิ่ง "กะทิ... คายของน้องออกมา เดี๋ยวนี้"เจ้ากะทิยอมคายหน้ากากเปื้อนน้ำลายใส่มือเจเจ้แต่โดยดี แล้วนั่งลงกระดิกหางทำหน้าซื่อตาใส"ตะวัน อาทิตย์ ไปล้างหน้ากาก แล้วก็ล้างมือด้วย จะเป่าเค้กแล้ว"สองแฝดรับคำเสียงอ่อย ยอมเดินไปที่ก
กลิ่นเนยไหม้ฉุนกึกผสมกับกลิ่นแป้งแพนเค้กหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัวสไตล์โมเดิร์นที่กว้างขวาง ธนาทัศยืนหน้าเครียดอยู่หน้าเตา สวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานแหววของลูกสาว มือขวาถือตะหลิวไม้ มือซ้ายจับด้ามกระทะเกร็งแน่น"กลับด้าน... ฮึบ!" ข้อมือหนาสะบัดกระทะอย่างแรงแผ่นแป้งแพนเค้กสีน้ำตาลเข้มลอยละลิ่วขึ้นสู่อากาศ หมุนคว้างสามตลบ ก่อนจะตกลงมา... แปะ! บนหัวของเดชที่เพิ่งเดินถือลังน้ำส้มเข้ามาพอดี"เฮ้ย! นาย!" เดชสะดุ้งโหยง แพนเค้กร้อนๆ แปะอยู่กลางกระหม่อม น้ำเชื่อมเมเปิ้ลไหลย้อยลงมาตามหน้าผาก"โทษทีว่ะ... กะแรงผิดไปหน่อย" ธนาทัศตอบหน้าตาย รีบหันไปเทแป้งชุดใหม่ลงกระทะ"เสียงดังอะไรกันคะเนี่ย" ลลิลเดินเข้ามาในครัว เธอหยุดยืนมองสภาพความวินาศสันตะโรตรงหน้า "พี่ทัศ... จะเผาครัวฉลองวันเกิดลูกเหรอคะ""กำลังทำ 'สเปเชียล เบรกฟาสต์' ให้สองแสบ" ธนาทัศแก้ตัว พยายามแซะขอบแป้งที่เริ่มไหม้"ปาป๊า! หอมจัง!" เสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งตึงตังลงมาจากบันได ตะวันและอาทิตย์ในชุดนอนลายซูเปอร์ฮีโร่วิ่งแข่งกันเข้ามาในครัว"สุขสันต์วันเกิดครับลูกชาย!" ธนาทัศอ้าแขนกว้างรับแรงกระแทกจากลูกชายสองคน"ของขวัญ! เห็นของขวัญแล้ว! ขอ
นาฬิกาดิจิทัลบนผนังโถงทางเดินบอกเวลาห้าทุ่มสี่สิบห้าความเงียบสงัดปกคลุมชั้นสองของคฤหาสน์อันธการกุล ธนาทัศเดินเขย่งปลายเท้า มือสองข้างโอบอุ้มกล่องของขวัญขนาดใหญ่สองกล่องที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงินและสีแดงอย่างทุลักทุเล ลลิลเดินตามหลังมาติดๆ ในมือถือกล่องของขวัญขนาดเล็กกว่า"เบาๆ ค่ะพี่ทัศ... เดี๋ยวลูกตื่น""มองไม่เห็นทาง... กล่องมันบัง" ธนาทัศกัดฟันเกร็งแขนประคองกล่องไม่ให้ร่วงลลิลเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูห้องนอนลูกชายฝาแฝด แสงไฟจากโคมไฟรูปจรวดที่หัวเตียงส่องสว่างสลัวๆบนเตียงกว้างขนาดคิงไซส์ ตะวันและอาทิตย์นอนหลับใหลอยู่ในท่วงท่าที่เรียกได้ว่า 'กระจัดกระจาย' ตะวันนอนคว่ำหน้า ขาข้างหนึ่งพาดไปอยู่บนพุงของอาทิตย์ ส่วนอาทิตย์นอนหงายอ้าปากหวอธนาทัศย่องเข้าไปวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียงอย่างระมัดระวัง "เฮ้อ..." ชายหนุ่มเป่าปาก ยืดหลังที่งอคุ้มมาตลอดทางเดิน เดินเข้าไปที่ข้างเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมอกให้ลูกชายทั้งสองคน"นอนท่าพิสดารกันจริงๆ ดูสิ... น้ำลายยืดใส่หมอนอีกแล้ว""ของขวัญถูกใจไหมเนี่ย... หุ่นยนต์รุ่นลิมิเต็ด... พ่อต้องให้เดชไปแย่งประมูลมาเลยนะ""ลูกต้องชอบอยู่แล้ว
ลมทะเลพัดเอากลิ่นไอเค็มและเสียงคลื่นซัดสาดชายหาดดังซู่ซ่าเข้ามาปะทะใบหน้า แสงแดดยามเย็นทอประกายสีทองฉาบไล้ไปทั่วผืนทรายขาวละเอียดหน้าบ้านพักตากอากาศส่วนตัวที่หัวหินธนาทัศในชุดเสื้อเชิ้ตลินินสีขาวพับแขน ยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าซุ้มดอกไม้ที่ทำจากกิ่งไม้แห้งและดอกกล้วยไม้ป่า เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมตามไรผม"ตะวัน! อย่าเอามือไปจับปู! เดี๋ยวมันหนีบ! อาทิตย์! นั่นดอกไม้แม่! ห้ามเด็ด!" ชายหนุ่มตะโกนลั่น"ปาป๊า... ทรายเข้าตา" จันทร์เจ้าในชุดกระโปรงสีขาวฟูฟ่องยืนขยี้ตา"โอ๊ย... จะบ้าตาย" ธนาทัศรีบวิ่งไปดูจันทร์เจ้าก่อน "อย่าขยี้ลูก... มา พ่อเป่าให้... หายยัง""หายแล้ว... แสบนิดนึง""เก่งมาก... ไปยืนรอตรงโน้น คุมน้องให้พ่อหน่อย บอกไอ้ลิงสองตัวนั่นว่าถ้าซนอีก พ่อจะจับโยนทะเล""เดช... กล้องพร้อมไหม""พร้อมครับนาย... แสงกำลังสวยเลยครับ"ธนาทัศจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ สูดหายใจลึก หันไปมองทางตัวบ้านลลิลเดินลงมาจากบันไดระเบียง หญิงสาวสวมชุดเดรสยาวสีขาวพลิ้วไหวเรียบง่าย ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา มีเพียงมงกุฎดอกไม้เล็กๆ บนศีรษะ เท้าเปล่าเหยียบย่ำลงบนผืนทรายนุ่ม ภาพตรงหน้าทำให้ธนาทัศลืมความวุ่นวายของลูกๆ ไปจนหม