ซูหนิงเซียวเห็นแม่หันไปยิ้มให้กับคนที่ประมูลชุดเครื่องเพชรของแม่เธอก็พบว่าเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมและดูภูมิฐานมาก แต่ในเมื่อแม่ไม่ได้แนะนำให้รู้จัก เธอก็ไม่คิดที่จะถามเช่นเดียวกัน เธอคิดเพียงว่าน่าจะเป็นนักธุรกิจที่แม่คุยด้วยก่อนหน้าที่การประมูลจะเริ่มขึ้นมากกว่า
ส่วนจ้าวลี่ลี่ที่เห็นแม่ตัวเองประมูลสร้อยข้อมือแข่งกับซูหนิงจิงก่อนหน้านี้ก็ได้แต่นั่งหน้าเครียด เพราะเธอรู้ว่าแม่ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ถ้าบิลของงานส่งไปที่บ้านล่ะก็ พ่อของเธอต้องต่อว่าแม่เป็นแน่ เนื่องจากหลายปีมานี้พ่อของเธอทำธุรกิจได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เขาจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนักกับพวกเธอสองแม่ลูกและจำกัดการใช้เงินของพวกเธอมาตลอด ขนาดว่างานวันนี้ พ่อของเธอยังส่งเธอกับแม่มาแทนที่พ่อจะมากับเลขาด้วยตัวเอง
เมื่อจบการประมูลเครื่องเพชรของซูหนิงจิงแล้ว ถัดจากนั้นอีกสองรายการก็เป็นชุดเครื่องเพชรของเจิ้งเหลียงฮวา ซึ่งครั้งนี้เป็นภรรยานักธุรกิจตระกูลหานที่ได้รับไป และสร้อยเพชรขนาดใหญ่น้ำงามราคาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน ครั้งนี้เป็นสามีนักธุรกิจส่งออกร
“โธ่แม่คะ แม่ก็รู้ว่าหนูไม่ชอบเรื่องปวดหัวพวกนี้น่ะ แถมเรื่องการเข้าสังคมกับพวกผู้ใหญ่หนูก็ไม่ถนัดด้วย หนูให้แม่จัดการดีแล้วค่ะ ฮิ ฮิ”“ฮ่า ฮ่า หนิงเซียวพูดถูก น้องซูเก่งเรื่องพวกนี้ก็จัดการไปดีแล้วค่ะ พวกเราจะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ”“เฮ้อ พี่กู่ก็เป็นไปด้วยกับหนิงเซียวเหรอคะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นน้องคงต้องจัดการเองเสียแล้วล่ะค่ะ อ๊ะ ถึงชั้นเราแล้ว รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วแวะหาอะไรทานก่อนกลับกันดีกว่านะคะ”ซูหนิงเซียวกับกู่ซิงพากันพยักหน้ารับคำซูหนิงจิง ตอนนี้พวกเธอก็ชักจะเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ถึงจะกินดึกไปหน่อยก็ยังดีกว่าที่ปล่อยให้ท้องโล่ง ขณะที่ในงานยังคงมีคนพูดคุยกันอยู่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ จ้านเกาที่รู้ว่าผู้หญิงสวยจัดคนนั้นเป็นลูกสาวของคุณป้าซูก็เอาแต่คิดอยู่ในหัวว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าคุณป้าซูจะให้เขาช่วยเรื่องโครงการในที่ดินผืนใหม่หรือไม่ จ้านเกาได้แต่เดินคิดไปจนถึงหน้าป้าเจิ้งของเขาแล้วจึงบอกลาป้าเจิ้ง
ซูหนิงจิงเก็บเช็คและเอกสารใส่กระเป๋าก่อนจะเดินนำซูหนิงเซียวกับกู่ซิงขึ้นไปยังชั้นสามที่มีบริษัทโบรกเกอร์มากมายตั้งอยู่ เธอเดินตรงเข้าไปที่ป้ายบริษัท K ที่เคยใช้บริการเมื่อสิบกว่าปีก่อนทันที พนักงานต้อนรับรีบถามว่าเธอต้องการติดต่อโบรกเกอร์คนไหน เพราะที่นี่เจ้าหน้าที่ซื้อขายหุ้นต่างมีลูกค้าเป็นของตัวเอง เธอจึงต้องสอบถามก่อน“ดิฉันมาพบคุณไป่เฉิงค่ะ”“เดี๋ยวดิฉันโทรบอกให้นะคะ ไม่ทราบคุณผู้หญิงชื่ออะไรคะ”“บอกเขาว่าซูหนิงจิงมาขอพบค่ะ”พนักงานต้อนรับพยักหน้ารับคำของซูหนิงจิงแล้วจึงต่อสายไปยังเจ้าหน้าที่อาวุโสไป่เฉิงซึ่งมีลูกค้าใหญ่ในมือนับร้อยคน ทำให้เขาได้ส่วนแบ่งรายได้และยังมีหุ้นของบริษัทโบรกเกอร์ของตัวเองไม่น้อย เมื่อได้รับอนุญาตให้แขกเข้าพบได้เธอก็วางสายโทรศัพท์แล้วเชิญแขกทั้งสามให้เดินตามเธอไปยังห้องของไป่เฉิง“เชิญพวกคุณเข้าไปได้เลยค่ะ ตอนนี้คุณไป่ว่างอยู่พอดีค่ะ”
ไป่เฉิงจัดการเอกสารการซื้อหุ้นและส่งมอบให้กับซูหนิงเซียวเสร็จแล้วก็หันไปถามซูหนิงจิงว่าวันนี้เธอจะซื้อหุ้นอะไรบ้างหรือไม่ เพราะบัญชีของซูหนิงจิงยังมีอยู่ที่เขาเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน แถมหุ้นที่เธอเคยซื้อเอาไว้ก็มีมูลค่าไม่น้อยแล้วในปีนี้“ฉันว่าจะซื้อหุ้นเทคโนโลยีของบริษัท V สักหน่อย คุณคิดว่ายังไงคุณไป่”“เป็นตัวเลือกที่ดีครับคุณซู ครั้งนี้คุณจะซื้อเท่าไหร่ครับ อีกอย่าง หุ้นเก่าที่คุณซื้อทิ้งไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้มูลค่าสูงมากแล้วนะครับ คุณไม่คิดจะถอนเงินออกไปเก็บไว้บ้างเหรอครับ”“อ่า… ฉันลืมไปเลยว่าเคยซื้อทิ้งเอาไว้ เดี๋ยวคุณจัดการเรื่องซื้อหุ้นตัวนี้ให้ฉันก่อนก็แล้วกันนะคะ แล้วเราค่อยมาดูยอดกันว่าหุ้นพวกนั้นมูลค่าเท่าไหร่แล้ว พอดีกับที่ฉันมีโครงการใหม่ที่อยากจะทำเสียด้วย ถ้าได้เงินลงทุนมาเพิ่มก็คงดีไม่น้อย”“ไม่มีปัญหาครับ คุณซูรอสักครู่ เดี๋ยวผมทำเรื่องซื้อให้ครับ เงินในบัญชีของคุณตอนนี้ยังมีเงิ
“น้องซูคะ ไม่ทราบว่าพี่ถามได้ไหมว่าน้องซื้อหุ้นทั้ง 5 ตัวที่ทำกำไรมหาศาลเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้ยังไงคะ”“อืม… จะว่าไปก็แค่ความบังเอิญมากกว่าค่ะ น้องได้ข่าวจากเพื่อนนักธุรกิจว่าเมืองหลวงกำลังจะเปิดตลาดหุ้น หลังจากที่ซื้อขายได้แค่ตามธนาคารเท่านั้น น้องก็หาข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้จนแน่ใจว่าน่าจะเปิดแน่ น้องเลยเอาเครื่องเพชรที่สะสมมาหลายปีไปขายรอไว้ก่อนจนมีเงินทุนในมือ 50 ล้านหยวน พอตลาดหุ้นเปิด น้องก็หาโบรกเกอร์หลายคนจนรู้จักกับไป่เฉิง สมัยนั้นเขาเพิ่งเรียนจบกลับจากต่างประเทศแล้วเข้ามาทำงานพอดี น้องเห็นว่าความคิดของเขาก้าวหน้ากว่าโบรกเกอร์คนอื่นที่เคยคุยมา ก็เลยตัดสินใจเซ็นสัญญากับเขาเรื่องซื้อขายหุ้นค่ะ ส่วนหุ้นทั้ง 5 ที่น้องเลือกก็เพราะน้องพอจะรู้ข่าววงในมาบ้างว่าหุ้นตัวไหนจะพัฒนาไปได้อีกไกลค่ะ น้องก็เผื่อใจด้วยถ้าหุ้นที่ซื้อขาดทุนนะคะ ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะได้กำไรมากถึงขนาดนี้ค่ะ”“น้องซูโชคดีมากเลยนะคะ พี่เองสมัยนั้นก็ได้ยินดาราใหญ่บางคนพูดเรื่องหุ้นอยู่บ้างเหมือนกัน แต่พี่
ซูหนิงเซียวขับรถมินิคันเล็กของเธอออกจากที่จอดรถลงไปยังด้านล่างช้า ๆ เพราะเธอจำได้ว่าแม่บอกเวลาขึ้นลงชั้นจอดรถให้ใช้เกียร์ต่ำ เธอไม่กล้าที่จะใช้เกียร์สูงจึงได้แต่ค่อย ๆ ลงมาตามทางโค้งอย่างระมัดระวัง กระทั่งลงมาถึงชั้นหนึ่งแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเป็นเกียร์ปกติเพื่อขับออกจากคอนโดไปยังมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ไม่ไกลนักซูหนิงเซียวจำทางไปตึกคณะศิลปศาสตร์ สาขาการแสดงได้ เธอจึงขับรถเข้าไปจอดยังที่จอดรถ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน เธอเองก็จำเพื่อนร่วมรุ่นไม่ได้เพราะวันที่มาลงทะเบียนเธอรีบไปทำธุระกับแม่เสียก่อน ซูหนิงเซียวจึงเดินถือกระเป๋าพร้อมกับเสื้อพาดไว้ที่แขนอีกข้างหนึ่งขึ้นไปนั่งรอที่ชั้นล่างของตึกคณะก่อนหานลู่หรงที่กำลังนั่งคุยอย่างออกรสกับเพื่อนสนิทอย่างโจวเสี่ยวเซียน เห็นซูหนิงเซียวหน้าตาสวยจัดแถมยังแต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัวอีกด้วย เธอคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นหน้าซูหนิงเซียวที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก“นี่ เธอว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าคุ้น ๆ ไหม?”“เดี๋ยวนะ ขอ
หลังผ่านการแนะนำตัวของประธานรุ่นแต่ละสาขาในคณะศิลปกรรมศาสตร์แล้ว อาจารย์หัวหน้าคณะก็ขึ้นมากล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่ พร้อมกับให้สิทธิพิเศษสำหรับการลาเรียนโดยไม่มีผลกับเกรดหากนักศึกษายังคงมาสอบและทำคะแนนได้ดี อาจารย์ยังกล่าวอีกว่ามหาวิทยาลัยสนับสนุนหากนักศึกษาอยากเข้าสู่วงการบันเทิงและไปได้ดีเพื่อปูทางเอาไว้ให้รุ่นน้องต่อไปอีกด้วยอาจารย์หัวหน้าคณะกล่าวเรื่องวิชาเรียนเด่นๆในแต่ละสาขาเล็กน้อย จากนั้นอาจารย์ก็ประกาศให้ซูหนิงเซียวที่ทำคะแนนสูงสุดเป็นอันดับสองของประเทศแต่เลือกมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ในคณะศิลปศาสตร์ขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็กน้อยซูหนิงเซียวไม่คิดว่าอยู่ ๆ จะต้องขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์แทนนักศึกษาใหม่ในวันนี้ เธอได้แต่หายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะฝากกระเป๋าเอาไว้กับเพื่อนทั้งสองคนแล้วเดินออกจากที่นั่งไปยังเวทีที่อยู่ไกลพอสมควรนักศึกษาใหม่ต่างพากันปรบมือพร้อมกับฮือฮาไม่น้อยที่ซูหนิงเซียวสวยมากแถมการเดินของเธอก็ไม่ต่างจากนางแบบที่เดินเร็ว ๆ แต่สง่างามอีกด้วย กว่าที่เสียงปรบมือจะหยุดลง ก็เป็
เมื่อทั้งสามสาวมาถึงหน้าโรงอาหารแล้ว พวกเธอก็เลือกเดินขึ้นไปที่ชั้นสามที่เป็นห้องแอร์เหมือนกับชั้นสองทันที แต่ราคาอาหารก็จะแพงไปตามระดับชั้นด้วยเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าหานลู่หรงกับโจวเสี่ยวเซียนต่างเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ พวกเธอจึงไม่คิดที่จะนั่งกินอาหารราคาถูกที่ชั้นหนึ่งกับชั้นสองแต่แรก ซูหนิงเซียวที่ไม่ได้สอบถามถึงครอบครัวเพื่อนก็เดินตามทั้งสองคนไปเลือกอาหารแล้วหาที่นั่งกินกันก่อนที่จะถึงบ่ายโมงทันที เพราะพวกเธอเสียเวลาระหว่างเดินมาโรงอาหารไม่น้อย จึงกลัวว่าจะเข้าไปที่หอประชุมไม่ทันเพื่อนในช่วงบ่ายหลังทานอาหารกันเสร็จ พวกเธอเหลือเวลาเพียง 10 นาทีจะบ่ายโมง ทั้งสามคนจึงนำจานไปเก็บแล้วรีบพากันเดินออกจากโรงอาหารเพื่อกลับไปที่หอประชุม ในระหว่างทางเดินกลับหอประชุม หากมีเพื่อน ๆ มาทักทาย พวกซูหนิงเซียวก็จะทำเพียงยิ้มรับเท่านั้น เพราะกลัวว่าหากมัวแต่คุยกันอยู่จะทำให้เข้าหอประชุมสายช่วงบ่ายทางทีมงานกิจการนักศึกษาได้จัดเก้าอี้แยกเป็นวงกลมตามสาขาของคณะที่มีอยู่ เพื่อให้รุ่นพี่พาน้อง ๆ ทำกิจกรรมสันทนาการและตามหาพี่รหัส
ซูหนิงเซียวเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยให้แม่กับป้ากู่ของเธอฟังอย่างสนุกสนาน“เอาไว้วันไหนลูกว่าง ลูกก็พาเพื่อนมาพบแม่ที่บ้านได้นะ แม่อยากจะทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ของลูกเอาไว้บ้างน่ะ”“ได้สิคะแม่ เพื่อนของหนูน่ารักมากเลยนะคะ หนูไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนดี ๆ แบบนี้ตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ”“ดีแล้วที่ลูกได้เจอเพื่อนดี ๆ หลังจากนี้ก็ตั้งใจเรียนล่ะ ป้ากู่เองก็ดูงานเอาไว้ให้ลูกแล้วสองสามงานในวันหยุด ลูกคิดยังไง”“ตารางเรียนหนูก็หยุดอยู่แล้ว ถ้าทำงานตามคิวที่ป้ากู่จัดหามาให้ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะคะแม่ จริงไหมคะป้ากู่”“จริงจ๊ะ ยังไงป้าจะคอนเฟิร์มกับเจ้าของงานให้นะว่าเราจะไปกันตามนัดวันเสาร์นี้ ส่วนวันอาทิตย์ป้าไม่รับงานให้หนูนะ เพราะป้าอยากให้หนูพักผ่อนบ้าง”“ขอบคุณมากค่ะป้ากู่ที่หางานให้หนู แถมยังให้วันหยุดหนึ่งวันด้วย&rdq
ระหว่างอาหารค่ำวันหนึ่ง ซูหนิงเซียวที่กำลังจะกินทอดมันกลับรู้สึกเหม็นกลิ่นอาหารยังไงพิกลจนเธอต้องลุกขึ้นวิ่งไปอาเจียนที่ห้องน้ำ ทำเอาทุกคนแตกตื่นตกใจกันไปหมดเพราะคิดว่าเธอพักผ่อนไม่เพียงพอจากการไลฟ์สดต่อเนื่องกันมานานหลายวัน จ้านเการีบสั่งคนให้เตรียมรถไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเห็นซูหนิงเซียวเดินหน้าซีดออกมาจากห้องน้ำ เขาก็รีบเข้าไปอุ้มเธอและเดินดุ่ม ๆ ออกไปหน้าบ้านโดยไม่รอใครสักคน ทำเอาคนอื่น ๆ ต้องรีบเดินตามเขาไปแทบไม่ทัน บอดี้การ์ดพาทุกคนไปถึงโรงพยาบาลใกล้ ๆ ในเวลาเพียง 20 นาที ซูหนิงเซียวเห็นจ้านเกาจะอุ้มเธอลงไปอีกก็เกิดอายคนในบ้านขึ้นมา เธอจึงขอเดินเองจนจ้านเกาต้องยอมแพ้ภรรยาตัวน้อยและประคองเธอลงจากรถตู้เอง หลังส่งซูหนิงเซียวเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อตรวจอาการแล้ว บรรดาผู้อาวุโสที่คาดเดาว่าครั้งนี้น่าจะเป็นข่าวดีต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จ้านเกาที่เป็นห่วงภรรยากลับไม่รู้เรื่องอะไร เขาเอาแต่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะกลัวว่าภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรง
ในห้องหอที่เป็นห้องของจ้านเกา ซูหนิงเซียวนั่งอยู่ที่เตียงอย่างเขินอาย ก่อนที่จ้านเกาจะจูบหน้าผากภรรยาตัวน้อยของเขาอย่างอ่อนโยน“น้องหนิงเซียวไม่ต้องเครียดมากนะครับ พี่ไม่ทำอะไรน้องก่อนจะเรียนจบแน่นอนครับ เราไปกินข้าวมงคลกันดีกว่า” จ้านเกาจับมือเล็กของซูหนิงเซียวแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะนั่งลงข้างเธอและเริ่มตักอาหารใส่ถ้วยข้าวให้เธอกินไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับครอบครัว ซูหนิงเซียวอดคิดไม่ได้ว่าทำไมสามีเธอไม่อยากมีอะไรกับเธอ หรือว่าเธอจะไม่สวยพอที่เขาจะหลงใหล จ้านเกาเห็นภรรยาหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดจะถามไม่ได้“น้องหนิงเซียวคิดอะไรอยู่ครับ ทำไมทำหน้าตาแบบนี้ล่ะ”“เอ่อ… หนูแค่คิดว่าวันนี้หนูไม่สวยพอที่สามีอย่างพี่จ้านจะทำหน้าที่สามีหรือเปล่าน่ะสิคะ เพื่อนหนูบอกว่าเจ้าบ่าวส่วนใหญ่ต้องอดใจไม่ไหวแน่ถ้าเห็นเจ้าสาวนั่งบนเตียง” ซูหนิงเซียวก้มหน้าตอบอย่างอาย ๆ“ฮ่า ฮ่า น้องหนิงเซียวคิดมากเกินไปแล้ว พี่แค่กลัวว่าน้องจะยังไม่พร้อมเท่านั้นเองครับ ถ้าน้องหนิงเซียวอนุญาต พี่ก็จะทำห
ก่อนเวลาตามฤกษ์งามยามดี 10 นาที พิธีกรขึ้นมากล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจำนวนนับร้อยคนที่มาในครั้งนี้ จากนั้นเขาจึงเชิญผู้อาวุโสของตระกูลจ้านทั้งสองขึ้นไปนั่งรอบนเวที ไม่นานนักซูหนิงจิงก็เดินมาพร้อมลูกสาวโดยมีกู่ซิงเดินตามหลังพร้อมรอยยิ้มเข้ามาในงาน จ้านเการีบไปยืนรอเจ้าสาวของเขาที่หน้าเวทีก่อนจะรับเธอมาจากซูหนิงจิง เขายังรับปากซูหนิงจิงว่าจะดูแลซูหนิงเซียวเป็นอย่างดี หลังฟังจ้านเกาพูดแล้ว ซูหนิงจิง กู่ซิงก็เดินนำสองเจ้าบ่าว เจ้าสาวขึ้นไปบนเวทีเพื่อเริ่มทำพิธีการในลำดับต่อไป พิธีกรประกาศของรับขวัญเจ้าสาวที่ตระกูลจ้านมอบให้ ทำเอาแขกในงานฮือฮากันไม่น้อย เนื่องจากของขวัญมากมายทั้ง 28 รายการล้วนแต่เป็นของโบราณและมีค่าควรเมือง ไม่รวมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเมืองต่าง ๆ ที่ผู้อาวุโสทั้งสองมอบให้อีกหลายแห่ง ซูหนิงเซียวถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาที่คุณตา คุณยายของจ้านเกาเอ็นดูเธอถึงเพียงนี้ หลังจบรายการของขวัญฝ่ายเจ้าบ่าวแล้ว พิธีกรก็ประกาศของรับขวัญเจ้าบ่าวที่ซูหนิงจิงมอบให้เช่นกัน คราวนี้แขกในงานยิ่งส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเมื่อกี้เสียอีก เพราะซูหนิงจิงมอบหุ้นทั้งหมดข
ก่อนถึงงานแต่งสามวัน วันนี้มีข่าวใหญ่ที่สื่อทุกสำนักนำเสนอ จากหลักฐานที่ตำรวจได้รับมาก่อนหน้านี้ หลังจากตรวจสอบที่มาที่ไปและพบว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นของจริง ตำรวจได้นำส่งหลักฐานให้ศาลพิจารณาออกหมายจับนักการเมืองหลายสิบคนที่มีส่วนร่วมในการทุจริตและคอรัปชั่นมาตลอดหลายสิบปี เจียวจิ้งเหอที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้แต่เหงื่อตกหลังจากดูข่าวที่กำลังฉายในทีวี เขาไม่รู้ว่าหลักฐานที่เขาเก็บเอาไว้ทำไมถึงไปอยู่กับตำรวจได้ วันที่ทนายมาทำพินัยกรรมให้กับเขา ทนายก็ไม่ได้บอกว่าหลักฐานหายไป เจียวจิ้งเหอยิ่งดูข่าวก็ยิ่งเครียดจนความดันขึ้นสูงและเครื่องวัดความดันดังเตือนไปยังพยาบาลด้านนอก พวกเธอรีบเข้ามาดูคนไข้ที่กำลังช็อคทันที แต่เสียดายที่ตอนนี้เจียวจิ้งเหอเส้นเลือดในสมองแตกไปจากความเครียดที่เกิดขึ้น หมอรีบเข้ามาดูอาการแล้วก็ได้แต่ต้องรีบพาเขาไปห้องผ่าตัดเพื่อดูดลิ่มเลือดในสมองออกก่อนที่อาการจะหนักมากไปกว่านี้ หลงฮ่าวกับเจียวจูได้รับข่าวจากโรงพยาบาลในเวลาต่อมา พวกเขารีบไปที่โรงพยาบาลกันอย
สามวันต่อมา จ้านหย่งเหอ จ้านเซียงชิง จ้านเกา ซูหนิงจิง ซูหนิงเซียวและกู่ซิงเดินทางไปลองชุดที่ร้านตามที่จ้านเซียงชิงจองเอาไว้ก่อนหน้านี้ ร้านนี้มีแต่ชุดสวย ๆ และดูหรูหราเหมาะสมกับงานแต่งงานของเด็กทั้งสองคน ส่วนผู้ใหญ่ต่างก็ดูชุดราตรีแบบต่าง ๆ ที่ร้านนำมาให้ก่อนจะลองชุดกันอย่างสนุกสนาน สองผู้อาวุโสเองก็เลือกชุดแบบโบราณที่ดูเหมาะสมกับวัย กว่าที่ทุกคนจะลองชุดเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงบ่ายกว่าแล้ว พวกเขาเห็นว่าเลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพักใหญ่จึงให้คนขับรถหาร้านใกล้ ๆ เพื่อทานอาหารก่อนจะกลับไปที่บ้านตระกูลจ้าน ระหว่างทานอาหาร จ้านหย่งเหอก็ถามถึงเรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอกับหลานชาย“คดียังต้องเลื่อนการสอบพยานนัดแรกออกไปอยู่ครับคุณตา เพราะเจียวจิ้งเหอต้องรักษาตัวมากกว่าสามเดือนครับ”“ฮึ หวังว่าคราวนี้คงไม่มีใครมาช่วยเขาอีกนะ”ซูหนิงจิงไม่อยากให้จ้านหย่งเหอกังวลมากนัก เธอจึงคิดจะบอกถึงเรื่องที่คนของเติ้งโหย่วได้หลักฐานส่งตำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่อย่างนั้นจ้านหย่งเหอคงไม่สบายใจ
เจียวจิ้งเหอฟื้นขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันต่อมาหลังจากผ่าตัด หมอตรวจอาการของเขาพบว่าร่างกายช่วงล่างของเขาไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป เนื่องจากกระดูกสันหลังและเส้นเลือดเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุ เจียวจูกับหลงฮ่าวพอได้ข่าวก็รีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อพวกเขารู้ว่าเจียวจิ้งเหอไม่สามารถใช้ร่างกายช่วงล่างได้อีกก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอก็ยังไม่ได้รับการตัดสิน หากเจียวจิ้งเหอต้องไปอยู่ในคุกข้อหาจ้างวานฆ่าจริง ๆ พวกเขาคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากหมั่นไปเยี่ยมเท่านั้น หลังจากรู้เรื่องว่าต่อไปตัวเองต้องเป็นคนพิการ เจียวจิ้งเหอก็ได้แต่หลับตาลงอย่างปลดปลง เขาไม่สนใจว่าเป็นฝีมือใครแล้วในตอนนี้ ถึงเขาจะแก้แค้นกลับก็ไม่ช่วยให้เขาสามารถใช้งานร่างกายที่พิการไปแล้วได้อยู่ดี เจียวจูเห็นพ่อของตัวเองเงียบลงไปแบบนี้ก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นไปอีกจนหลงฮ่าวต้องคอยกอดปลอบเธอเอาไว้ ไม่นานนักเจียวจิ้งเหอก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อคุยกับลูกสาวและลูกเขยถึงเรื่องสำคัญ“หลงฮ่าว อาจู พรุ่งนี้เรียกทนายมาหาพ่อที่นี่ด้วยนะ พ่อจะทำพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกกับหลาน ส่วนเรื่องคดีของพ่อคงอีก
หลงฮ่าวกับเจียวจูรออยู่หน้าห้องผ่าตัดเกือบ 8 ชั่วโมง กว่าที่หมอจะออกมาบอกว่าเจียวจิ้งเหอพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่ต้องรอดูว่าหลังจากฟื้นขึ้นมา อวัยวะต่าง ๆ ของเจียวจิ้งเหอจะสามารถใช้งานได้เป็นปกติหรือไม่เท่านั้น หมอแจ้งอาการกับญาติเสร็จก็ให้พยาบาลเข็นเตียงของเจียวจิ้งเหอไปยังห้องพิเศษเพื่อรอดูอาการหลังผ่าตัดจนกว่าจะครบ 24 ชั่วโมง จึงจะมั่นใจว่าเขาสามารถพักฟื้นต่อได้ หลงฮ่าวกับเจียวจูได้แต่ต้องกลับไปก่อนและให้คนของเขาคอยเฝ้าดูอาการของเจียวจิ้งเหอแทน พวกเขาจึงจะมาเยี่ยมเจียวจิ้งเหออีกครั้ง เพราะหลงฮ่าวกำลังหาคนในของบริษัทจ้านเกาเพื่อสร้างความเสียหายแต่ก็ยังหาไม่ได้เสียที จ้าวไห่ถังที่รู้ข่าวความวุ่นวายของหกตระกูลก็คิดอยากถอนหมั้นลูกสาว เขาไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนติดคุกติดตะรางอย่างหลงเอ้อหลางอีกต่อไป หลิวอ้ายโหรวที่ยุ่งอยู่กับการพาลูกชายไปทำงานก็ไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของสามี เธอในตอนนี้ไม่อยากให้ลูกชายเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะเรื่องนี้เช่นกัน หลังอาหารเย็นวันหนึ่ง จ้าวไห่ถังจึงเรียกลูกสาวมาคุยเรื่องนี้“พ่อคิดว่าตระกูลหลงจะให้เราถอนหมั้น
วันนี้เจียวจิ้งเหอมีนัดขึ้นให้การในชั้นศาลนัดแรก เขาให้คนของตนเองเตรียมตัวเดินทางหลังอาหารเช้า ส่วนคนของเติ้งโหย่วก็เตรียมการแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขาหาที่กั้นทางเพื่อทำทีเป็นปรับปรุงถนนอยู่ให้เลี่ยงเส้นทางไปยังทางเปลี่ยว ทำให้ขบวนรถสามคันของเจียวจิ้งเหอต้องอ้อมทางไป คนของเติ้งโหย่วที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า พอเห็นขบวนรถของเจียวจิ้งเหอมาถึงก็เตรียมตัวกดระเบิดที่ฝังเอาไว้ใต้พื้นถนนเพื่อทำให้รถเกิดอุบัติเหตุแทนที่จะใช้ปืนกระหน่ำยิงเหมือนตอนที่เจียวจิ้งเหอสั่งลูกน้องไปจัดการจ้านเกา เมื่อรถคันแรกมาถึงบริเวณที่อานุภาพการทำลายล้างของระเบิดสามารถทำได้ หัวหน้ากลุ่มกะจังหวะกดระเบิดตอนที่รถของเจียวจิ้งเหอมาถึงจุดที่ระเบิดถูกวางเอาไว้พอดีบึ้ม!!! เอี๊ยด!!! โครม! รถของเจียวจิ้งเหอพลิกคว่ำในทันที ส่วนรถอีกสองคันที่โดนแรงระเบิดก็กระเด็นไถลไปคนละทิศละทาง คนที่อยู่ในรถต่างมึนงงและหูดับไปเพราะแรงระเบิดชั่วขณะ คนของเติ้งโหย่วอาศัยจังหวะนั้นหลบออกไปจากที่เกิดเหตุโดยหลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิดอย่างรู้งาน พวกเข
หลังทานอาหารค่ำ ทุกคนก็มานั่งคุยรายละเอียดเรื่องงานแต่งงานของเด็กทั้งสองคนอย่างจริงจังจนได้ข้อสรุปว่าพวกเขาจะจัดงานแต่งงานก่อนซูหนิงเซียวจะเปิดเทอมและขึ้นปีสามเพื่อความสะดวกหลาย ๆ อย่าง ซึ่งก็เหลือเวลาเตรียมงานไม่ถึงสามสัปดาห์ แน่นอนว่าสัปดาห์นี้ทุกคนยุ่งอยู่กับแผนการล้มหกตระกูลรอง จ้านหย่งเหอกับจ้านเซียงชิงจึงให้เริ่มเตรียมงานแต่งในสัปดาห์หน้าแทน โดยพวกเขาจะเรียกเจิ้งเหลียงฮวามาช่วยเรื่องทำบัตรเชิญเหมือนตอนงานหมั้น คืนนั้นกว่าทุกคนจะได้เข้านอนก็เกือบห้าทุ่มแล้ว พวกเขาต่างยิ้มแย้มที่กำลังจะมีงานมงคลในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ถึงแม้แต่ละคนจะมีงานล้นมืออยู่ก็ตามที สายวันต่อมา แผนการของซูหนิงจิงทำให้บริษัทใหญ่ทั้งหกไม่มีทางเลือกจนต้องเทขายหุ้นในมือก่อนที่จะขาดทุนไปมากกว่านี้ ซูหนิงจิงโทรหาไป่เฉิงให้เขากว้านซื้อหุ้นทั้งหมดเอาไว้ให้เธอ โดยเธอโอนเงินให้เขาเผื่อเอาไว้ 900 ล้านหยวน ต้องขอบคุณโครงการฟู่ซิงซินที่ขายหมดเร็วจนเธอมีกำไรจากโครงการนี้มากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน ตระกูลทั้งหกที่เกี่ยวพันกับเรื่องของซูหนิงเซียวต่างนัดประชุมเ