ซูหนิงจิงหาที่จอดรถห่างจากประตูโรงเรียนได้แล้วจึงจอดรถเอาไว้ เธอลงจากรถไปรอลูกสาวที่หน้าประตูเหมือนกับผู้ปกครองบางส่วนที่มาถึงก่อนเธอไม่นาน ซูหนิงจิงไม่ได้สนใจผู้ปกครองคนอื่นที่มองดูเธอมากนัก ปกติเธอมักจะทำงานกับลูกน้องจำนวนมาก จึงทำให้นิสัยของเธอจากที่เคยอัธยาศัยดีก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเหมือนผู้บริหารบริษัททั่วไป อีกทั้งการแต่งตัวของเธอก็ต่างกับแม่บ้านทั่วไป จะมีก็แต่หน้าตาของเธอที่ไม่ได้แต่งหน้าเท่านั้นที่พอจะเหมือนแม่บ้านคนอื่นบ้าง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา บรรดาเด็ก ๆ ที่เลิกเรียนแล้วก็เดินออกมาที่ประตูโรงเรียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บางคนก็ไปขึ้นรถของโรงเรียนที่จะไปส่งพวกเขาที่บ้าน บางคนก็เดินออกมารอผู้ปกครองที่หน้าโรงเรียนเหมือนทุกวัน ซูหนิงเซียวเดินออกมาพร้อมเพื่อนในห้องใหม่ของเธอก่อนจะโบกมือลาเพื่อนเมื่อมองเห็นว่าแม่ของเธอมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะแม่ วันนี้ที่โรงเรียนใหม่สนุกมากเลยค่ะ หนูได้เพื่อนใหม่เยอะเลย”
“ดีแล้วจ๊ะลูก แม่ดีใจที่ลูกเข้ากับเพื่อน ๆ ได้ เรากลับบ้านกันดีกว่า วันนี้แม่มีข่าวดีจะบอกลูกด้วยนะจ๊ะ”
“จริงเหรอคะ หนูชักอยากรู้ซะแล้วสิ ฮิ ฮิ”
ซูหนิงจิงลูบหัวลูกสาวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูงมือลูกเดินไปยังรถที่จอดอยู่ห่างจากประตูโรงเรียนไกลสักหน่อย หลังจากขึ้นรถกันแล้ว ซูหนิงจิงก็ขับรถกลับบ้านเช่าทันที
เมื่อถึงบ้านแล้ว ซูหนิงจิงก็ให้ลูกไปทำการบ้านก่อนค่อยลงมาทานข้าวที่เธอกำลังจะทำในเย็นวันนี้ ซูหนิงเซียวพยักหน้ายิ้มรับคำของแม่เธอแล้วจึงเดินขึ้นห้องไปพร้อมกระเป๋านักเรียน วันนี้หนิงเซียวมีการบ้านไม่น้อย เพราะที่เธอเรียนมาไม่เหมือนเพื่อนจึงต้องทบทวนบทเรียนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นด้วย
ซูหนิงจิงเอากระเป๋าไปวางไว้ที่ห้องรับแขกก่อนจะเริ่มเข้าไปทำอาหารที่ห้องครัว วันนี้เธอยังคงทำอาหารง่าย ๆ สามอย่างกับซุปหนึ่งอย่างเช่นเคย ซูหนิงจิงที่เริ่มคุ้นเคยกับการทำอาหารก็ทำเสร็จก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงนิดหน่อยแล้ว เธอได้แต่หวังว่าหลังจากนี้จะทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะหากเปิดร้านอาหารแล้ว เธอยังอยากมีเวลาดูแลลูกให้มาก ซูหนิงจิงไม่คิดที่จะเปิดร้านอาหารใหญ่นัก เธอคิดที่จะทำเป็นร้านข้าวแกงราคาถูก เผื่อว่าจะมีเด็กนักเรียนหรืออาจารย์แวะเวียนมากินบ้างเท่านั้นเอง หากอาหารเหลือเธอก็ยังสามารถนำไปแบ่งปันให้กับ รปภ.ที่หน้าโรงเรียนของลูกได้
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าที่โรงเรียนมีร้านขายอาหารอยู่ในแต่ละอาคารเรียนสำหรับนักเรียนและอาจารย์ไม่น้อยก็เถอะ แต่ในเมื่อเธออยากหาอะไรทำบ้าง เธอจึงไม่เสียดายที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายพวกนี้
หลังจากวางอาหารทั้งหมดไว้บนโต๊ะแล้ว ซูหนิงจิงเดินไปหยิบกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนจะเดินไปเรียกลูกสาวลงมากินข้าวเสียก่อน
ก๊อก ก๊อก
“แม่เข้ามาเลยค่ะ หนูไม่ได้ล็อกห้อง”
แอ๊ด…
“ลูกพักการบ้านเอาไว้ก่อนนะ ลงมากินข้าวแล้วค่อยขึ้นมาอาบน้ำทำต่อก่อนนอน”
“ได้ค่ะแม่ แม่รอหนูแป๊บนึงนะคะ”
ซูหนิงเซียวเก็บหนังสือไม่นานก็เดินไปจับมือแม่ของเธอแล้วพากันเดินลงไปกินข้าวที่ห้องครัว ระหว่างทานข้าว ซูหนิงจิงก็เล่าให้ลูกฟังว่าวันนี้เธอไปทำอะไรมาบ้าง
“วันนี้แม่หาตึกที่จะใช้เปิดร้านอาหารได้แล้วนะลูก พรุ่งนี้แม่จะไปทำเรื่องซื้อขายให้เรียบร้อยหลังส่งลูกไปเรียนแล้ว”
“หนูดีใจด้วยนะคะแม่ที่แม่หาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว ว่าแต่… แม่จะทำร้านอาหารจริง?”
“ทำไมล่ะลูก ลูกไม่ชอบให้แม่ทำร้านอาหารเหรอจ๊ะ”
“หนูแค่คิดว่า ร้านอาหารไม่น่าจะมีคนเข้าน่ะค่ะ เพราะที่โรงเรียนก็มีอาหารให้กินฟรี ไหนจะอาจารย์ก็ยังกินที่โรงเรียนเลยค่ะแม่ หนูกลัวแม่จะขาดทุนค่ะ”
“แล้วลูกคิดว่าแม่ควรเปิดร้านอะไรดีล่ะลูก”
“อืม… หนูคิดว่าแม่น่าจะเปิดร้านคาเฟ่ที่มีน้ำอร่อย ๆ ดื่มกับขนมอร่อย ๆ กินดีกว่าไหมคะแม่ หนูเคยได้ยินพวกรุ่นพี่พูดกันว่าแถวโรงเรียนไม่มีร้านแบบนี้เลยน่ะค่ะ”
“ความคิดลูกไม่เลวนะ เอาไว้แม่จะลองคิดดูก็แล้วกัน แต่แม่ทำขนมไม่ค่อยเก่งน่ะสิ”
“แม่ไปซื้อขนมอร่อย ๆ ในห้างมาวางก็ได้นี่คะ เราก็บวกกำไรนิดหน่อยเอา หนูว่าน่าจะพอขายได้บ้างนะคะแม่ แล้วหนูจะช่วยแม่โฆษณาให้รุ่นพี่ที่โรงเรียนด้วยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้จ๊ะลูก เอาไว้แม่จะหัดทำขนมเพิ่มด้วยดีกว่านะ ยังไงตึกก็ยังต้องตกแต่งก่อนเข้าอยู่อยู่ดี แม่น่าจะมีเวลาหัดทำอยู่บ้าง ส่วนพวกน้ำดื่มที่จะขายในร้าน แม่ว่าจะทำเป็นชานมไข่มุกหลาย ๆ รส ดีมั้ยลูก เด็ก ๆ น่าจะชอบนะ”
“ดีค่ะแม่ หนูก็ชอบกินชานมไข่มุกนะคะ แม่ทำออกมาสักสี่ห้ารสชาติก็น่าจะพอค่ะ”
“ตกลงจ๊ะ แม่จะหัดทำตามที่ลูกบอกก็แล้วกัน ถึงยังไงร้านนี้แม่ก็ไม่ได้คิดจะเอากำไรอะไรมากมายแต่แรก แม่ทำฆ่าเวลารอลูกเรียนจบเท่านั้นเอง”
“แต่หนูอยากได้กำไรเยอะ ๆ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเรื่องหาเงินส่งหนูเรียนไงคะ หนูรู้ว่าแม่มีเงินเหลืออยู่ แต่อีกหลายปีกว่าหนูจะจบ ม.ปลายไหนจะค่าเรียนมหาวิทยาลัยอีกล่ะคะแม่ หนูจะช่วยแม่ทำงานในร้านด้วยนะคะหลังเลิกเรียน”
“เอาล่ะ แม่เข้าใจแล้วจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาช่วยกันทำร้านให้ดีก็แล้วกันนะลูก ลูกรีบกินข้าวเถอะ จะได้รีบไปทำการบ้านต่อ แม่ไม่อยากให้ลูกนอนดึก”
“ได้ค่ะแม่ แม่กินนี่ดูสิคะ หนูว่าอันนี้อร่อยมากเลย”
ซูหนิงเซียวตักอาหารใส่จานให้แม่ของเธอพร้อมรอยยิ้ม เธออยากให้แม่กินเยอะ ๆ จะได้มีเรี่ยวแรงดูแลเธอและไหนจะเรื่องทำร้านอีก เธอกลัวแม่จะเหนื่อย
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูหนิงจิงไปส่งลูกตามเวลาเดิม ซูหนิงเซียวยังหอมแก้มให้กำลังใจแม่ของเธอที่วันนี้จะต้องไปทำเรื่องซื้อขายตึกหลังจากส่งเธอแล้วด้วย ทำให้ซูหนิงจิงมีกำลังใจที่จะทำร้านตามที่ลูกต้องการไม่น้อย ตอนนี้เธอไม่คิดที่จะทำร้านเพื่อฆ่าเวลาอีกแล้ว แต่จะตั้งใจทำตามที่ลูกสาวของเธอแนะนำ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซูหนิงจิงจึงขับรถไปยังที่ว่าการเมืองก้านโจวเพื่อรอเจ้าของตึกที่นัดเอาไว้ตอนเก้าโมงเช้า เธอใช้เวลาขับรถไปยังกลางเมืองไม่นานนักก็ไปถึงยังที่ว่าการเมืองก้านโจวตอนแปดโมงสิบห้าพอดี ซูหนิงจิงลงจากรถพร้อมกระเป๋าสะพายที่มีเช็คเงินสดและเอกสารต่าง ๆ สำหรับการทำธุระครั้งนี้ ระหว่างที่นั่งรอเจ้าของตึกอยู่นั้น ซูหนิงจิงก็ค้นหาข้อมูลการทำชานมไข่มุกทางอินเตอร์เน็ตไปพลางๆ โชคดีที่ซูหนิงจิงใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ เธอจึงไม่ต้องลำบากหาร้านอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูล ถึงแม้ตอนนี้อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศนัก แต่ซูหนิงจิงที่ทำงานบริหารมานานรู้ดีว่าในอนาคตข้างหน้า อินเตอร์เน็ตจะเป็นที่แพร่หลายไปทั่วประเทศได้แน่
ซูหนิงจิงรออยู่ไม่นานก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบกดรับสายทันที
[ สวัสดีค่ะ ]
[ คุณที่ติดต่อซื้อตึกใช่ไหมคะ ]
[ ใช่ค่ะ ดิฉันซูหนิงจิงค่ะ ]
[ ตอนนี้คุณอยู่ไหนแล้วคะ ]
[ ดิฉันรออยู่ที่ที่ว่าการเมืองก้านโจวแล้วค่ะ ]
[ อ้อ รบกวนคุณรออีกสักสิบนาทีนะคะ ดิฉันกำลังจะไปถึงแล้วค่ะ ]
[ ได้ค่ะ ดิฉันนั่งรออยู่ที่หน้าที่ว่าการนะคะ คุณเดินมาหาได้เลยค่ะ แล้วเราค่อยเข้าไปทำเรื่องซื้อขายและโอนที่ดินพร้อมกัน ]
[ ตกลงค่ะ แล้วเจอกันนะคะ ]
หลังวางสายโทรศัพท์แล้ว ซูหนิงจิงจึงคิดว่าหากวันนี้เธอทำเรื่องโอนเสร็จแล้ว เธอจะไปธนาคารเพื่อหาซื้อหุ้นเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตดูสักหน่อย ในเมื่อเธอคิดได้แล้วว่าในอนาคตมันจะต้องทำกำไรได้แน่ จึงไม่น่าจะมีปัญหาหากเธอจะแบ่งเงินเก็บออกไปซื้อหุ้นเอาไว้สักสิบยี่สิบล้าน ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้เล่นหุ้นมากนักก็ตาม
ระหว่างอาหารค่ำวันหนึ่ง ซูหนิงเซียวที่กำลังจะกินทอดมันกลับรู้สึกเหม็นกลิ่นอาหารยังไงพิกลจนเธอต้องลุกขึ้นวิ่งไปอาเจียนที่ห้องน้ำ ทำเอาทุกคนแตกตื่นตกใจกันไปหมดเพราะคิดว่าเธอพักผ่อนไม่เพียงพอจากการไลฟ์สดต่อเนื่องกันมานานหลายวัน จ้านเการีบสั่งคนให้เตรียมรถไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเห็นซูหนิงเซียวเดินหน้าซีดออกมาจากห้องน้ำ เขาก็รีบเข้าไปอุ้มเธอและเดินดุ่ม ๆ ออกไปหน้าบ้านโดยไม่รอใครสักคน ทำเอาคนอื่น ๆ ต้องรีบเดินตามเขาไปแทบไม่ทัน บอดี้การ์ดพาทุกคนไปถึงโรงพยาบาลใกล้ ๆ ในเวลาเพียง 20 นาที ซูหนิงเซียวเห็นจ้านเกาจะอุ้มเธอลงไปอีกก็เกิดอายคนในบ้านขึ้นมา เธอจึงขอเดินเองจนจ้านเกาต้องยอมแพ้ภรรยาตัวน้อยและประคองเธอลงจากรถตู้เอง หลังส่งซูหนิงเซียวเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อตรวจอาการแล้ว บรรดาผู้อาวุโสที่คาดเดาว่าครั้งนี้น่าจะเป็นข่าวดีต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จ้านเกาที่เป็นห่วงภรรยากลับไม่รู้เรื่องอะไร เขาเอาแต่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะกลัวว่าภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรง
ในห้องหอที่เป็นห้องของจ้านเกา ซูหนิงเซียวนั่งอยู่ที่เตียงอย่างเขินอาย ก่อนที่จ้านเกาจะจูบหน้าผากภรรยาตัวน้อยของเขาอย่างอ่อนโยน“น้องหนิงเซียวไม่ต้องเครียดมากนะครับ พี่ไม่ทำอะไรน้องก่อนจะเรียนจบแน่นอนครับ เราไปกินข้าวมงคลกันดีกว่า” จ้านเกาจับมือเล็กของซูหนิงเซียวแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะนั่งลงข้างเธอและเริ่มตักอาหารใส่ถ้วยข้าวให้เธอกินไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับครอบครัว ซูหนิงเซียวอดคิดไม่ได้ว่าทำไมสามีเธอไม่อยากมีอะไรกับเธอ หรือว่าเธอจะไม่สวยพอที่เขาจะหลงใหล จ้านเกาเห็นภรรยาหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดจะถามไม่ได้“น้องหนิงเซียวคิดอะไรอยู่ครับ ทำไมทำหน้าตาแบบนี้ล่ะ”“เอ่อ… หนูแค่คิดว่าวันนี้หนูไม่สวยพอที่สามีอย่างพี่จ้านจะทำหน้าที่สามีหรือเปล่าน่ะสิคะ เพื่อนหนูบอกว่าเจ้าบ่าวส่วนใหญ่ต้องอดใจไม่ไหวแน่ถ้าเห็นเจ้าสาวนั่งบนเตียง” ซูหนิงเซียวก้มหน้าตอบอย่างอาย ๆ“ฮ่า ฮ่า น้องหนิงเซียวคิดมากเกินไปแล้ว พี่แค่กลัวว่าน้องจะยังไม่พร้อมเท่านั้นเองครับ ถ้าน้องหนิงเซียวอนุญาต พี่ก็จะทำห
ก่อนเวลาตามฤกษ์งามยามดี 10 นาที พิธีกรขึ้นมากล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจำนวนนับร้อยคนที่มาในครั้งนี้ จากนั้นเขาจึงเชิญผู้อาวุโสของตระกูลจ้านทั้งสองขึ้นไปนั่งรอบนเวที ไม่นานนักซูหนิงจิงก็เดินมาพร้อมลูกสาวโดยมีกู่ซิงเดินตามหลังพร้อมรอยยิ้มเข้ามาในงาน จ้านเการีบไปยืนรอเจ้าสาวของเขาที่หน้าเวทีก่อนจะรับเธอมาจากซูหนิงจิง เขายังรับปากซูหนิงจิงว่าจะดูแลซูหนิงเซียวเป็นอย่างดี หลังฟังจ้านเกาพูดแล้ว ซูหนิงจิง กู่ซิงก็เดินนำสองเจ้าบ่าว เจ้าสาวขึ้นไปบนเวทีเพื่อเริ่มทำพิธีการในลำดับต่อไป พิธีกรประกาศของรับขวัญเจ้าสาวที่ตระกูลจ้านมอบให้ ทำเอาแขกในงานฮือฮากันไม่น้อย เนื่องจากของขวัญมากมายทั้ง 28 รายการล้วนแต่เป็นของโบราณและมีค่าควรเมือง ไม่รวมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเมืองต่าง ๆ ที่ผู้อาวุโสทั้งสองมอบให้อีกหลายแห่ง ซูหนิงเซียวถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาที่คุณตา คุณยายของจ้านเกาเอ็นดูเธอถึงเพียงนี้ หลังจบรายการของขวัญฝ่ายเจ้าบ่าวแล้ว พิธีกรก็ประกาศของรับขวัญเจ้าบ่าวที่ซูหนิงจิงมอบให้เช่นกัน คราวนี้แขกในงานยิ่งส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเมื่อกี้เสียอีก เพราะซูหนิงจิงมอบหุ้นทั้งหมดข
ก่อนถึงงานแต่งสามวัน วันนี้มีข่าวใหญ่ที่สื่อทุกสำนักนำเสนอ จากหลักฐานที่ตำรวจได้รับมาก่อนหน้านี้ หลังจากตรวจสอบที่มาที่ไปและพบว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นของจริง ตำรวจได้นำส่งหลักฐานให้ศาลพิจารณาออกหมายจับนักการเมืองหลายสิบคนที่มีส่วนร่วมในการทุจริตและคอรัปชั่นมาตลอดหลายสิบปี เจียวจิ้งเหอที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้แต่เหงื่อตกหลังจากดูข่าวที่กำลังฉายในทีวี เขาไม่รู้ว่าหลักฐานที่เขาเก็บเอาไว้ทำไมถึงไปอยู่กับตำรวจได้ วันที่ทนายมาทำพินัยกรรมให้กับเขา ทนายก็ไม่ได้บอกว่าหลักฐานหายไป เจียวจิ้งเหอยิ่งดูข่าวก็ยิ่งเครียดจนความดันขึ้นสูงและเครื่องวัดความดันดังเตือนไปยังพยาบาลด้านนอก พวกเธอรีบเข้ามาดูคนไข้ที่กำลังช็อคทันที แต่เสียดายที่ตอนนี้เจียวจิ้งเหอเส้นเลือดในสมองแตกไปจากความเครียดที่เกิดขึ้น หมอรีบเข้ามาดูอาการแล้วก็ได้แต่ต้องรีบพาเขาไปห้องผ่าตัดเพื่อดูดลิ่มเลือดในสมองออกก่อนที่อาการจะหนักมากไปกว่านี้ หลงฮ่าวกับเจียวจูได้รับข่าวจากโรงพยาบาลในเวลาต่อมา พวกเขารีบไปที่โรงพยาบาลกันอย
สามวันต่อมา จ้านหย่งเหอ จ้านเซียงชิง จ้านเกา ซูหนิงจิง ซูหนิงเซียวและกู่ซิงเดินทางไปลองชุดที่ร้านตามที่จ้านเซียงชิงจองเอาไว้ก่อนหน้านี้ ร้านนี้มีแต่ชุดสวย ๆ และดูหรูหราเหมาะสมกับงานแต่งงานของเด็กทั้งสองคน ส่วนผู้ใหญ่ต่างก็ดูชุดราตรีแบบต่าง ๆ ที่ร้านนำมาให้ก่อนจะลองชุดกันอย่างสนุกสนาน สองผู้อาวุโสเองก็เลือกชุดแบบโบราณที่ดูเหมาะสมกับวัย กว่าที่ทุกคนจะลองชุดเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงบ่ายกว่าแล้ว พวกเขาเห็นว่าเลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพักใหญ่จึงให้คนขับรถหาร้านใกล้ ๆ เพื่อทานอาหารก่อนจะกลับไปที่บ้านตระกูลจ้าน ระหว่างทานอาหาร จ้านหย่งเหอก็ถามถึงเรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอกับหลานชาย“คดียังต้องเลื่อนการสอบพยานนัดแรกออกไปอยู่ครับคุณตา เพราะเจียวจิ้งเหอต้องรักษาตัวมากกว่าสามเดือนครับ”“ฮึ หวังว่าคราวนี้คงไม่มีใครมาช่วยเขาอีกนะ”ซูหนิงจิงไม่อยากให้จ้านหย่งเหอกังวลมากนัก เธอจึงคิดจะบอกถึงเรื่องที่คนของเติ้งโหย่วได้หลักฐานส่งตำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่อย่างนั้นจ้านหย่งเหอคงไม่สบายใจ
เจียวจิ้งเหอฟื้นขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันต่อมาหลังจากผ่าตัด หมอตรวจอาการของเขาพบว่าร่างกายช่วงล่างของเขาไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป เนื่องจากกระดูกสันหลังและเส้นเลือดเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุ เจียวจูกับหลงฮ่าวพอได้ข่าวก็รีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อพวกเขารู้ว่าเจียวจิ้งเหอไม่สามารถใช้ร่างกายช่วงล่างได้อีกก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอก็ยังไม่ได้รับการตัดสิน หากเจียวจิ้งเหอต้องไปอยู่ในคุกข้อหาจ้างวานฆ่าจริง ๆ พวกเขาคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากหมั่นไปเยี่ยมเท่านั้น หลังจากรู้เรื่องว่าต่อไปตัวเองต้องเป็นคนพิการ เจียวจิ้งเหอก็ได้แต่หลับตาลงอย่างปลดปลง เขาไม่สนใจว่าเป็นฝีมือใครแล้วในตอนนี้ ถึงเขาจะแก้แค้นกลับก็ไม่ช่วยให้เขาสามารถใช้งานร่างกายที่พิการไปแล้วได้อยู่ดี เจียวจูเห็นพ่อของตัวเองเงียบลงไปแบบนี้ก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นไปอีกจนหลงฮ่าวต้องคอยกอดปลอบเธอเอาไว้ ไม่นานนักเจียวจิ้งเหอก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อคุยกับลูกสาวและลูกเขยถึงเรื่องสำคัญ“หลงฮ่าว อาจู พรุ่งนี้เรียกทนายมาหาพ่อที่นี่ด้วยนะ พ่อจะทำพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกกับหลาน ส่วนเรื่องคดีของพ่อคงอีก