สิบห้านาทีต่อมา มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาทักทายซูหนิงจิงที่กำลังนั่งดูโทรศัพท์อยู่ที่หน้าที่ว่าการเมือง
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คุณซูหนิงจิงหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ สวัสดีค่ะ”
“ดิฉันชื่อหงเหมยอิงค่ะ ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะคะ เราเข้าไปทำเรื่องด้านในกันดีกว่าค่ะ เพราะหลังจากนี้ดิฉันยังมีธุระต้องไปทำอีกค่ะ”
“ตกลงค่ะ คุณหงเดินนำไปได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมเช็คเงินสดเอาไว้ให้แล้ว”
“ได้ค่ะ คุณตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ”
หงเหมยอิงที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในก้านโจวมานานรู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่นี่เป็นอย่างดี จึงทำให้การซื้อขายและการโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำที่ตอนนี้ซูหนิงจิงได้รับเอกสารทั้งหมดและกุญแจตึกมาไว้ในมือ ตอนนี้ตึกใหม่เป็นของเธอแล้ว
“ขอบคุณนะคะที่กรุณาขายตึกทำเลดีให้ดิฉัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันทำงานด้านนี้มาหลายปีแล้วค่ะ ขอบคุณที่คุณช่วยซื้อตึกนี้ไปนะคะ ส่วนคูหาอื่นดิฉันเสียดายอยู่เหมือนกันที่ซื้อไม่ทันคนอื่น แต่ก็ยังไม่เคยเห็นพวกเขาทำอะไรกับตึกอีกสองคูหานะคะ ถ้าคุณสนใจจะซื้อเอาไว้ทั้งหมดก็ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ดูว่ามีเจ้าของเป็นใครได้นะคะ ดิฉันคิดว่าเจ้าหน้าที่น่าจะพอรู้บ้าง”
“ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันรอให้มีคนมาตรวจสอบตึกเองค่อยสอบถามดีกว่าค่ะ เพราะถ้าซื้อมาทั้งหมด ดิฉันก็ไม่รู้ว่าอีกสองคูหาจะเอาไว้ใช้ทำอะไรน่ะค่ะ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันขอตัวไปทำธุระต่อก่อนนะคะ ยังมีลูกค้านัดไปดูบ้านอีกหลายหลังเลยค่ะวันนี้”
“ได้ค่ะ ดิฉันก็ยังมีธุระต้องไปทำเหมือนกัน สวัสดีค่ะ”
หลังจากร่ำลากันแล้ว ซูหนิงจิงก็แยกไปที่รถของเธอทันที ตอนนี้เธอจำเป็นจะต้องหาสมุดบัญชีมาเพื่อคิดต้นทุนการปรับปรุงตึกทั้งหมด ไหนจะสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ลูกสาวของเธอบอกอีก ซูหนิงจิงจึงแวะซื้อของที่ห้างใกล้กับที่ว่าการเมืองก่อน เธอเลือกซื้อสมุดบัญชีหลายเล่มพร้อมกับปากกาสีต่าง ๆ เอาไว้สำหรับเขียนแยกบัญชีออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบทีหลัง
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ซูหนิงจิงก็ไปที่ธนาคารในละแวกเดียวกันเพื่อขอซื้อหุ้นของบริษัทเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจำนวนสิบล้านหยวน ทำให้ผู้จัดการธนาคารถึงกับอึ้งที่เพิ่งเคยเห็นคนในเมืองก้านโจวมาซื้อหุ้นเป็นจำนวนเงินมากขนาดนี้ เขายังแนะนำหุ้นตัวอื่นที่มีอนาคตให้กับซูหนิงจิงไม่น้อย แต่เธอไม่ต้องการซื้อหุ้นอื่นนอกจากบริษัทเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เพิ่งเปิดขายหุ้นได้ไม่ถึงสองปี หลังจากได้รับเอกสารการถือครองหุ้นแล้ว ซูหนิงจิงก็ออกจากธนาคารไปหาอาหารกินรองท้องก่อนที่จะไปยังตึกใหม่เพื่อตรวจสอบภายในและเขียนรายการสิ่งของจำเป็นที่ต้องซื้อเพื่ออำนวยความสะดวกให้เธอกับลูกสำหรับอยู่อาศัยที่ตึกนี้ไปอีกหลายปี
ซูหนิงจิงเปิดกุญแจที่ล็อกประตูเลื่อนอยู่ออกไป ก่อนที่จะยกประตูขึ้นเพื่อให้เธอสามารถเข้าไปตรวจสอบภายในตึกได้ เมื่อเข้าไปภายในแล้ว ซูหนิงจิงหาสวิตช์ไฟเพื่อดูภายใน ไม่นานนักเธอก็พบสวิตช์ที่ติดอยู่ใกล้กับประตูด้านหนึ่ง เธอเปิดไฟไม่นาน แสงสว่างจากหลอดไฟด้านบนก็สว่างขึ้น ทำให้มองเห็นภายในที่โล่งกว้างได้เป็นอย่างดี ซูหนิงจิงพอใจไม่น้อยกับสภาพพื้นที่ด้านล่าง เธอคิดว่าจะทำเคาเตอร์บาร์ด้านหน้าร้านและเปลี่ยนประตูให้เป็นประตูกระจกนิรภัยที่สามารถเข้าออกได้ง่ายแทนประตูเหล็กเลื่อนบานใหญ่ที่มีอยู่แล้ว ซูหนิงจิงเดินเข้าไปดูห้องด้านล่างก็พบว่าเป็นห้องน้ำ เธอลองเปิดน้ำดูก็เห็นว่าน้ำไหลปกติ หลังจากนี้เธอคงจะต้องไปติดต่อที่การไฟฟ้าและการประปาเพื่อเปลี่ยนชื่อผู้ใช้งานเสียก่อน เพราะตอนนี้เธอคิดว่าชื่อคนขอใช้น้ำและไฟน่าจะยังเป็นเจ้าของเดิมอยู่
เมื่อดูด้านล่างเสร็จแล้ว ซูหนิงจิงก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ชั้นนี้มีห้องน้ำแยกออกมาอีกห้องหนึ่ง พร้อมกับห้องนอนสองห้องซึ่งมีขนาดกว้างพอๆ กัน เธอคิดว่าจะซื้อเตียง ตู้ โต๊ะเครื่องแป้ง กับโต๊ะทำงานเพื่อให้ลูกได้ทำการบ้านด้วยจึงจดเอาไว้กันลืม จากนั้นซูหนิงจิงก็ขึ้นไปที่ชั้นสามซึ่งมีห้องนอนอีกสองห้องและห้องน้ำแยกอีกเช่นกัน ซูหนิงจิงคิดว่าจะทำห้องหนึ่งสำหรับซักและรีดผ้า ส่วนชั้นลอยด้านบนก็สามารถหาซื้อราวตากผ้าเอาไว้สำหรับตากผ้าได้ ซูหนิงจิงเขียนรายการเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งของจำเป็นเพิ่มอีกไม่น้อย ส่วนห้องใหญ่ด้านล่างที่จะทำเป็นคาเฟ่นั้น เธอก็แยกเขียนรายการสิ่งของที่จำเป็นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์การทำครัวและโต๊ะกินข้าวสำหรับเธอและลูกในมุมด้านใน ส่วนพื้นที่ของร้านเธอจะกั้นประตูกระจกเอาไว้ระหว่างห้องน้ำกับพื้นที่ภายในร้านเพื่อแยกออกเป็นสัดส่วน สำหรับเรื่องการหาผู้รับเหมามาตกแต่งร้านให้นั้น ซูหนิงจิงรอให้เขียนรายการที่จำเป็นครบเสียก่อนจึงจะขับรถหาดูว่ามีร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่พอจะแนะนำผู้รับเหมาให้เธอได้บ้างหรือไม่ อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่ต้องสุ่มหาช่างแล้วเจอช่างไม่ดี ทางร้านน่าจะพอใจหากเธอใช้ช่างที่มาซื้อของที่ร้านประจำมากกว่า อย่างไรพวกเขาก็ได้กำไรจากการขายอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่แล้ว
กว่าที่ซูหนิงจิงจะเขียนรายการสิ่งของจำเป็นทั้งหมดเสร็จก็เกือบได้เวลาไปรับลูกสาวของเธอแล้ว ซูหนิงจิงจึงรีบปิดไฟแล้วออกจากตึกพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้เหมือนเดิม เธอยังคิดที่จะหากุญแจใหม่มาคล้องเอาไว้หลังจากที่ช่างปรับปรุงร้านให้เธออีกด้วยเพื่อความปลอดภัย หลังคิดได้แล้ว ซูหนิงจิงก็ขึ้นรถและขับไปกลับรถเพื่อไปรอที่หน้าโรงเรียนของซูหนิงเซียว วันนี้เธอยังคงได้จอดรถที่เดิมเพราะมีรถบัสของโรงเรียนจอดรอนักเรียนด้านหน้าประตูอยู่ถึงสามคัน ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็เป็นรถส่วนตัวของผู้ปกครองที่มาก่อนเธออีกไม่กี่คันเช่นเคย ซูหนิงจิงดับเครื่องรถแล้วสะพายกระเป๋าไปยืนรอลูกที่หน้าประตูโรงเรียนเหมือนเคย
ซูหนิงจิงยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนลูกสาวของเธอจะวิ่งมาหาเธอที่เดิม ทำเอาซูหนิงจิงเป็นห่วงกลัวว่าลูกจะหกล้มเอาเสียก่อน
“ลูกอย่าวิ่งสิหนิงเซียว ถ้าหกล้มไปจะทำอย่างไรล่ะลูก อย่าทำให้แม่เป็นห่วงแบบนี้อีกนะลูก”
“แฮ่ก.. ขอโทษค่ะแม่ หนูแค่ดีใจไปหน่อยที่เห็นแม่มารอ หนูกลัวแม่จะรอนานด้วยก็เลยวิ่งมาอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”
ซูหนิงจิงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าสะพายมาเช็ดเหงื่อให้ลูกสาวอย่างเบามือ ก่อนที่จะจูงมือลูกเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ห่างออกไป
“ลูกหิวมากมั้ยวันนี้?”
“หนูยังไม่หิวเลยค่ะ เพราะหนูเพิ่งกินของว่างกับนมช่วงพักรอเรียนก่อนเลิกเรียนไม่นานเอง”
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะพาลูกแวะไปดูตึกที่แม่ซื้อเอาไว้ก่อนเราค่อยกลับบ้านกันนะลูก”
“ได้ค่ะแม่ หนูอยากเห็นแล้วสิว่าตึกที่แม่ซื้อมาสวยแค่ไหน ฮิ ฮิ”
ซูหนิงจิงลูบหัวเล็ก ๆ ของลูกสาวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเปิดประตูให้ลูกเข้าไปนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย จากนั้นเธอจึงเดินอ้อมไปขึ้นรถแล้วขับออกไปเพื่อยูเทิร์นรถไปยังตึกที่อยู่ไม่ไกลนัก
“หืม… ตึกนี้เหรอคะแม่ นี่มันใกล้โรงเรียนหนูมากเลยนะคะ ต่อไปแม่ก็ไม่ต้องไปรับไปส่งหนูแล้วนะคะถ้าเรามาอยู่ที่นี่ หนูเดินข้ามถนนไปโรงเรียนเองได้ค่ะ”
“อืม… ถ้าลูกจะข้ามถนนไปเองก็ต้องระวังรถให้ดีนะลูก แม่เป็นห่วง แต่อีกสักพักใหญ่กว่าที่เราจะย้ายมาที่นี่นะลูก เพราะแม่จะต้องปรับปรุงตึกเสียก่อน ไป แม่จะพาลูกเข้าไปดูด้านในก่อนว่าลูกพอใจหรือเปล่า”
“ได้ค่ะแม่ ไปกันค่ะ” ซูหนิงเซียวถอดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะเปิดประตูรถออกไปรอแม่ของเธอที่กำลังออกจากรถมาเพื่อเปิดประตูเหล็กอันใหญ่ตรงหน้า
ซูหนิงจิงลงจากรถพร้อมกุญแจและกระเป๋าสะพายของเธอ ก่อนที่จะเปิดประตูเหล็กขึ้นไปพอให้ทั้งสองคนเข้าไปด้านในได้เท่านั้น จากนั้นเธอเดินไปเปิดไฟจนกระทั่งภายในมีแสงสว่างเพียงพอให้สองแม่ลูกได้เห็นด้านในทั้งหมด
“ว้าว แม่คะ ที่นี่กว้างจังเลยค่ะ ถ้าแม่ทำคาเฟ่คงได้หลายโต๊ะแน่เลยค่ะ”
“แม่คิดจะทำแค่สิบโต๊ะนะลูก ไม่อย่างนั้นเราคงเหนื่อยแย่เลย”
“อืม… สิบโต๊ะก็ไม่เลวนะคะ หนูเห็นด้วยค่ะ แม่พาหนูเดินดูด้านบนหน่อยสิคะ”
ซูหนิงจิงพยักหน้ายิ้มรับคำลูกสาวแล้วจูงมือพาซูหนิงเซียวสำรวจตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสาม โดยเธอยังบอกลูกด้วยว่าแต่ละส่วนนั้นเธอจะปรับปรุงอย่างไร กว่าที่สองแม่ลูกจะเดินกันเสร็จก็เกือบหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว ซูหนิงจิงเห็นว่าเริ่มเย็นมากแล้วจึงชวนลูกกลับบ้านเช่าเสียก่อน
ระหว่างอาหารค่ำวันหนึ่ง ซูหนิงเซียวที่กำลังจะกินทอดมันกลับรู้สึกเหม็นกลิ่นอาหารยังไงพิกลจนเธอต้องลุกขึ้นวิ่งไปอาเจียนที่ห้องน้ำ ทำเอาทุกคนแตกตื่นตกใจกันไปหมดเพราะคิดว่าเธอพักผ่อนไม่เพียงพอจากการไลฟ์สดต่อเนื่องกันมานานหลายวัน จ้านเการีบสั่งคนให้เตรียมรถไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเห็นซูหนิงเซียวเดินหน้าซีดออกมาจากห้องน้ำ เขาก็รีบเข้าไปอุ้มเธอและเดินดุ่ม ๆ ออกไปหน้าบ้านโดยไม่รอใครสักคน ทำเอาคนอื่น ๆ ต้องรีบเดินตามเขาไปแทบไม่ทัน บอดี้การ์ดพาทุกคนไปถึงโรงพยาบาลใกล้ ๆ ในเวลาเพียง 20 นาที ซูหนิงเซียวเห็นจ้านเกาจะอุ้มเธอลงไปอีกก็เกิดอายคนในบ้านขึ้นมา เธอจึงขอเดินเองจนจ้านเกาต้องยอมแพ้ภรรยาตัวน้อยและประคองเธอลงจากรถตู้เอง หลังส่งซูหนิงเซียวเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อตรวจอาการแล้ว บรรดาผู้อาวุโสที่คาดเดาว่าครั้งนี้น่าจะเป็นข่าวดีต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จ้านเกาที่เป็นห่วงภรรยากลับไม่รู้เรื่องอะไร เขาเอาแต่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะกลัวว่าภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรง
ในห้องหอที่เป็นห้องของจ้านเกา ซูหนิงเซียวนั่งอยู่ที่เตียงอย่างเขินอาย ก่อนที่จ้านเกาจะจูบหน้าผากภรรยาตัวน้อยของเขาอย่างอ่อนโยน“น้องหนิงเซียวไม่ต้องเครียดมากนะครับ พี่ไม่ทำอะไรน้องก่อนจะเรียนจบแน่นอนครับ เราไปกินข้าวมงคลกันดีกว่า” จ้านเกาจับมือเล็กของซูหนิงเซียวแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะนั่งลงข้างเธอและเริ่มตักอาหารใส่ถ้วยข้าวให้เธอกินไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับครอบครัว ซูหนิงเซียวอดคิดไม่ได้ว่าทำไมสามีเธอไม่อยากมีอะไรกับเธอ หรือว่าเธอจะไม่สวยพอที่เขาจะหลงใหล จ้านเกาเห็นภรรยาหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดจะถามไม่ได้“น้องหนิงเซียวคิดอะไรอยู่ครับ ทำไมทำหน้าตาแบบนี้ล่ะ”“เอ่อ… หนูแค่คิดว่าวันนี้หนูไม่สวยพอที่สามีอย่างพี่จ้านจะทำหน้าที่สามีหรือเปล่าน่ะสิคะ เพื่อนหนูบอกว่าเจ้าบ่าวส่วนใหญ่ต้องอดใจไม่ไหวแน่ถ้าเห็นเจ้าสาวนั่งบนเตียง” ซูหนิงเซียวก้มหน้าตอบอย่างอาย ๆ“ฮ่า ฮ่า น้องหนิงเซียวคิดมากเกินไปแล้ว พี่แค่กลัวว่าน้องจะยังไม่พร้อมเท่านั้นเองครับ ถ้าน้องหนิงเซียวอนุญาต พี่ก็จะทำห
ก่อนเวลาตามฤกษ์งามยามดี 10 นาที พิธีกรขึ้นมากล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจำนวนนับร้อยคนที่มาในครั้งนี้ จากนั้นเขาจึงเชิญผู้อาวุโสของตระกูลจ้านทั้งสองขึ้นไปนั่งรอบนเวที ไม่นานนักซูหนิงจิงก็เดินมาพร้อมลูกสาวโดยมีกู่ซิงเดินตามหลังพร้อมรอยยิ้มเข้ามาในงาน จ้านเการีบไปยืนรอเจ้าสาวของเขาที่หน้าเวทีก่อนจะรับเธอมาจากซูหนิงจิง เขายังรับปากซูหนิงจิงว่าจะดูแลซูหนิงเซียวเป็นอย่างดี หลังฟังจ้านเกาพูดแล้ว ซูหนิงจิง กู่ซิงก็เดินนำสองเจ้าบ่าว เจ้าสาวขึ้นไปบนเวทีเพื่อเริ่มทำพิธีการในลำดับต่อไป พิธีกรประกาศของรับขวัญเจ้าสาวที่ตระกูลจ้านมอบให้ ทำเอาแขกในงานฮือฮากันไม่น้อย เนื่องจากของขวัญมากมายทั้ง 28 รายการล้วนแต่เป็นของโบราณและมีค่าควรเมือง ไม่รวมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเมืองต่าง ๆ ที่ผู้อาวุโสทั้งสองมอบให้อีกหลายแห่ง ซูหนิงเซียวถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาที่คุณตา คุณยายของจ้านเกาเอ็นดูเธอถึงเพียงนี้ หลังจบรายการของขวัญฝ่ายเจ้าบ่าวแล้ว พิธีกรก็ประกาศของรับขวัญเจ้าบ่าวที่ซูหนิงจิงมอบให้เช่นกัน คราวนี้แขกในงานยิ่งส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเมื่อกี้เสียอีก เพราะซูหนิงจิงมอบหุ้นทั้งหมดข
ก่อนถึงงานแต่งสามวัน วันนี้มีข่าวใหญ่ที่สื่อทุกสำนักนำเสนอ จากหลักฐานที่ตำรวจได้รับมาก่อนหน้านี้ หลังจากตรวจสอบที่มาที่ไปและพบว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นของจริง ตำรวจได้นำส่งหลักฐานให้ศาลพิจารณาออกหมายจับนักการเมืองหลายสิบคนที่มีส่วนร่วมในการทุจริตและคอรัปชั่นมาตลอดหลายสิบปี เจียวจิ้งเหอที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้แต่เหงื่อตกหลังจากดูข่าวที่กำลังฉายในทีวี เขาไม่รู้ว่าหลักฐานที่เขาเก็บเอาไว้ทำไมถึงไปอยู่กับตำรวจได้ วันที่ทนายมาทำพินัยกรรมให้กับเขา ทนายก็ไม่ได้บอกว่าหลักฐานหายไป เจียวจิ้งเหอยิ่งดูข่าวก็ยิ่งเครียดจนความดันขึ้นสูงและเครื่องวัดความดันดังเตือนไปยังพยาบาลด้านนอก พวกเธอรีบเข้ามาดูคนไข้ที่กำลังช็อคทันที แต่เสียดายที่ตอนนี้เจียวจิ้งเหอเส้นเลือดในสมองแตกไปจากความเครียดที่เกิดขึ้น หมอรีบเข้ามาดูอาการแล้วก็ได้แต่ต้องรีบพาเขาไปห้องผ่าตัดเพื่อดูดลิ่มเลือดในสมองออกก่อนที่อาการจะหนักมากไปกว่านี้ หลงฮ่าวกับเจียวจูได้รับข่าวจากโรงพยาบาลในเวลาต่อมา พวกเขารีบไปที่โรงพยาบาลกันอย
สามวันต่อมา จ้านหย่งเหอ จ้านเซียงชิง จ้านเกา ซูหนิงจิง ซูหนิงเซียวและกู่ซิงเดินทางไปลองชุดที่ร้านตามที่จ้านเซียงชิงจองเอาไว้ก่อนหน้านี้ ร้านนี้มีแต่ชุดสวย ๆ และดูหรูหราเหมาะสมกับงานแต่งงานของเด็กทั้งสองคน ส่วนผู้ใหญ่ต่างก็ดูชุดราตรีแบบต่าง ๆ ที่ร้านนำมาให้ก่อนจะลองชุดกันอย่างสนุกสนาน สองผู้อาวุโสเองก็เลือกชุดแบบโบราณที่ดูเหมาะสมกับวัย กว่าที่ทุกคนจะลองชุดเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงบ่ายกว่าแล้ว พวกเขาเห็นว่าเลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพักใหญ่จึงให้คนขับรถหาร้านใกล้ ๆ เพื่อทานอาหารก่อนจะกลับไปที่บ้านตระกูลจ้าน ระหว่างทานอาหาร จ้านหย่งเหอก็ถามถึงเรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอกับหลานชาย“คดียังต้องเลื่อนการสอบพยานนัดแรกออกไปอยู่ครับคุณตา เพราะเจียวจิ้งเหอต้องรักษาตัวมากกว่าสามเดือนครับ”“ฮึ หวังว่าคราวนี้คงไม่มีใครมาช่วยเขาอีกนะ”ซูหนิงจิงไม่อยากให้จ้านหย่งเหอกังวลมากนัก เธอจึงคิดจะบอกถึงเรื่องที่คนของเติ้งโหย่วได้หลักฐานส่งตำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่อย่างนั้นจ้านหย่งเหอคงไม่สบายใจ
เจียวจิ้งเหอฟื้นขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันต่อมาหลังจากผ่าตัด หมอตรวจอาการของเขาพบว่าร่างกายช่วงล่างของเขาไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป เนื่องจากกระดูกสันหลังและเส้นเลือดเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุ เจียวจูกับหลงฮ่าวพอได้ข่าวก็รีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อพวกเขารู้ว่าเจียวจิ้งเหอไม่สามารถใช้ร่างกายช่วงล่างได้อีกก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอก็ยังไม่ได้รับการตัดสิน หากเจียวจิ้งเหอต้องไปอยู่ในคุกข้อหาจ้างวานฆ่าจริง ๆ พวกเขาคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากหมั่นไปเยี่ยมเท่านั้น หลังจากรู้เรื่องว่าต่อไปตัวเองต้องเป็นคนพิการ เจียวจิ้งเหอก็ได้แต่หลับตาลงอย่างปลดปลง เขาไม่สนใจว่าเป็นฝีมือใครแล้วในตอนนี้ ถึงเขาจะแก้แค้นกลับก็ไม่ช่วยให้เขาสามารถใช้งานร่างกายที่พิการไปแล้วได้อยู่ดี เจียวจูเห็นพ่อของตัวเองเงียบลงไปแบบนี้ก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นไปอีกจนหลงฮ่าวต้องคอยกอดปลอบเธอเอาไว้ ไม่นานนักเจียวจิ้งเหอก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อคุยกับลูกสาวและลูกเขยถึงเรื่องสำคัญ“หลงฮ่าว อาจู พรุ่งนี้เรียกทนายมาหาพ่อที่นี่ด้วยนะ พ่อจะทำพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกกับหลาน ส่วนเรื่องคดีของพ่อคงอีก