ใต้เงาจันทร์ที่ส่องผ่านในฤดูเหมันต์ ใจคนอบอุ่นเพียงใด ก็ยังถูกลมเย็นแห่งโชคชะตาแช่แข็งเอาไว้…
View Moreแสงจันทร์สีเงินนวลทาบทอไปทั่วผืนฟ้าเหนือวังเฉินหยวน หิมะแรกแห่งปีร่วงหล่นลงมาดังปุยนุ่นจากสวรรค์ แผ่คลุมยอดหลังคาพระตำหนักให้กลายเป็นม่านขาวสงัดราวอยู่ในแดนเซียน
สายลมยามราตรีเย็นเยียบ แม้จะอยู่ในเดือนที่สองแห่งเหมันต์ แต่ไอเยือกกลับแรงราวคมมีดแทงผ่านผ้าคลุมเนื้อหนา
ท่ามกลางความเงียบงันแห่งค่ำคืนหนึ่ง เซิ่งอี้เหวิน องครักษ์ในชุดคลุมสีดำประจำราชองค์รักษ์ยืนเงียบอยู่บนยอดหลังคาเรือนฝ่ายใน นัยน์ตาคมของเขามองทอดไปยังทิศเหนือ สู่เขตตำหนักที่แม้จะอยู่ภายในวัง แต่กลับถูกทิ้งร้างไร้ผู้คนมายาวนาน
ตำหนักเหมันต์
“ลมคืนนี้พัดแรงนัก”
เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น ทว่าดวงตากลับยังจ้องไปยังดงไม้สีขาวพราวหิมะเบื้องหน้า เมื่อครู่ ขณะลาดตระเวนบนกำแพงวัง อี้เหวินได้ยินบางสิ่ง
เสียงพิณ...
เสียงเพลงลึกล้ำคล้ายมนตรา ขับขานมาเบา ๆ ดั่งสายลมพัดผ่านขุนเขา แม้เบาแต่ทว่าลึกสะท้านไปถึงทรวงอก ราวกับเคยได้ยินมาก่อน แต่เขาแน่ใจ เพลงนี้ไม่เคยมีในวัง ไม่มีในบันทึกของดนตรีหลวง และไม่มีในงานพิธีใด
เขาตัดสินใจกระโจนลงจากหลังคา แฝงกายในเงาไม้ หยุดยืนอยู่เบื้องนอกแนวรั้วไม้เก่าคร่ำของสวนเหมยอวิ๋น
เสียงพิณขับขานอยู่ใต้ต้นเหมยดอกแดงซึ่งผลิบานเพียงต้นเดียวกลางความขาวโพลน
ใต้ต้นนั้น มีร่างหนึ่งในชุดคลุมขาวบาง นั่งเหยียดเรียวมือบรรเลงพิณโบราณ ดวงหน้าเรียบสงบ แววตาหลับพริ้มราวกำลังฝันอยู่ในห้วงอดีต
เซิ่งอี้เหวินหลุบตาลงช้า ๆ เสียงเพลงยังไม่จบ แต่ใจเขากลับเต้นแรงประหนึ่งได้พบภาพในฝันของตนที่หายไปนานแรมปี
สตรีผู้นั้น...นางคือผู้ใด?
เขาย่างเท้าช้า ๆ ก้าวเข้าไปยังสวนเหมย มือแตะด้ามกระบี่แนบกายตามสัญชาตญาณ ทว่าในใจก็ไร้ซึ่งแรงต้าน เสียงเพลงนั่นช่างว่างเปล่า เย็นชาและเศร้าโศกนัก
ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนผืนหิมะ เสียงพิณก็หยุดลงหญิงสาวเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองเขาเล็กน้อย หากดวงตากลับแฝงความสงบนิ่ง มิได้ตื่นตกใจหรือมีวี่แววตระหนกใด ๆ
“เจ้าคือ...?” อี้เหวินถามออกไปด้วยเสียงขรึม
หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจละอองหิมะที่เพิ่งตกต้องยอดดอกเหมย
“ข้าคือ...เงาที่มิอาจหวนคืน”
คำตอบนั้นช่างประหลาด และยากจะเข้าใจ ทว่ากลับสะกิดบางสิ่งในใจของเขาให้สั่นไหว
“ตำหนักนี้ถูกปิดตายมาเกือบสามทศวรรษ ไม่มีใครอาศัยอยู่ เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เสียงของเขายังคงเยือกเย็น แต่น้ำเสียงแผ่วลงกว่าคราแรกหญิงสาวไม่ตอบในทันที หากแต่วางมือบนสายพิณเบา ๆ เสียงสายพิณสั่นสะเทือนวาบหนึ่ง แล้วก็เงียบหาย
“เจ้าได้ยินเสียงเพลงของข้าหรือ?”
นางถามขึ้นแทนคำตอบ ดวงตาเศร้าสร้อยของนางจับจ้องเขาอย่างพินิจ
อี้เหวินพยักหน้า “ข้าได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ ทุกท่วงทำนอง...”
หญิงสาวยิ้มบาง และกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าอาจเป็นผู้แรกในสามสิบปี ที่สามารถมองเห็นข้าได้”
หัวใจของอี้เหวินพลันไหววูบ เขายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะ ทบทวนคำพูดแสนประหลาดของนาง
มองเห็น?
หญิงสาวผู้นั้นมิใช่คนธรรมดาหรอกหรือ?
อี้เหวินยืนแน่นิ่ง มือที่แตะกระบี่เลื่อนหลุดออกช้า ๆ สายตาจ้องมองหญิงสาวในชุดขาวตรงหน้า นางนั่งอย่างสงบนิ่งใต้ต้นเหมยที่มีเพียงกลีบหล่นโรย แต่ไร้ดอกใหม่แม้แต่หนึ่งหน่อ
“ข้าถามอีกครั้ง เจ้าเป็นใครกันแน่?”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมขึ้น ดวงตาเยือกเย็นราวกระจกน้ำแข็ง แต่ในความเย็นชานั้นกลับสั่นคลอนเล็กน้อย
หญิงสาวยังคงมองเขา ริมฝีปากเคลื่อนช้าเอ่ยถ้อยคำที่ราวกับเป็นบทกวีของฤดูเหมันต์
“หากเจ้าเรียกข้าว่าเงา ข้าก็จะเป็นเงา หากเจ้ามองข้าเป็นลม ข้าก็พร้อมหายไปในพริบตา หากเจ้าถามหานาม ข้ามีนามว่า ‘เซี่ยอวี่’ เซี่ยอวี่ที่เป็นหิมะ ที่มิอาจเกาะอยู่บนฝ่ามือผู้ใดได้นาน”
อี้เหวินได้ฟังเช่นนั้น แววตาทอแสงลังเลขึ้นชั่วครู่ เขาก้าวเข้าใกล้ตำแหน่งที่นางนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย ดวงจันทร์เบื้องบนทอดเงายาวของต้นไม้และเงาของเขาบนพื้นหิมะขาว
หากแต่ใต้ร่างของนางนั้นไร้ซึ่งเงาใด มือของเขาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาเบิกโพลง ชะเง้อมองซ้ำอีกครั้ง นางนั่งอยู่ตรงนั้นจริง แสงจันทร์ส่องผ่านหมู่เมฆอย่างเต็มดวง แต่ใต้เรือนร่างนางกลับไม่มีเงาทอดผ่านบนหิมะเลยแม้แต่น้อย อี้เหวินถอยหลังหนึ่งก้าว
“เจ้าเป็นมนุษย์หรือวิญญาณ?”
เซี่ยอวี่ยังคงยิ้ม ดวงหน้าสงบไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
“หากข้าคือวิญญาณ เจ้าจะยังคุยกับข้าหรือไม่?”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่เจือรอยเจ็บลึกในใจ
“ข้ามิใช่ผู้ตัดสินความเป็นหรือไม่เป็น ข้าเพียงสงสัยว่าผู้ใดลอบเข้าวังใน และยังกล้าร้องเพลงยามราตรีอย่างไม่พรั่นพรึงราชบัญญัติ”
อี้เหวินฝืนความสั่นในใจกลับมาเป็นองครักษ์อีกครั้ง สายตานิ่งเฉียบ มือกลับไปแตะกระบี่ที่ข้างเอวอีกครา เซี่ยอวี่เหลือบตามองสายกระบี่นั้น ยิ้มแผ่ว
“กระบี่นั้นไม่อาจฟาดข้าได้หรอก แม้เจ้าจะเป็นราชองค์รักษ์ประจำพระองค์โดยตรงก็ตาม”
อี้เหวินตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หญิงสาวลุกขึ้นช้า ๆ ยืนท่ามกลางหิมะที่ยังคงโรยตัวราวเกล็ดแก้วจากฟากฟ้า ชุดคลุมขาวของนางปลิวเบา ไม่มีรอยเท้าทิ้งไว้บนหิมะแม้ครึ่งรอย นางชี้นิ้วเรียวไปทางทิศเหนือของสวนเหมย
“ตำหนักที่เจ้ามิกล้าเข้าใกล้ ตำหนักที่ผู้คนลืมเลือน ข้าเคยอยู่ที่นั่น...”
“ตำหนักเหมันต์...?” อี้เหวินขานเสียงแผ่ว
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่อ้อยอิ่งปานจะขับขานบทเพลงอีกครั้ง
“ที่แห่งนั้น เคยมีบทเพลง เคยมีแสงจันทร์ และเคยมีรักต้องห้าม”
ในวินาทีนั้นเอง กลีบเหมยโรยลงอีกรอบ ลมพัดแผ่วหนึ่งสาย ดวงจันทร์ถูกเมฆหนาบังในพริบตา เมื่อแสงกลับมาอีกครา นางก็หายไป ทิ้งไว้เพียงกลีบดอกไม้บนพิณที่ยังอุ่น และแผ่นหิมะที่ไม่มีรอยเท้าใดแม้แต่รอยเดียว
เซิ่งอี้เหวินยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าต้นเหมยนั้นอยู่นาน มิได้เอ่ยวาจาใดสักคำ เสียงลมหิมะพัดคล้ายจะสอดแทรกกระซิบคำถามมาในอก
“สตรีนางนั้น เป็นสิ่งใดกันแน่”
ในหัวใจเขา ความกลัวมิอาจครอบงำได้ดั่งชาวสามัญ ทั้งที่นางไร้เงา หายวับไปกับลม แต่กลับมิใช่สิ่งที่เรียกว่า ‘ภูตผี’ ตามที่เคยร่ำลือกันในหมู่ขันทีนางใน ขาก้าวออกจากสวนเหมย เขาไม่ย้อนกลับทางเดิม หากมุ่งตรงไปยัง “ตำหนักเหมันต์” ที่หญิงผู้นั้นชี้บอกไว้ แม้จะรู้ดีว่าตำหนักนั้น ถูกลงกลอนด้วยตราของพระราชโองการตั้งแต่สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน ผู้ใดล่วงล้ำล้วนถือว่าหมิ่นเบื้องสูง
หากแต่เสียงเพลงนั่น เสียงที่ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทจนถึงยามนี้ มันดึงเขาไป
ตำหนักเหมันต์ตั้งอยู่เบื้องหลังสวนหยกกลาง เขตที่ในอดีตเคยสง่างามบานสะพรั่งด้วยดอกเหมยสีแดงเลือดนก หากบัดนี้กลับกลายเป็นผืนหิมะเงียบงัน
ซากประตูไม้สูงใหญ่ถูกตรึงด้วยผ้าดำจาง ๆ และผนึกตราราชโองการด้วยครั่งเก่าแตกร้าว เสาหินสลักมังกรสองตัวที่หน้าประตูมีรอยชำรุดจากกาลเวลา
เขายืนตรงหน้าประตูกั้นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ย่ำหิมะมาจากด้านหลัง
“อี้เหวิน”
เสียงหนึ่งเอ่ยเรียก เขาหันขวับ
ชายหนุ่มในชุดอาภรณ์ขุนนางกรมพิธีการยืนอยู่ เบื้องหลังเขาคือ หลินเซียน ขุนนางหนุ่มคู่สนทนาเก่าแก่ของเขา ผู้ขึ้นชื่อว่าเก็บข่าวลับในวังได้เฉียบกว่าใคร
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่?” อี้เหวินถามทันที
หลินเซียนมองไปยังประตูตำหนักเหมันต์ ดวงตาใต้แว่นหยกหรี่ลงอย่างแฝงความระวัง
“ข้าได้ยินข่าวว่า เจ้าเห็นเงาใต้แสงจันทร์ เงาที่ไร้เงา”
อี้เหวินขมวดคิ้ว “ข่าวเช่นนี้ แพร่ไปไกลเพียงใด?”
“มากพอจะทำให้ฝ่ายราชเลขาคิดว่าท่านมีสิ่งผิดปกติ พรุ่งนี้อาจมีราชโองการสั่งสอบสวน” หลินเซียนเอ่ยราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงแฝงเร่งเร้า
“เจ้าควรรีบลืมเรื่องนี้...”
“แต่ข้าเห็นจริงนี่” อี้เหวินกล่าวหนักแน่น ดวงตาคมเข้มทอประกายแน่วแน่
“นางบอกว่าชื่อเซี่ยอวี่ อยู่ในตำหนักนี้ และเจ้าก็รู้นี่ ว่าใครเคยอยู่ที่นี่ก่อนจะถูกปิดตาย”
หลินเซียนเม้มปากแน่น นิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ชายารัชทายาท...นางผู้ถูกตราว่าเป็นกบฏเมื่อสามสิบปีก่อน”
อี้เหวินพยักหน้า “ข้าเคยอ่านบันทึกหลวง บอกว่าเมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีชีวิต รัชทายาทได้ลอบคบรักกับหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นบุตรีขุนนางพรรคใต้ และนางได้เข้าวังมาโดยไร้การแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ข้าสงสัยว่านั่นคือ ‘เซี่ยอวี่’”
หลินเซียนถอนหายใจยาว “แม้เป็นเช่นนั้น เจ้าก็มิอาจเปลี่ยนความจริงของอดีตได้ เงาที่ท่านเห็นอาจเป็นเพียงภาพหลอนของผู้ที่ยังติดในความฝัน”
อี้เหวินหันกลับมามองประตูตำหนักอีกครั้ง หิมะโปรยลงบนไหล่เขา เบื้องหน้าเป็นความว่างเปล่า หากในหัวใจกลับแน่นล้นด้วยคำถาม
“นางคือเงานั้น หรือนางคืออดีต?”
คำถามนั้นทิ้งตัวลงในใจเขา ราวเกล็ดหิมะตกลงสู่หุบเหวลึกไม่มีเสียงตอบกลับ
คืนนั้น แม้หิมะจะโปรยเบา แต่หัวใจของเซิ่งอี้เหวินกลับหนักแน่นปานจะฝังตนลงในแผ่นดิน เขาไม่ได้กลับเรือนพัก แต่กลับไปยังหอคัมภีร์ลับของวังใน
ณ ที่นั้น มีเพียงเหล่าขุนนางตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับพระราชานุญาตเท่านั้นจึงจะเข้าสืบค้นบันทึกเก่าได้
ในฐานะองครักษ์ประจำองค์รัชทายาท และสืบเชื้อสายจากจวนแม่ทัพฝ่ายเหนือ เขามีสิทธิ์เช่นนั้น
หอคัมภีร์ลับปิดสนิทด้วยประตูไม้หอมสลักลายดอกเหมยซ้อน ชั้นในมีตู้ไม้โบราณเรียงรายสูงตระหง่าน แสงไฟตะเกียงส่องสะท้อนหมึกแห้งบนม้วนผ้าไหมเก่า
อี้เหวินคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าตู้หมายเลข 7 ตู้ที่เก็บ “บันทึกฝ่ายในแห่งรัชศกหรงซวี่” ซึ่งเป็นรัชศกก่อนปัจจุบันสามทศวรรษ มือเรียวแกร่งค่อย ๆ เปิดกล่องไม้หอมใบหนึ่ง ม้วนผ้าไหมเก่าซึ่งซีดสีเพราะกาลเวลาเผยออก เผยให้เห็นลายอักษรเขียนด้วยหมึกจาง
“...ว่ากันว่า รัชทายาทหลงจื้อ พระโอรสแห่งฮ่องเต้เซียวหลง ผู้ทรงเกรียงไกร มีหญิงในใจหาใช่ธิดาขุนนางฝ่ายกลางไม่ แต่กลับเป็นธิดาผู้ถูกประณามว่ามีเชื้อสายสำนักกบฏจากดินแดนใต้ ชื่อของนางคือ เซี่ยอวี่...”
อี้เหวินขมวดคิ้ว นามเดียวกันกับสตรีที่เขาเพิ่งพบเมื่อคืน
“...ขณะรัชทายาทกำลังจะได้รับราชบัลลังก์ ได้เกิดกบฏแฝงจากภายใน เสียงลือบอกว่า ผู้วางกลคือสตรีในตำหนักเหมันต์ ที่หวังให้รัชทายาทละจากบัลลังก์เพื่อรักต้องห้าม...”
มุมปากของอี้เหวินกระตุก เขาอ่านถัดไปอีกบรรทัด
“...รัชทายาทหลงจื้อได้สละสิทธิ์ในบัลลังก์ และถูกส่งออกนอกเมืองหลวง ขณะที่หญิงนามเซี่ยอวี่ถูกตราเป็นกบฏและหายสาบสูญ บางบันทึกกล่าวว่านางสิ้นแล้ว แต่บางเล่มกลับเว้นบรรทัดท้ายของชื่อนางไว้ว่างเปล่า...”
มือของเขาชะงักอยู่ตรงถ้อยคำนั้น
ว่างเปล่า?
“นางอาจยังไม่ตาย...” เขาพึมพำในลำคอ
ทันใดนั้น เสียงกระแสลมบางเบาพัดแทรกหน้าต่างไม้โบราณจนม้วนผ้าไหมสะบัดไหว แสงตะเกียงสั่นไหววูบหนึ่ง เงาของเขาทอดอยู่ยาวบนพื้น แต่กลับมีเงาอีกเงาที่มิใช่ของเขา ปรากฏขึ้นชั่วพริบตา เคียงข้างเงาของตน เขาหันวาบ แต่ไม่พบผู้ใด สิ่งเดียวที่อยู่ตรงนั้น คือกลีบเหมยเพียงหนึ่งกลีบ ที่ลอยตกลงจากเพดาน ทั้งที่ในหอคัมภีร์นี้ ไม่มีต้นไม้สักต้นเดียว อี้เหวินยืนขึ้นทันที มือกำม้วนบันทึกเก่าแน่นในอก
“ข้าจะสืบจนรู้ว่าเจ้าเป็นใคร และเหตุใดเงาของเจ้ายังคงอยู่ในวังนี้”
กลางหุบเขาหลิงเซวียน อันห่างไกลจากเมืองหลวงและค่ายกลอำนาจ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านชิงหลัน ฤดูเหมันต์ที่นี่ยาวนานกว่าที่อื่น หิมะโปรยปรายตลอดสามเดือนเต็ม แต่ก็ใช่ว่าหนาวเหน็บเสมอไปในบางคืนคืนที่แสงจันทร์สาดลงกลางหิมะโลกกลับอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านไม้หลังหนึ่งปลูกอยู่ริมหุบ เสียงไม้กระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืน ร่างสูง ใบหน้าคมคายมีเคราบางแต้มเหนือคาง เสื้อคลุมธรรมดาสีเทาอ่อนคลี่ไหวเบา ๆ ไปตามลมเขาชื่อว่า “เหวินอวี๋” ชาวบ้านเรียกเขาว่า “อาหยี่” ไม่มีผู้ใดรู้ชาติกำเนิดที่แน่ชัดของเขา เพียงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีก่อน มักฝันถึงเสียงพิณโบราณที่ไม่เคยมีใครเล่น มักละเมอเรียกชื่อใครคนหนึ่งทุกครั้งที่ดวงจันทร์เต็มดวง และมักนั่งมองต้นเหมยกลางหิมะ ราวกับรอใครสักคนกลับมา“อาหยี่ ข้าวต้มหอมฟุ้งแล้วนะ!”เสียงหญิงชราเจ้าของบ้านพักดังขึ้นจากในครัว เหวินอวี๋ยิ้มบาง ๆ วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปในเรือน แววตาของเขาอ่อนโยน ไม่แกร่งกล้าอย่างนักรบ ไม่เด็ดขาดดังแม่ทัพ แต่ลึก ๆ แฝงแววบางอย่างคล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ใจมาหลังรับประทานอาหารเรียบง่า
“เพลงนั้นห้ามเล่น ห้ามร้อง ห้ามแม้แต่คิดถึง”เสียงสั่งห้ามอันเยือกเย็นของเสนาบดีหวังเมื่อสามสิบปีก่อน ยังสะท้อนอยู่ในหอจารึกวังหลวงเพลงที่ไม่มีชื่อ เพลงที่คราวหนึ่ง เคยทำให้ครูดนตรีหลวงคลุ้มคลั่ง เพลงที่ในทุกคืนจันทร์เต็มดวง จะลอยมาเบา ๆ จากตำหนักร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยข้ามีนามว่า “ซูหนิงอวี่” เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกลาโหมเติบโตในราชสำนัก เห็นเรื่องลึกลับมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องใดสะท้านใจข้าเท่า “เรื่องของสตรีไร้เงา” ผู้นั้นนางไม่มีชื่อในบันทึก ไม่มีภาพวาดในหอประวัติ ไม่มีการกล่าวถึงในการเรียนการสอน แต่ในทุกคืนเหมันต์ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในวังมักจะก้มหน้า แล้วพร่ำว่า...“อย่าทำให้จันทร์เห็นเจ้า มิเช่นนั้น เขาอาจร้องไห้อีกครั้ง...”ข้าเคยไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเข้าไปในตำหนักเหมันต์ ที่เขาว่าถูกปิดตายตั้งแต่ยุคราชวงศ์ก่อนประตูไม้...เปิดเองลานหิน...มีรอยเท้าซ้อนทับต้นเหมย...ปลิวกลีบในวันที่ไม่มีลมแต่สิ่งที่ทำให้ข้าเยือกเย็นถึงกระดูก ก็คือพิณหยกที่วางอยู่หน้าต้นเหมย และจารึกหนึ่ง...“ในหิมะยังมีเสียงนาง ในเงาจันทร์ยังมีนางเคียงข้าง หากข้าจดจำนางไม่ได้ โลกนี้ก็ไม่ควรมีข้าอยู่”ข้า
ในโลกที่แสงจันทร์ยังคงทาบฟ้า แต่ไม่มีต้นเหมย ไม่มีตำหนัก ไม่มีแม้แต่คำว่าอดีต หญิงสาวผู้หนึ่งลืมตาขึ้นกลางแสงสีเงิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบล้อมด้วยสายลมฤดูหนาว“ที่นี่คือที่ใด...”นางพึมพำกับตนเอง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดในวังหลวง แต่งดงาม เรียบง่าย และเบาสบาย แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร หญิงสาวเดินผ่านลานหินโล่ง มีเสียงน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลและต้นเหมยต้นเดียวในที่ราบนี้ยืนเด่นอยู่ใต้แสงจันทร์ นางมองมันด้วยความรู้สึกประหลาด ดอกเหมยผลิบานเต็มต้น หยาดน้ำแข็งเกาะบางเบาบนกลีบ แล้วทันใดนั้นสายลมก็พัดกลิ่นหอมจางมา“เซี่ยอวี่...”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง นางหันขวับ ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ เขาดูอ่อนวัย แต่แววตานั้นลึกนักลึกยิ่งกว่าห้วงกาลเวลา“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่? ข้าควรจะจำเจ้าได้หรือเปล่า...”ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาเขาไม่ได้สะท้อนเพียงแสงจันทร์ หากยังมีแววสะเทือนใจที่เหมือนเคยรู้จัก“เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพียงเจ้าจำเสียงนี้ได้ข้าก็พอใจแล้ว”เสียงของเขา แม้ไม่กังวาน แต่เมื่อสัมผัสโสตประสาทของนางกลับสะท้านถึงหัวใจ เหมือนเคยฟังมันในยามหิมะตก เหมือนเคยได้ยินมันตอ
“ใต้ต้นเหมยที่มิผลิบาน ข้าเฝ้าเรียกชื่อผู้หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เสียงตอบกลับมา กลับมีเพียงสายลม”เสียงพิณแผ่วเบาดังอยู่ท่ามกลางหิมะ เซี่ยอวี่นั่งอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยหลังตำหนักเหมันต์ ในราตรีที่แสงจันทร์ไร้ซึ่งไออุ่นฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่เท่าใดแล้ว? นางมิอาจนับได้อีก ฤดูหนาวที่แสงจันทร์ทาบผ่านผิวหิมะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของนาง กลับไม่เคยปรากฏตำหนักเหมันต์เงียบงันมาเนิ่นนาน หลังการล่มสลายของรัชทายาทหลงซื่อ และหญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่ากบฏ ตำหนักที่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักและเสียงหัวเราะ จึงถูกปิดตายด้วยคำว่า “ต้องห้าม”นางผู้มีนามว่า เซี่ยอวี่ หรือในอดีตก็คือหญิงคนนั้นวิญญาณที่ติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ด้วยความอาฆาต แต่ด้วยความรักที่ไม่เคยถูกเอ่ยออกเต็มถ้อย“อี้เหวิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่...”เสียงกระซิบที่แผ่วเบายิ่งกว่าหิมะปลิว เซี่ยอวี่หลับตา แล้ววางมือบนสายพิณหยก เพลงที่นางดีดไม่มีอยู่ในตำรา ไม่มีผู้ใดสอนมันคือเสียงที่ผุดขึ้นจากใจ เวียนกลับซ้ำทุกครายามนางคิดถึงเขาในช่วงแรกที่วิญญาณของนางยังไม่สงบ นางเคยหวังว่าเขาจะมองเห็น นางเคยเฝ้ามองเขา จากตำหนักโน้นสู่อีกตำหนักหนึ่งแต่ปีแล้วปีเล่า
ณ กาลก่อนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลิวซาน คืนจันทร์ดับ ไร้แสงดาว ลมเหนือกรีดเกล็ดหิมะให้กระจายเป็นเส้นเงา ดินแดนที่ขานขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “เขาเทียนหลง” คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กินกาลเวลาหลายภพชาติที่ลานพิธีบูชากลางเขา หญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในชุดขาวล้วน ผ้าคลุมศีรษะปลิวล้อลม มือของนางแตะสายพิณหยกโบราณที่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ช้าและนิ่ง แต่เพียงท่วงทำนองแรกดังขึ้น แสงจันทร์ที่ควรดับพลันจุดสว่างขึ้นทั่วขอบฟ้า“เสียงนี้ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวไม่หันกลับ นางยังคงดีดแม้น้ำตาไหลอาบแก้ม“แต่เสียงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเหลือไว้ได้ให้เขา”บุรุษผู้มาเยือนแต่งกายด้วยชุดแม่ทัพดำสลับทอง ผ้าคาดเอวมีตราสลักรูปมังกรฟาดเมฆ แววตาเด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเขาคือเซวียนเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอวิ๋น ชายผู้ได้รับพระบัญชาให้มาขัดขวางพิธีต้องห้ามในค่ำคืนนี้ เขารู้ดีว่า หญิงเบื้องหน้า คือ “หลานอวี่” เทพธิดาแห่งเสียงพิณ ผู้ถูกเนรเทศจากสวรรค์เพราะหลงรักมนุษย์“เจ้ากำลังละเมิดสวรรค์อีกครั้ง...”เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นสั่นไหวจาง ๆ“ข้ารู้...”หลานอวี่วางมือจากสายพิณ เงยหน้าข
หิมะตกต่อเนื่องไม่หยุดเป็นวันที่เจ็ด ตำหนักเหมันต์กลับมาเงียบงันดั่งเดิม ทว่าทั่วทั้งวังหลวงยังคงสะเทือนด้วยเสียงกระซิบแห่งตำนาน“เงาคู่นั้น เจ้าก็เห็นหรือไม่?”“เขาไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ”“แม้นางจะไม่มีเงาในอดีต แต่ในวันนั้น ใต้แสงจันทร์ นางก็มีเงาเหมือนเราทุกคน”ข่าวลือแผ่กระจายรวดเร็วราวไฟในทุ่งหญ้าแห้ง เรื่องเงาลึกลับที่ปรากฏ ณ ประตูหงส์ และเสียงพิณที่ไร้ต้นเสียงในคืนวันประหาร กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเมืองหลวงแต่สำหรับเขา เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เพียงข่าวลือ เพราะทุกถ้อยทุกคำ ล้วนเป็นความจริงที่เขาได้สัมผัสเซิ่งอี้เหวินยังมีชีวิต หลังเหตุการณ์วันนั้น คำสั่งประหารถูกยกเลิกอย่างไร้คำอธิบาย แต่เขากลับไม่กลับไปยังตำหนัก หากแต่ขอปลีกวิเวก ณ เรือนเล็กริมเนินหิมะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สระน้ำแช่แข็งเบื้องหลังวังหลัง ที่นั่นคือสถานที่ที่เซี่ยอวี่เคยร้องเพลง คือสถานที่ที่เขาเคยฟังนางในคืนแรกวันคืนผ่านไป เขาไม่รับราชการอีก ไม่แตะกระบี่ ไม่สวมชุดองครักษ์ มีเพียงพิณที่เขาสร้างด้วยมือ ตั้งอยู่เบื้องหน้าต่างบานเล็กซึ่งหันเข้าสู่แสงจันทร์ และทุกคืนเดือนเพ็ญ เขาจะบรรเลงเพลงเดิมบทเพลงที่ไร้ชื่อ เพื่อใครคนห
Comments