“อาจารย์หญิง ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ! อาจารย์จะตีท่านเอาได้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนตะโกนเสียงดัง แล้วหันตัวลุกขึ้นวิ่งไปฟ้องทันทีฮูหยินเมิ่งวิ่งตามไปข้างหลัง แต่กลับตามไม่ทันหลังจากเรื่องผ่านไปแล้ว เมิ่งฉวีก็หัวเราะจนท้องแข็ง“ฮูหยินเอ๋ย! ครั้งหน้าห้ามให้จิ่วเหยียนจับได้อีกนะ”“จิ่วเหยียน ทำได้ดีมาก!”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับการยอมรับและกำลังใจ ก็ยิ่งนำหลักการนี้ไปปฏิบัติมากขึ้นฮูหยินเมิ่งได้แต่ยิ้มจนกระทั่งวันหนึ่ง ในที่สุดเด็กสาวจิ่วเหยียนก็ส่งอาจารย์ของนางเข้าไปในคุกจำใหญ่ได้สำเร็จ ในวันนั้น เมิ่งฉวีกำลังหารือเรื่องสำคัญกับอดีตลูกน้องหลายคน พวกเขานำอาวุธที่สร้างขึ้นใหม่มาให้เมิ่งฉวีดู ว่าจะใช้ต้านศัตรูที่อยู่นอกชายแดนเหนือได้หรือไม่ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เด็กสาวคนนี้ก็พาเหล่าเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มหนึ่งมาปรากฏตัว และชี้ว่าพวกเขาลักลอบซ่อนยุทโธปกรณ์หลังจากวันนั้น ก็เกิดเรื่องตามมาไม่หยุดหย่อนแทบทุกเช้าที่เปิดประตูบ้านออกมา ฮูหยินก็จะเห็นเพื่อนบ้านมาฟ้องร้อง ว่าสิงโจวกับจิ่วเหยียน เด็กสองคนนี้ 'ก่อปัญหา' ไว้ไม่น้อยเลยไม่ใช่วันนี้ต่อยคนนี้ ก็เป็นเมื่อวา
ฮูหยินเมิ่งจดจำครั้งแรกที่ได้พบกับจิ่วเหยียนได้เสมอในตอนนั้น ฤดูหนาวเพิ่งจะผ่านพ้นไป อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็นนางตื่นนอนตั้งแต่เช้ามืด แต่งกายให้สิงโจว เตรียมจะไปรับสามีที่ประตูเมืองสิงโจวเพิ่งอายุสองขวบกว่า ในวันนั้นเขาเริงร่าเป็นพิเศษคงรู้แน่ ๆ ว่าท่านพ่อกำลังจะกลับมาขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากบ้าน สาวใช้ก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยิน! ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว!”นางอุ้มสิงโจวอย่างตื่นเต้นยินดี ต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม“ท่านพี่...”ทว่าชั่วพริบตาต่อมา เมื่อเห็นผู้ที่มาถึง สีหน้าของฮูหยินเมิ่งก็พลันมืดครึ้มลงทันทีชายที่ยามปกติประหยัดมัธยัสถ์ วันนี้กลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวใหญ่ และอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนเขาปกป้องเด็กทารกคนนั้นอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ลมหนาวพัดโดน“หว่านจวิน” เมิ่งฉวียิ้มอย่างใสซื่อปนงงงวย รอยยิ้มอันอ่อนโยนเมื่อครู่ของฮูหยินเมิ่ง บัดนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น“เมิ่งฉวีเอ๋ยเมิ่งฉวี! ท่านไปเดินทัพหนึ่งปี ช่างมอบความประหลาดใจใหญ่หลวงให้ข้ายิ่งนัก!”เมิ่งฉวีหน้าซีดเผือดทันที“ไม่ ไม่ใช่! เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่ลูกของข้านะ.
เฟิ่งจิ่วเหยียนหมดหวังแล้วเพราะอย่างไรเสีย เขาก็จะส่งชื่อมาให้นางไว้เว้นแต่ละวัน นางประหลาดใจมาก ว่าเขาเลี่ยงใช้คำที่ไพเราะเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงได้อย่างไรกัน?เซียวอวี้ทำสีหน้าท่าทางลึกลับ“ก็ชื่อ...เซียวจื่อจู้[1]! เขาจะต้องเป็นเสาหลักของต้าฉี ร่วมค้ำจุนอาณาจักรต้าฉีนี้ไว้ไปพร้อมกับพวกเจ้า!”เขากล่าวอย่างฮึกเหิม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันเฟิ่งจิ่วเหยียนหัวเราะแห้งการนำชื่อที่มั่วซั่วมาใส่ความหมายที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรสิ่งที่นางต้องการคือชื่อสักชื่อหนึ่ง ไม่ใช่ความหมายเหล่านั้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับขี้คร้านจะพูดอะไรแล้วแปะ แปะ แปะ!อาลี่ปรบมือ“เพราะดี ๆ! แมงมุมน้อย! ลูกชอบแมงมุมน้อย[2] เหมือนที่ชอบเจี้ยนเจี้ยนเลย!”“เซียวจื่อจู้ที่แปลว่าเสาหลักต่างหากเล่า”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวเหน็บแนม“ใช่แล้ว สามเสาหลัก พอดีเลย อาหลิ่นกับลูก ๆ ก็ไม่ชอบชื่อตัวเอง เช่นนั้นเปลี่ยนชื่อพร้อมกันเลยดีกว่า เป็นต้าจู้ เอ้อจู้ ซานจู้ รับรองว่าแผ่นดินต้าฉีของพระองค์จะมั่นคงแข็งแรง ตั้งตระหง่านไม่ล้มแน่นอนเพคะ!”อาหลิ่นก้มหน้าอย่างท้อแท้ “เช่นนั้นก็ขอเป็นอาหลิ่
กระทั่งฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา หร่วนฝูอวี้ก็ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับรุ่ยอ๋องแต่ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาของพวกเขานั้น ในทางปฏิบัติยังคงอยู่หร่วนฝูอวี้พักอยู่ในจวนอ๋อง บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็รู้ว่านางคือพระชายาหลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ จี๋เอ๋อร์ก็ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเพียงแต่ร่างกายของเขายังฟื้นตัวได้ช้ามากหร่วนฝูอวี้สงสารลูกชาย จึงเสาะแสวงหาหมอเทวดาจากทุกสารทิศต้นฤดูร้อนในปีเดียวกัน หมอเทวดาเหยียนเพิ่งจากไปแพทย์เปี่ยมคุณธรรมผู้ซึ่งปรุงยาถอนพิษจากหมอยาได้ บัดนี้ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบเพื่อเดินทางสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์แล้วในวันพิธีศพ ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ราษฎรทั้งเมืองก็มาร่วมส่งเขาเช่นกันบทเพลงอันเศร้าโศกบรรเลงขึ้นในวังหลวง ทุกคนต่างเสียใจกับการจากไปของเขาบางคนแสวงหาหนทางสู่ความเป็นนิรันดร์ แต่บางคนกลับเกลียดชีวิตนิรันดร์ในระหว่างที่ตระกูลถานไถถูกคุมขัง มีหลายคนเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองถานไถจิ้งให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เด็กคนนั้นพิเศษมาก เขาสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ขณะได้ยินเสียงร้องไห้ของลูก ถานไถจิ้งก็หลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา“อาเหยี่ยน เจ้ากลับมาแล้
รุ่ยอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าเผลอดีใจไปหน่อย ลืมไปว่าเจ้ามองไม่เห็น เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่อาอวี้...”หร่วนฝูอวี้สะบัดมือเขา“ไสหัวไป! นี่เป็นคำเตือนจากสวรรค์ อยู่กับท่าน ข้าจะไม่มีวันราบรื่น!”พูดจบก็ตะโกนเรียกเก๋อสือชี “เจ้าสุนัขสือชี เจ้ามานำทางข้า”“มาแล้ว ศิษย์พี่!”……รุ่ยอ๋องได้เขียนจดหมายถึงพ่อบ้านของจวนก่อนแล้ว เรื่องงานแต่งงานทุกอย่าง ล้วนถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหาฤกษ์งามยามดีเท่านั้นหร่วนฝูอวี้พูดขึ้นมา “การหกล้มครั้งนี้ ถือเป็นลางร้าย ข้าปฏิเสธการแต่งงาน”รุ่ยอ๋องไม่เห็นด้วย“อุปสรรคมากมายขนาดนั้น พวกเราล้วนผ่านมาด้วยกันแล้ว ตอนนี้กลับเพียงสะดุดล้มเจ้าก็...”เก๋อสือชีหัวเราะพลางพูดขึ้นมา“ศิษย์พี่เขย ท่านไม่เข้าใจ ศิษย์พี่รักสวยรักงาม อยากรอจนกว่าโฉมหน้ากลับมางดงามก่อน ค่อยเป็นเจ้าสาว”หร่วนฝูอวี้:...รุ่ยอ๋องไม่อยากจะเชื่อเขาหันไปมองหร่วนฝูอวี้อย่างแปลกใจ “อาอวี้ เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ?”เก๋อสือชีพูดเสริม “แน่นอนสิ! ศิษย์พี่พกเครื่องประทินโฉมติดกายตลอดเวลา! จะไม่ใส่ใจใบหน้าของนางได้อย่างไร!”หร่วนฝูอวี้เงียบไป นางนึกว่า รุ่ยอ๋องจะ
เสียวอู่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้องตรงเตียงนอน ศิษย์พี่มองอาลี่ กลับเอ่ยเรียกชื่ออีกคน“อาหลิ่น เสด็จพ่อกับเสด็จแม่คิดถึงเจ้ามาก เจ้าหลับสบายดีหรือไม่ รอเสด็จพ่อกลับวังแล้ว จะยกบัลลังก์ให้เจ้า…”เสียวอู่: ไม่ใช่สิ! นี่เป็นเรื่องลึกลับอะไรกัน? !เขาเคยได้ยินมาว่า ฝาแฝดบางคู่มีความรู้สึกร่วมกัน แต่ไม่เคยได้ยินว่าสื่อวิญญาณถึงกันได้!หรือว่าศิษย์พี่คิดถึงลูกชายคนโตจนเป็นบ้าไปแล้ว!ทั้งคืน เสียวอู่ตาแดงก่ำ ไม่ได้นอนสักนิด และก็ไม่กล้าหลับวันรุ่งขึ้น นอกจากเขาแล้ว ทุกคนล้วนกระปรี้กระเปร่าเต็มที่ท่านผู้เฒ่าหยวนส่งหยวนจั้นลงเขา ยัดเสบียงแห้งใส่ห่อผ้าให้เขามากมาย ยังไม่ลืมกำชับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในราชสำนักเสียวอู่เดินตามข้างหลัง หาวง่วงไม่หยุด ใต้ตาดำคล้ำข้างหลังมีมือเล็ก ๆ คว้าจับแขนเสื้อเขาไว้เมื่อหันไปมอง ก็เป็นอาลี่...หลานชายคนดีของเขาอาลี่ตัวเล็กมาก จึงใช้นิ้วกวักเรียกให้เขาย่อตัวลงมาพูดด้วยเสียวอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเขาเพิ่งย่อตัวลง อาลี่พลันยกมือตบหน้าผากเขาหนึ่งที...กระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่ง ถูกแปะบนหน้าผากเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวกล้ามเนื้อบนใบหน้าเสียวอู่ก