ซินหลินเป็นนักกายภาพบำบัดที่ทำงานอย่างหนักมาตลอด ช่วงเวลาที่เธอได้พักผ่อน เธอกลับทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีสามีเป็นชายพิการ พร้อมกับตัวช่วยพิเศษที่ติดตัวมาด้วย!
View Moreค่ำคืนในวันมืดมิด มีสถานที่หนึ่งเปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม แสงสีสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้คนมากมายเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา รายล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวผมเป็นลอนยาวสวยนัยน์ตาหวานเยิ้ม เธอมองดูความวุ่นวายและฟังเสียงบรรเลงเพลงร็อกพาให้ใจเธอเต้นตามจังหวะ มีผู้คนเต้นคลอเคลียกันไปมาในสถานบันเทิงที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในมือถือไวน์ชั้นดีมีรสชาติหวานนุ่มลิ้นและรสขมเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงบาร์เหล้าที่มีบาร์เทนเดอร์วาดลวดลายในการชงเหล้าให้กับเหล่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในค่ำคืนนี้
หญิงสาวสวยหุ่นดีในชุดสีแดงเข้ารูป เธอเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงด้วยความเมามัน สายตากวาดมองไปทั่วรอบตัว เธอมองเห็นเพื่อนสาวคนสวยในชุดดำสั้นรัดรูปได้อย่างพอดีตัว นั่งโงนเงนไปมาด้วยความน่าเป็นห่วง “ซินหลิน เธอไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเดินเข้าไปถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง เสียงเรียกของใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวในชุดสีดำได้สติและเงยหน้ามอง สายตาของเธอปรับภาพซ้อนไปมาให้มันชัดเจนขึ้น จึงได้มองเห็นเป็นเพื่อสาวคนสวยในชุดสีแดงรัดรูปเช่นเดียวกันกับเธอ “ฉันยังไหว พวกเธอเต้นกันต่อเลย ฉันขอนั่งพักหน่อยก็แล้วกัน” เธอตอบเพื่อนสาวที่ดูท่าทางเป็นห่วงเธอออกไปด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย หญิงสาวในชุดสีแดงมองดูท่าทางของหญิงสาวที่ตอบเธอว่าไหว มีสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ “ถ้าเธอไม่ไหวก็บอกฉันนะ ฉันเต้นอยู่ไม่ไกล รู้ว่าตัวเองคออ่อนก็ยังจะกินเยอะอีก” เธอบ่นเพื่อนสาวที่นาน ๆ จะมีเวลาว่างมาเที่ยวกับพวกเธอ “เธอบ่นฉันเป็นแม่อีกคนแล้วนะ ฉันโตแล้วย๊ะ! ฉันไม่กินมันเยอะหรอกนา” เธอตอบเพื่อนสาวในชุดสีแดง เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศที่เพื่อนกำลังสนุก พร้อมกับทำท่าทางว่าสบายมาก หญิงสาวชุดแดงมองดูความเรียบร้อยของเพื่อนอีกรอบ เธอเดินกลับไปเต้นกับเพื่อนคนอื่นต่อ เธอเป็นห่วงซินหลินที่ช่วงนี้เธอดูเครียดมากกว่าปกติมาก ไม่รู้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจอะไร? ซินหลินเหลือบมองเพื่อนสาวแสนดีเดินจากไป เธอกลับมานั่งสนใจกับไวน์ตรงหน้าต่อ มีเรื่องที่ไม่สบายใจหลายอย่าง ตั้งแต่ที่เรียนจบมา ก็ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวพักผ่อนอย่างจริงจังเลย มัวแต่ตั้งใจเรียนและหาเงิน ตอนนี้มีเงินแล้ว... แต่ไม่มีเวลา งานที่ทำก็แสนเหนื่อยแต่มีความสุขที่ได้ทำ เธอเป็นหมอกายภาพ ต้องใช้แรงกายในการช่วยผู้ป่วยจนรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ่อยครั้ง หลายวันมานี้ ซินหลินรู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อยก็ได้ ยิ่งปล่อยไว้ อาการปวดหัวก็เริ่มหนักขึ้น คิดแล้วก็รู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนขึ้นมา ‘หรืออาจจะเป็นเพราะไวน์ที่ฉันเพิ่งดื่มเข้าไปก็ได้’ ไม่ทันที่ซินหลินได้คิดทบทวนอะไรมากมาย อาการที่เป็นอยู่ก็ยิ่งแย่ลง ภาพทุกอย่างที่มองเห็นดูพร่ามัว เสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในสถานบันเทิงเริ่มเบาลง... เธอมองทุกอย่างเป็นภาพซ้อนและอ้วกออกมา ทุกอย่างค่อย ๆ แย่ลง แขนขาที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแรง เธอล้มลงไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว… “ซินหลิน!” เพื่อนสาวหันกลับมามองซินหลินอีกครั้ง เธอมองเห็นซินหลินอ้วกออกมาและล้มลงไป เธอร้องเรียกให้คนช่วยพร้อมทั้งเรียกรถพยาบาลมาอย่างเร่งด่วน พอมาถึงโรงพยาบาล หมอและพยาบาลก็พากันวิ่งเข้ามาเข็นร่างของซินหลินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอได้แต่ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยใจที่เป็นกังวลและเป็นห่วง เธอร้องไห้ พร้อมทั้งโทรหาครอบครัวของซินหลิน เพื่อให้พวกเขารีบมาหาที่โรงพยาบาล แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไปไม่ติด… ภายในห้องฉุกเฉินร่างของซินหลินนอนหายใจรวยริน เธอได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจ เสียงผู้คนหลายคนที่พูดคุยอยู่รอบตัวด้วยความเคร่งเครียด เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเป็นเสียงเครื่องปั๊มหัวใจและอาการชาตรงหน้าอกของเธอ… ซินหลินได้สติอีกครั้ง เสียงเรียกของผู้คนที่ไม่คุ้นเคย แต่ชื่อที่พวกเขาใช้เรียกเป็นชื่อของคนอื่นที่ไม่ใช่ชื่อของเธอ? “หยางฉิง! ตื่น ๆ อย่าหลับ…” เสียงเรียกที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ซินหลินค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวที่ไม่จางหายไป สายตาคู่งามมองไปรอบตัวที่ไม่คุ้นเคย ตรงหน้าของเธอมองเห็นชายคนหนึ่งที่มีผมสีดอก หนวดเครายาวเป็นสีขาว เสื้อผ้าของเขาดูเก่ามาก เธอไม่คุ้นเคยกับชายผู้นี้มาก่อนเลย ‘นี่ฉันเป็นอะไรกันแน่ ชาวบ้านพวกนี้เป็นใคร?’ เธอมองดูชาวบ้านที่แต่งตัวไม่คุ้นเคย ส่งเสียงเรียกยิ่งทำให้เธอมึนงง การปวดหัวก็ยิ่งเพิ่มความปวดหัวมากขึ้นไปอีก เธอเอามือกุมไปที่หัวพร้อมกับภาพหลายอย่างเกิดขึ้นมาในหัวไม่หยุด “หยางฉิงตื่นแล้ว! ทุกคนอย่ามุง เดี๋ยวนางจะหายใจไม่ออก” หมอหลี่เทาร้องบอกชาวบ้านให้ถอยห่างออกไป เธอเอามือทั้งสองข้างกุมไปที่หัว ภาพจำต่าง ๆ ก็ไหลเข้ามาในความทรงจำของเธอไม่หยุด เป็นภาพที่เธอไม่คุ้นเคย ‘ความทรงจำพวกนี้มันคืออะไร มันไม่ใช่ของฉันนิ’ เธอใช้เวลาเรียบเรียงภาพในความทรงจำ พร้อมกับเสียงของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบตัว ภาพเหล่านั้นที่อยู่ในหัวเป็นภาพของคนอื่นที่ไม่เหมือนเธอเลยสักอย่างเดียว ซินหลินยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู เป็นมือเรียวยาวขาวเนียนซึ่งไม่เหมือนกับมือของเธอเลย ‘หรือว่าตอนนี้ฉันได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงที่ชื่อหยางฉิง? ฉันต้องรวบรวมสติและต้องพาตัวเองเดินออกไปจากตรงนี้ก่อน…’ ซินหลินคิดและหันมองไปรอบตัวอีกครั้ง มีชาวบ้านทั้งหญิงและชายมุงดูอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลาย บางคนก็ดูอยากรู้ บางคนก็ดูเป็นห่วง และก็มีบางคนมองเธอด้วยสายตาแห่งความยินดี? “หยางฉิงเป็นอย่างไรบ้าง!” หลี่เทาร้องเรียกหญิงสาวที่ลืมตาตื่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูมึนงง “ไม่เป็นอะไร” เธอตอบชายที่พบเห็นเป็นคนแรกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ชายคนนั้นดูสีหน้าเป็นกงวลมากกว่าคนอื่น ‘คนนี้คงเป็นหมอสินะ’ “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทำให้พวกข้าตกใจหมด อยู่ดี ๆ เจ้าก็เดินตกลงไปในหลุมและหัวกระแทกสลบไปตั้งหลายชั่วยาม ข้านึกว่าเจ้าตายไปเสียแล้ว เจ้าลุกไหวหรือไม่” หลี่เทามองท่าทีของหยางฉิง “ลุกไหว ไม่เป็นไรมาก” ซินหลินตอบคนที่ชาวบ้านเรียกว่าหมอออกไปด้วยท่าทางไม่ชิน “ดีแล้ว ถ้าเจ้าไปเป็นอะไรก็กลับไปบ้านเถอะ นี่เป็นยาแก้ปวด ข้าให้เจ้าเอาไว้ต้มกินหลังอาหารสามเวลา กินสักสองวันเจ้าก็จะดีขึ้น” หลี่เทาเอาห่อยาส่งให้หยางฉิงเอาไปต้มกินที่บ้านหยางฉิงยิ้มเย็นในใจ ‘สิ่งที่ข้าทำไว้คงออกฤทธิ์แล้วสินะ’ นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่กล่าวหาอะไรข้ากัน? คนที่ควรจ่ายเงินควรเป็นท่านแม่มากกว่า เพราะลูกสาวสุดที่รักของท่านแม่มาทำร้ายข้าถึงหน้าบ้าน จนปากข้ามีเลือดออก หน้าข้าก็มีรอยแดงจากนิ้วมือของลูกท่าน ชาวบ้านทุกคนเห็นกันทั่ว ว่าใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ”จางเฟิงโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าลูกหรือครอบครัวแม่สามีจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น! ตั้งแต่วันที่ลูกข้าตบตีกับเจ้า นางก็เจ็บท้องอย่างหนัก! ถ้าไม่ใช่เจ้าทำ แล้วใครจะทำ!”หลี่เซิงที่ฟังสองคนทะเลาะกัน รู้สึกปวดหัวหนักขึ้น เขาคิดในใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่เขายอมแยกบ้าน ยอมยกเงินทั้งหมดที่เขามีให้แม่ เพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้เพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยไปรบกวนบ้านหลักเลยแม้แต่ครั้งเดียว“ท่านแม่มาที่นี่ ท่านพ่อรู้หรือไม่? ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูชาวบ้าน ท่านแม่คิดว่าจะหาใครมาแต่งงานให้พี่หลี่เจิงได้อีกหรือ? ท่านแม่ลองคิดดูให้ดี ถ้าไม่อยากโดนท่านพ่อว่า” เขาเอาท่านพ่อมาอ้าง เพราะรู้ว่าท่านแม่กลัวท่านพ่อที่สุดจางเฟิงได้ฟังที่หลี่เซิงพูด นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าชาวบ้า
หลี่จงพยักหน้าช้า ๆ มองนางด้วยสายตาอบอุ่น “ดี ดี เจ้าคิดได้แบบนั้น ข้าก็ดีใจกับสามีของเจ้าด้วย เขาดูแลเจ้ามาตั้งมากมาย ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก เจ้าก็ต้องดูแลเขาให้มาก”นางรับฟังที่ผู้ใหญ่พูดสั่งสอนนางมาด้วยความหวังดี“ท่านผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งที่นางต้องการหรือไม่ ข้านรู้มาว่าพี่หลี่อี้ก็ขายของไปตามแคว้นต่าง ๆ มีของแปลกใหม่มาขายตลอด ท่านพอมีเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ มาขายให้ข้าบ้างไหม” นางหันไปถามพี่หลี่อี้อีกครั้ง ไหน ๆ เขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว นางจะได้ไม่เสียโอกาส“ข้าน่ะมีไม่เยอะหรอก ถ้าเจ้ากล้าอยากซื้อก็ถือว่าวันนี้เจ้ามีโชคดี เพราะหลี่อี้กำลังจะเดินทางออกไปค้าขายในคืนนี้” หลี่จงบอกสิ่งที่นางอยากรู้นางลูบอกด้วยความยินดี “ถือเป็นโชคดีของข้าจริง ๆ แล้วพี่หลี่อี้ขายสิ่งใดบ้าง”“เจ้าก็อยากได้อะไรก็มีทั้งนั้น เจ้าลองไปดูบนรถเกวียนของข้าดีกว่า ถามซื้อเมล็ดจากพ่อของข้าไปก็คงไม่มีของที่เจ้าต้องการหรอก”“ถ้าไม่รบกวนพี่หลี่อี้มาก ข้าขอดูของที่ท่านเอาไปขายเสียหน่อย”หลี่อี้เดินนำหยางฉิงไปดูบนรถเกวียนที่เตรียมไว้ขายในวันพรุ่งนี้“ข้าเห็นว่าเจ้ากลับตัวกลับใจแล้ว จึงยอมให้เจ้ามาดูของที่ข้าเตรียมไว้”
หลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน” เขาอดถามนางออกไปไม่ได้หยางฉิงกำลังตั้งใจขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย นางแทบไม่ค่อยได้ทำงานในไร่แบบนี้เลย ท่าการขุดดินของนางจึงมีท่าทางที่แปลกนัก ขณะที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการขุดดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหลี่เซิงที่ถามอะไรบางอย่างกับนาง?“ท่านว่าอย่างไรนะ” นางถามเขาซ้ำอีกครั้ง“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”เขาคงแปลกใจที่นางลุกขึ้นมาจับจอบขุดดินถางหญ้า “ข้าอยากปลูกผักผลไม้ เผื่อว่าจะได้มีผลไม้เอาไว้ขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง” นางบอกถึงเหตุผลให้เขาฟัง“เจ้าไม่มีเงินแล้วหรือ…” ตอนแยกบ้านเขาเห็นว่านางได้เงินจากท่านแม่มาหลายตำลึงเงิน“เงินแค่นั้นจะเพียงพอให้ข้าและท่านที่เป็นคนป่วยใช้พอหรือ แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจัดการได้ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเร็ว ๆ ก็พอแล้ว” นางตอบเขาออกไปและเริ่มกลับมาสนใจขุดดินของนางต่อหลี่เซิงที่มองใบหน้าด้านข้างของหยางฉิง หน้าของนางแดงตัดกับดวงอาทิตย์กลมโตที่ใกล้จะตกดิน พอนางไม่ได้แต่งหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางก็หน้าตาดีเหมือนกัน เขามองลงไปที่รูปร่างของหยางฉิง นางเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม หุ่นของนางจึงเหมาะที่จะ
‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัวหยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว
“พวกนางทั้งสองคนก็ไปแล้ว ถึงข้าจะคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่าย ๆ ข้าก็ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วยปกป้องข้า ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอุบัติเหตุ ข้าก็ตั้งใจจะกลับตัว กลับใจเป็นคนที่ดีขึ้น ข้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…” หยางฉิงอธิบายถึงเหตุผลที่นางเปลี่ยนไปให้ชาวบ้านได้ฟัง ‘นางได้เรื่องอ้างถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอยู่พอดี’ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่หน้าบ้านหยางฉิง พวกเขาต่างได้ฟังที่นางพูดก็มีส่วนที่ถูกอยู่บ้าง เมื่อคนเราผ่านความเป็น ความตายมา ก็อาจจะรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้น“พวกเราดีใจที่เจ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนที่ดีได้ หลี่เซิงสามีของเจ้าเมื่อก่อนเขาก็ลำบากเพื่อเจ้ามามากมายนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลหลี่เซิงให้ดี ถึงสามีของเจ้าจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าได้รู้จักหาเงินเจ้าก็อยู่ได้สบาย เจ้าดูที่ดินผื่นนี้สิ ที่หลี่เซิงพยายามแย่งมันมาให้เจ้า เอาละพวกข้าเข้าใจแล้ว พวกข้าจะเดินไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้เจ้า เจ้าก็เข้าไปทำแผลที่ปากของเจ้าเถอะ และก็ระวังแม่สามีของเจ้าเอาไว้ นางไม่ยอมจบแค่นี้แน่” หลี่จือพูดเตือนหยางฉิงด้วยความเป็นห่วง ที่จริงนางสงสารหยางฉิงมากกว่าเสียอีกที่ต้องแยกบ้านออกมา
ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง“หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด…หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้
หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลงเมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่…หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เ
ซินหลินมองดูถังไม้ที่อยู่ใต้เตียงของเขา ถังไม้มีฝาปิดเอาไว้อย่างดีเพื่อปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ข้าขอเอาถังไม้ของท่านไปล้างก่อนนะ ท่านต้องใช้ตอนนี้หรือไม่?” นางอยากเอามันไปทิ้ง เพราะถังไม้นั้นช่างสกปรกและไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ“เจ้าจะทำอะไรก็เอาไปเถอะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้” วันนี้นางทำไมถามเขามากเสียจริง ทุกครั้งที่นางมาที่ห้องของเขา นางก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ“ถ้าอย่างนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาขอดูแผลของท่านทีหลัง” ตอนแรกนางอยากจะดูแผลตรงขาของเขาเลย แต่ตอนนี้นางอยากให้เขาพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนางเดินเอาถังไม้เหม็น ๆ ออกไปทิ้งด้านนอก มองดูถังไม้ที่ดำเกินกว่าจะใช้งานได้อีก นางคิดถึงอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในคอนโด มันก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในเรื่องพวกนี้อยู่ นางเคยเอาพวกมันมาทำวิจัย โดยใช้วัสดุอื่นมาใช้ทดแทนสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน‘ถ้าข้าเอาของพวกนั้นมาใช้ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่? เพราะของสิ่งนั้นมันดีเกินกว่าที่อยู่ในยุคนี้’ซินหลินไม่คิดนานมากนัก ก็หายตัวกลับไปที่คอนโดและเอากระโถนสำหรับไว้ถ่ายหนัก กระบอกสำหรับถ่ายเบาที่ทำจากไม
Comments