“นายท่าน เด็กๆ จากหอหงไถมีเรื่องชกต่อยกับเด็กในเมืองสือเจีย ข้าน้อยตั้งใจจะไปรับท่านยายเฉินไปเจรจากับทางนั้น แต่นางไม่อยู่ในเรือนคาดว่าคงจะอยู่กับเด็กๆ ภายในหอหงไถ ข้าน้อยขอเข้าไปตามนางด้านในได้หรือไม่ขอรับ” หวังหยวนละล่ำละลักกล่าว“ชกต่อย? ร้ายแรงถึงขั้นต้องมาตามคนไปเจรจาเชียวหรือหวังหยวน” ฉีฟ่งรีบถามกลับด้วยความเป็นห่วง“จะว่าแรงก็ไม่แรง แต่ฝ่ายนั้นหน้าตาปูดบวมไปหมดและมีแผลถลอกตามตัว ส่วนทางเราก็มีข้าวของเสียหายขอรับ นายท่านทหารที่เฝ้าประตูเมืองเลยแนะนำให้หาคนไปเจรจาชดใช้ค่าเสียหายกันไปจะได้หมดเรื่อง”ฉีฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเองก็คิดเหมือนทหารหน้าประตูเมือง หากพวกตนจะแสร้งดุให้แล้วเลิกกันไปก็ทำได้ แต่หอหงไถเป็นสถานที่พิเศษซึ่งผู้คนเข้าใจผิดไปว่าทหารคอยคุ้มกันเด็กๆ อยู่ หากทำเช่นนั้นย่อมสร้างความแตกแยกไปกันใหญ่“เข้าไปเถิด รีบไปดูพวกเขาเสีย ตกใจกันแย่แล้วกระมัง”พอได้รับอนุญาตหวังหยวนก็รีบเข้าไปตามหาท่านยายเฉินด้านในทันที“ท่านอาหวัง! พวกพี่ชายกลับมาแล้วหรือขอรับ” หลินอีเห็นหวังหยวนก่อนใคร เขากับเด็กเล็กอีกหลายคนกำลังช่วยกันตัดต้นหญ้าไปเลี้ยงกระต่ายอยู่บริเวณรอบกำแพง“หลินอี พี่ข
เจียวจูเดินมาถึงร้านซาลาเปาสกุลหง นางเห็นน้องชายห้าคนจับกลุ่มกันนั่งก้มหน้าเงียบกันตามลำพัง อีกด้านก็เป็นผู้ใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นบิดามารดาของเด็กชายอีกสามคน ยืนก่นด่า ชี้หน้าเด็กชายทั้งห้าอยู่ไม่หยุดปากส่วนชาวบ้านหลายคนที่มาเกาะกลุ่มมุงดูอยู่ บ้างก็ตำหนิกลุ่มเด็กชายจากหอหงไถทำรุนแรงเกินไปและพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่าอีกฝ่าย ส่วนอีกกลุ่มก็ทำเพียงรอชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เพียงแค่ช่วยระวังไม่ให้มีการทำร้ายเด็กเพิ่มเติมกันเท่านั้นพอเจียวจ้านเห็นเป็นเจียวจูมากับน้องสาวในหอหงไถอีกสองคน เขาก็รู้สึกหวั่นใจเช่นกัน แต่เมื่อเช้าก่อนจะเข้าเมืองตนก็ได้ยินพี่สาวหลิงหลิงชักชวนท่านยายเฉินให้ออกไปหาหน่อไม้ช่วงบ่ายแล้ว ยังคิดอยู่ว่าท่านยายกับฉู่หลิงอาจจะไม่อยู่ในหอหงไถ“พี่เจียวจู พวกเราขอโทษที่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เราไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนจริงๆ นะขอรับ” เว่ยหลงรีบวิ่งมากอดร่างเล็กของเจียวจูเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวเจียวจู หวังหยวนกับเด็กหญิงอีกสองคนถึงกับต้องอึ้งตะลึงอยู่อีกพักใหญ่เมื่อเห็นสภาพข้าวของที่ล้มกระจัดกระจายภายในร้านซาลาเปา บนพื้นยังมีกระทะกับซาลาเปาสีขาวที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่อีกเป็นจำนวนมาก“ท่านลุง
“พี่ชาย ข้าขอกล่าวอะไรสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าคิดว่าข้ามีทางออกให้กับท่านและพวกเด็กๆ นะ” สตรีวัยราว 40 ปี แต่งกายดูดีก้าวออกมาจากกลุ่มคนพร้อมกับสาวใช้ของนาง เดินเข้ามาหาหงเหวินที่หน้าร้านซาลาเปา“ฮูหยินท่านนี้ ท่านรู้จักกับเด็กจากหอหงไถเช่นนั้นหรือ?” หงเหวินประเมินแล้วสตรีผู้นี้ดูท่าทางจะมีเงิน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฮูหยินหรือสาวใช้รุ่นใหญ่ในตระกูลขุนนางสักตระกูลที่คอยดูแลเด็กจากหอหงไถอยู่“ไม่ใช่ๆ ข้าก็เป็นแค่เพียงคนผ่านทาง เรื่องมันเป็นอย่างนี้ นายท่านของข้ากับครอบครัวเดินทางไปเยี่ยมคน แล้วต้องแวะพักอยู่ที่เมืองสือเจียระยะหนึ่ง พอดีบ่าวรับใช้ของพวกเราเกิดเป็นไข้ติดต่อกันหลายคน ข้ากำลังมองหาคนไปทำงานชั่วคราว เห็นว่าเด็กพวกนี้กำลังต้องการเงินก็เลยจะมาเสนองานให้น่ะ” สตรีวัยกลางคนตอบหงเหวินแต่ประโยคสุดท้ายนางเหลือบสายตามาที่กลุ่มเด็กจากหอหงไถแทน“ข้าแซ่กู้ ข้ากับครอบครัวของเจ้านายพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมวู่หลงใกล้ๆ นี่เอง ข้าจะจ่ายค่าเสียหาย 20 ตำลึงแทนพวกเจ้าไปก่อน แต่พวกเจ้าต้องมาทำงานเป็นบ่าวรับใช้ให้กับนายท่านของข้าเป็นการชดเชยเป็นอย่างไร” กู้เม่ยหันมาถามเจียวจูตรงๆ “หมายความว่าท่านจะซื้อตัวเ
หอหงไถหวังหยวนกลับมาถึงหน้าประตูหอหงไถด้วยร่างกายและหัวใจที่สั่นสะท้าน เขารับปากเด็กๆ ด้านในเอาไว้ว่าจะนำพี่น้องของพวกเขากลับมาส่งให้ได้ แต่เวลานี้..ขาไปตนรับเด็กออกไปทั้งหมด 8 คน ขากลับมีเพียงเด็ก 2 คนที่ได้กลับมาถึงหอหงไถมองเห็นทหารที่ยืนเฝ้าหน้าประตูหอหงไถเป็นประจำพากันเดินออกไปลาดตระเวนทางด้านอื่น ลมหายใจที่กลั้นเอาไว้สุดกำลังของหวังหยวนก็ค่อยพอหายใจออกมาได้บ้าง เขากลัวจะถูกตำหนิเหลือเกินแล้วที่ไม่สามารถพาเด็กๆ กลับมาได้ครบ แม้ว่าเวลานั้นตนจะไม่ได้อยู่สนับสนุนการตัดสินใจของเด็กๆ ก็ตามที“เฉาหวา อี้ฝาน ทำไมพวกเจ้ากลับมากันแค่สองคน” ฉู่หลิงถลาออกมาหาเด็กชายหญิงสองคนทันทีหวังหยวนตกตะลึงกับร่างงามที่วิ่งมาทางตนจนขาแข็ง ไม่คิดว่าพี่สาวที่เด็กๆ พูดถึงจะเป็นสตรีงดงามถึงเพียงนี้“แม่นางผู้นี้คือ?” หวังหยวนอดถามไม่ได้ สตรีงดงามเช่นนี้เมื่อสามปีก่อนย่อมต้องอยู่ในระดับดาวประจำหอเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะไม่เคยเห็น เพราะเขาเคยเข้ามารับส่งผู้คนในหอหงไถเป็นประจำ“ท่านคงเป็นท่านอาหวัง เด็กๆ พูดถึงท่านให้ข้าฟังอยู่บ่อยๆ เจ้าค่ะ ข้าฉู่หลิงเป็นหญิงพเนจรที่เด็กๆ เคยช่วยเหลือไว้ข้าไม่มีที่พึ่งพิงจึงขออาศ
เช้าวันต่อมาฉู่หลิงสวมเสื้อผ้าสีหม่นของท่านยายเฉินพร้อมทั้งใช้ผ้าคลุมศีรษะและใบหน้าปกปิดความงามที่ท่านยายเป็นกังวลแทน แล้วเดินทางเข้าเมืองสือเจียมาพร้อมกับท่านยายเฉินและหวังหยวนกันเพียงแค่สามคน “ข้าเจ็บใจจริงๆ หากข้าอยู่กับเด็กๆ ตลอดเวลาก็คงไม่ต้องเดือดร้อนกันถึงเพียงนี้แน่” หวังหยวนรู้สึกเสียใจกับความโง่เขลาของตนเองยิ่งนัก หากดึงดันพาเด็กๆ ไปศาลาว่าการให้ทหารช่วยจัดการบางทีอาจจะไม่ต้องเสียเงินมากเท่านี้ก็เป็นได้“เวลานั้นใครจะคิดอะไรทันเจ้าคะ ข้าไม่โทษท่านหรอกเจ้าคะ ยามนี้เรื่องมันเกิดไปแล้ว รื้อฟื้นไปก็เปล่าประโยชน์” ไม่ใช่ว่าฉู่หลิงไม่เจ็บใจ เด็กถูกข่มขู่ขูดรีดจากเถ้าแก่หงชัดๆ แต่เด็กก็คือเด็ก ผู้ใหญ่เสียงดังใส่เข้าหน่อยพวกเขาคงกลัวจนฉี่แทบราดไปแล้วกระมัง ยามนี้ต้องตัดใจหาเงินมาไถ่ตัวน้องๆ ออกมาก่อนจึงจะเป็นเรื่องสำคัญพอมาถึงคนทั้งสามก็เลือกสถานที่ให้ฉู่หลิงวางตะกร้าขายกระต่ายป่าที่ชำแหละมาเรียบร้อยพร้อมกับขนกระต่ายแล้วให้นางนั่งขายอยู่คนเดียว ส่วนหวังหยวนก็พาท่านยายเฉินไปหาลูกค้าเก่าที่นางเคยขายตะเกียงให้อีกทางหนึ่งเพื่อนำตะเกียงและกรอบใส่ภาพวาดไปขายอีกทางกว่าจะขายของทั้งหมดแล
“ข้าฉู่หลิง” หญิงสาวปลดผ้าคลุมศีรษะที่พันพาดครึ่งหน้าเอาไว้ด้วยออก เผยให้เห็นดวงหน้างามหมดจดที่ทำให้บุรุษสี่คนผู้มาใหม่ถึงกับต้องสูดหายใจเข้าด้วยความตื่นตะลึง“ข้าเป็นหญิงพเนจรไร้ญาติ หลายเดือนก่อนถูกคนรังแกในป่าแล้วเด็กจากหอหงไถก็เข้าไปช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน ตั้งแต่นั้นข้าจึงเข้ามาอยู่ในหอหงไถร่วมกับเด็กๆ แล้วช่วยพวกเขาสร้างอาชีพจนเป็นว่าเด็กๆ ต้องเข้ามาเสี่ยงภัยอยู่นอกหอหงไถจนเกิดเรื่องในวันนี้เจ้าค่ะ”มู่เจียเหยียนรู้ตัวว่าเสียอาการไปก็รีบหลุบตาต่ำย้ายสายตาออกจากใบหน้างามไปอย่างรวดเร็ว สรุปแล้วในสามคนนี้ดูเหมือนผู้รับผิดชอบใกล้ชิดกับเด็กในหอหงไถมากที่สุดย่อมเป็นแม่นางฉู่ เขาจึงหันมาสอบถามเรื่องราวจากฉู่หลิงโดยตรง โดยมีหวังหยวนคอยช่วยให้การเสริมในส่วนที่ตนรู้เห็น “เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านกลับไปก่อนเถิด ทางการจะติดตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ได้ข่าวแล้วจะส่งคนไปแจ้งพวกท่านที่หอหงไถ ส่วนเถ้าแก่ร้านซาลาเปาสกุลหง ข้าจะจัดการคาดโทษเขาเอาไว้ หากเขามีน้ำใจสักนิดเรื่องมันคงไม่ลุกลามใหญ่โตไปถึงเพียงนี้”“มือปราบมู่ ข้าอยากติดตามท่านไปสืบความด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ กลับไปข้าก็คงร้อนใจอยู่ไม่สุขเป็นแน่
กว่าจะวาดภาพเหมือนของบุรุษต้องสงสัยออกมาจนครบหกคนฟ้าก็มืดลงแล้ว แต่บริเวณโรงเตี๊ยมวู่หลงยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ได้ข่าวเรื่องเด็กหาย หลายคนอยู่ในเหตุการณ์หน้าร้านซาลาเปาสกุลหลี่ก็รู้สึกเจ็บใจที่พวกเขาต่างก็กลายเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจและมาร่วมแสดงความเสียใจกับฉู่หลิงแต่ก็มีไม่น้อยที่เดินทางออกจากบ้านเรือนมาเพื่อชมความงามของหญิงสาวจากหอหงไถนามฉู่หลิงเป็นการเฉพาะ……….เช้าวันต่อมาภาพวาดของเด็กๆ และบุรุษทั้งหก รวมทั้งกู้เม่ยกับสาวใช้ก็ถูกปิดประกาศไปทั่วเมือง ทหารส่งกองกำลังออกมาค้นหาเด็กๆ ตามที่สถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ร้านซาลาเปาสกุลหงที่มีเรื่องมีราวกับเด็กๆ ข้าวของที่หงเหวินบรรจงจัดเก็บให้เป็นระเบียบตามเดิมเวลานี้ถูกทหารจงใจรื้อค้นให้กระจัดกระจายไม่มีชิ้นดี มู่เจียเหยียนยังว่ากล่าวตักเตือนหงเหวินและภรรยาอีกหลายประโยค จนเขาร้อนตัวกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่ ต้องรีบเอาเงินค่ารักษาส่วนของบุตรชายและภรรยามาคืนให้กับฉู่หลิง“มีข่าวแล้วขอรับใต้เท้า มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งกล่าวว่าได้พบกับบุรุษในภาพสองคน เวลานี้พวกเขาอยู่ที่ศาลาว่าการแล้วขอรับ” ทหารหนุ่มวิ่งเข้ามารายงานกับมู่เจียเหยี
เช้าวันที่สามหลังจากที่เด็กๆ หายตัวไป ฉู่หลิงก้าวขึ้นรถม้าหน้าศาลาว่าการเมืองสือเจียไปด้วยท่าทางอิดโรย เบ้าตาทั้งสองข้างช้ำบวมจากการผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงเกือบทั้งคืน “เจ้าติดตามพวกเราตลอดไปไม่ได้ เด็กๆ ที่เหลือยังต้องการคนดูแล วางใจเถิดเรื่องน้องของพวกเจ้าทางการจะไม่ปล่อยให้เงียบหายไปอย่างแน่นอน” มู่เจียเหยียนส่งหญิงสาวขึ้นรถม้าเพื่อให้คนพาไปส่งที่หอหงไถหลังจากที่พบศพกู้เม่ยและสาวใช้ของนางแล้ว ท่านเจ้าเมืองก็ส่งกำลังทหารออกไปค้นทั่วทุกตรอกซอกซอยภายในเมืองสือเจียเพื่อตามหาเด็กๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ค้นหากันมาทั้งวันทั้งคืนกลับไม่พบร่องรอยของเด็กๆ กอปรกับอู่จั้ว (เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ) ระบุออกมาแล้วว่ากู้เม่ยและสาวใช้ของนางเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน นั่นหมายความว่าพวกนางถูกสังหารทันทีที่พาเด็กๆ มาถึงเรือนพักแห่งนั้น และยังเป็นไปได้ว่ากลุ่มบุรุษต้องสงสัยอาจจะเดินทางออกนอกเมืองไปตั้งแต่เช้า ในขณะที่ชาวเมืองยังเข้าใจว่าเด็กๆ ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมวู่หลง และฉู่หลิงยังคงนั่งขายเนื้อกระต่ายเพื่อรวบรวมเงินมาไถ่ตัวเด็กอยู่ทหารเฝ้าประตูเมืองพากันมาดูภาพวาดของเด็กและคนร้าย
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก
แต่แล้วใบหน้าที่ค่อยๆ ซีดขาวลงไปทุกทีของผู้พิทักษ์ทั้งสามก็ต้องแตกตื่นตกใจในทันทีที่ตนหลั่งโลหิตใส่ถ้วยครบทั้ง 13 ใบ เด็กชายหญิงที่ดูสดใสไร้เดียงสา คว้าเอาถ้วยบรรจุของเหลวสีแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้งขึ้นไปดื่มอักๆ ไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อดื่มเสร็จยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าเลือดของผู้พิทักษ์จะแตกต่างกับเลือดกระต่ายที่เจียวจูดื่มทุกวันอย่างไรบ้าง “ข้าว่าต้องหวานกว่าเลือดกระต่ายแน่นอน ข้าดมอยู่ทุกวันเลือดกระต่ายเหม็นคาวกว่านี้หลายเท่าตัว” เจียวจ้านเช็ดเลือดที่มุมปากออกแล้วออกความเห็นเป็นคนแรก“กระต่ายน่ารักกว่าพี่ชายท่านนี้ตั้งเยอะ ข้าว่าเลือดกระต่ายน่าจะอร่อยกว่านะ” ไป๋ซุนตัวน้อยเบ้หน้าเล็กน้อยแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับพี่ชายใหญ่“แต่ข้าว่า..” หลินอีกำลังจะติเตียนอะไรบางอย่างแต่ถูกโจวเฉิงยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อน“พอที! พวกเจ้าสมควรเป็นน้องของนางจริงๆ” ไม่ต้องมีใครถามก็รู้ว่าผู้ตรวจการโจวกำลังกล่าวพาดพิงถึงผู้ใด เขากับฉู่หลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่มีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ“พวกเราต้องพัก การหลั่งโลหิตของพวกเราทำให้พวกเราเสียพลังและอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง” โจวเฉิงผุดลุกขึ้นยืน ร่างสูงโอนเอนเล็กน้อยจนเจียวจ้า
พลังของผู้พิทักษ์สายเลือดแท้ของโจวเฉิง เมื่อเข้าใกล้มายังกลุ่มปีศาจดูดเลือดที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งก็กดข่มพลังของปีศาจดูดเลือดระดับต่ำไว้ได้ส่วนหนึ่งจนพวกมันรู้สึกตัวกลุ่มของฉู่หลิงและพวกทหารที่กลายมาเป็นปีศาจดูดเลือดก็รับรู้ได้ถึงการมาของโจวเฉิงและพรรคพวกของเขาอีกสองคนเช่นกัน แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนถูกกัดจากฉู่หลิงทั้งสิ้นจึงมีความต้านทานสูงกว่าพวกระดับต่ำ“ถอยกลับเข้าไปในกำแพง ทางด้านนอกนี้ปล่อยให้ผู้พิทักษ์จัดการ พวกเขาแข็งแกร่งมาก!” ฉู่หลิงรีบร้องเตือนพรรคพวกของตนให้กลับเข้าไปจัดการปีศาจดูดเลือดที่หลุดรอดเข้าไปในจวน นางต้องพาทุกคนออกไปให้ไกลจากโจวเฉิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ภายในจวนฝ่ายชาวบ้านกับทหารที่ยังไม่ถูกกัดสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ฉู่หลิงก็พาปีศาจดูดเลือดทุกคนที่นางเพิ่งกัดหนีเข้าไปในป่า ตั้งใจจะไปตั้งหลักที่อุโมงค์เพื่อรอดูท่าทีกันก่อนโจวเฉิงและพรรคพวกเข้าร่วมการต่อสู้กับทหารและชาวบ้านที่ยังคงสภาพเป็นมนุษย์อยู่อีกพักใหญ่ พวกปีศาจดูดเลือดก็เริ่มแตกกระจายหลบหนีไปได้บ้าง ส่วนที่ถูกสังหารจบดับสิ้นก็มีไม่น้อย“เจ้าสองคนออกไปดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจ เมื่อครู่เราสังหารได้เพียง
เมื่อท้องฟ้าสิ้นแสงตะวัน เวลานี้ผู้คนในจวนผู้ตรวจการพิเศษทั้งหมดจึงได้เห็นกับตาว่าฉู่หลิงไม่ได้คิดไปเอง ปีศาจดูดเลือดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่พวกเขาแข็งแรงกว่าและมีเขี้ยวยาวพยายามบุกเข้ามาภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษเป็นจำนวนมาก“เล็งไปที่หัวใจ! ตัดคอมัน!” มู่เจียเหยียนตะโกนก้องระหว่างที่ทหารและชาวบ้านข่มกลั้นต่อความหวาดกลัวและพยายามเอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นร่างของ ฉู่หลิง หวังหยวน ท่านยายเฉิน และเด็กกลุ่มหนึ่งที่มองแทบไม่ออกว่าคือใครบ้างพุ่งโจมตีด้วยความรุนแรงไปที่อีกฝ่ายแต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือคนกลุ่มนี้มีเขี้ยวเล็บไม่ต่างจากปีศาจดูดเลือดที่ดาหน้าเข้ามาโจมตีจวนผู้ตรวจการไม่มีผิด แต่ทุกคนแข็งแรงกว่ากระโดดได้สูงกว่าอีกฝ่ายมากนักและยังไม่ได้โจมตีมนุษย์ แต่กำลังเร่งกำจัดปีศาจดูดเลือดเช่นเดียวกันกับพวกเขา“แม่นางฉู่ หวังหยวน ท่านยาย..” มู่เจียเหยียนตกตะลึงอย่างหนัก เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลายร่างที่กำลังปกป้องผู้คนในจวนผู้ตรวจการเอาไว้เต็มกำลังทหารและชาวบ้านเองก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ายามนี้พวกตนเป็นเพียงแค่มดปลวกตัวจ้อย ทหารยังพอทำเนาพวกเขาใช้อาวุธกันได้คล่องมือพ