“ฉันเดาว่าอย่างมากก็คงเหลือครึ่งตัว”“ฝันไปเถอะ ฉันว่าเหลือสักหนึ่งในสามก็เก่งแล้ว”……หลินปิงมองจระเข้สิบกว่าตัวที่กำลังรุมกัดแทะและพุ่งชนเย่ซิวอย่างบ้าคลั่ง ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเธอคิดในใจว่าอีกไม่นานแกก็จะถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน!ทว่าภาพที่ทุกคนเห็นว่าเย่ซิวตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นอีกฉากหนึ่งเลยจระเข้สายเลือดบรรพกาลเหล่านี้กัดลงบนร่างของเย่ซิว ราวกับกำลังกัดแทะอยู่บนแท่งเหล็กเทวะคมเขี้ยวที่เคยใช้ได้ผลเสมอของพวกมัน พอสัมผัสกับร่างของเย่ซิว ประกายไฟก็แตกกระจาย ฟันของพวกมันแทบจะหักบิ่นการพุ่งชนร่างของเย่ซิวก็เหมือนกับการพุ่งเข้าใส่ภูผาเทพบรรพกาล ไม่ได้สร้างความเสียหายให้เย่ซิวมากนัก แต่กลับทำให้พวกมันมึนหัวตาลายเสียเองจระเข้เหล่านี้ต่างร้อนรนเป็นอย่างยิ่งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเย่ซิวทำให้พวกมันยิ่งคลั่งสัญชาตญาณบอกพวกมันว่าถ้าได้กลืนกินเย่ซิวเข้าไป พลังของพวกมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอนแต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันของเย่ซิวได้เลยพวกมันเหมือนกับชายโสดที่ครองพรหมจรรย์มายี่สิบปี เห็นโฉมสะคราญอยู
จากการซักถามของเย่ซิว เจี้ยนจีก็ได้บอกถึงความสามารถพิเศษอันทรงพลังสองอย่างที่เธอมีลอบเร้นในเงา!สรรพสิ่งแปรเป็นกระบี่!อย่างแรกเจี้ยนจีสามารถลอบเข้าไปใกล้ศัตรูได้อย่างเงียบเชียบ แล้วระเบิดพลังสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างที่สองภายในขอบเขตที่กำหนด ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นดาบวิเศษได้ เสมือนเป็นการมอบชีวิตใหม่ให้กับสิ่งเหล่านั้นยกตัวอย่างเช่น อีกฝ่ายกำลังดื่มชาอยู่ในระยะที่กำหนด เจี้ยนจีสามารถเปลี่ยนน้ำชาที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่มเข้าไปให้กลายเป็นปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว ทำลายศัตรูจากภายในได้นี่มันคือสุดยอดวิชาสำหรับลอบทำร้ายและลอบกัดโดยแท้เย่ซิวพึงพอใจอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการต่อสู้ซึ่งหน้าหรือการลอบสังหารของเจี้ยนจี ล้วนอยู่ในระดับสูงสุดทั้งสิ้นถ้าเหลิ่งเฟิงรู้ว่ามีเจี้ยนจีอยู่บนโลก เกรงว่าเขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงเธอไปแน่เธอยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งคือ ในเวลาปกติ เจี้ยนจีสามารถแปลงร่างเป็นเส้นผมหนึ่งเส้น ซ่อนตัวอยู่บนศีรษะของเย่ซิวได้โดยเธอจะไม่มีการปลดปล่อยคลื่นพลังงานใด ๆ ออกมาเลย ไม่ต่างอะไรกับเส้นผมธรรมดาซึ่งในยามคับขันก็สามารถส
ดวงตาของเขาเป็นประกายผู้พิทักษ์กระบี่คนนี้ดูแล้วมีพลังแข็งแกร่งมากจากนั้นเธอก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเย่ซิว “คารวะนายท่าน”เย่ซิวประคองเธอให้ลุกขึ้นแล้วยิ้ม “เธอมีชื่อหรือยัง”“ไม่มีชื่อเจ้าค่ะ นายท่านช่วยมอบนามให้ด้วย”เย่ซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้ งั้นต่อจากนี้ไปเธอชื่อเจี้ยนจีแล้วกัน”“ขอบคุณนายท่านที่มอบนามให้”“ตอนนี้พลังของเธออยู่ระดับไหนแล้ว?”น้ำเสียงของเจี้ยนจีเย็นชาราวกับน้ำแข็งไม่ใช่ว่าเธอไม่พอใจอะไรเย่ซิว แต่เป็นเพราะธรรมชาติของเธอเป็นเช่นนั้น“เรียนนายท่าน ตัวตนอย่างพวกเราสามารถแบ่งระดับได้เป็น ต่ำ กลาง สูง สุดยอด และระดับสีทองเนื่องจากโลหิตของนายท่านมีระดับสูงมาก ข้าน้อยจึงเป็นระดับสีทองสูงสุดพลังของข้าน้อยจะเชื่อมโยงกับนายท่าน นายท่านแข็งแกร่งเพียงใด ข้าน้อยก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น”เย่ซิวประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้แต่สิ่งที่ทำให้เย่ซิวตกใจยิ่งกว่าคือ เจี้ยนจีสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งกระบี่ขึ้นมาได้การหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งกระบี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยวาสนา ความพยายาม และปัจจัยอื่น ๆ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
เสียงกรีดร้องโหยหวนและเจ็บปวดดังก้องอยู่ในห้องนานกว่าสองชั่วโมง ก่อนจะค่อย ๆ เงียบหายไปจากนั้นเย่ซิวก็สลายค่ายกล แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบหลินปิงรีบเผ่นหนีออกไปอย่างลนลานศิษย์หญิงที่อยู่ข้างนอกถึงได้รีบพุ่งเข้ามาเมื่อเห็นเย่ซิวนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสบาย ๆ พวกเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี“พวกเธอบุกเข้ามาทำอะไร?” เย่ซิวทำท่าทางราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่ “ออกไปให้หมด”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบารมีอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเย่ซิว หรือเพราะก่อนที่หลินปิงจะจากไปไม่ได้สั่งให้พวกเธอลงมือกับเขาพวกเธอจึงได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็ยอมถอยออกไปอย่างว่าง่ายพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อยอีกด้านหนึ่ง หลินปิงลากสังขารที่บาดเจ็บของตนมายังสถานที่ที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดของสำนักศตะบุปผา แล้วคุกเข่าลงที่หน้าประตูใบหน้าของเธออาบไปด้วยน้ำตา “ท่านอาจารย์ โปรดให้ความเป็นธรรมกับศิษย์ด้วย ไอ้คนที่ชื่อเย่ซิวมัน...มัน...”ภายในห้องเงียบสนิท ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะมีเสียงเย็นชาดังขึ้นมา“รู้แล้ว ออกไปได้”หลินปิงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอาจารย์ เย่ซิวมันทำกับศิษย์ขนาดนั้น อาจารย์จะปล
ทันใดนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือขวาออกไปหาเธอ ในฝ่ามือเกิดแรงดูดมหาศาลร่างของหลินปิงลอยถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเธอยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ร่างก็ตกอยู่ในมือของเย่ซิวแล้วหลินปิงโกรธจัด “คุณจะทำอะไร? ปล่อยฉันนะ!”พูดพลางแส้ยาวก็ปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง เธอตวัดมันกลับหลังฟาดไปยังเย่ซิวอย่างแรงเย่ซิวคว้าแส้นั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็แย่งมันมาจากมือของหลินปิงได้ส่วนมืออีกข้างก็บีบเข้าที่ต้นคอเธอ“จู่ ๆ ก็ตีฉันเกินมาเป็นร้อยที แล้วคิดจะจากไปง่าย ๆ แบบนี้เหรอ”“ฉันตีแล้วจะทำไม นายจะทำอะไรฉันได้!” หลินปิงจ้องเย่ซิวเขม็ง “ถ้ากล้าแตะต้องฉันก็ลองดูสิ รับรองว่านายได้เจอดีแน่!”เย่ซิวหัวเราะออกมาเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเธอเลย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับลงมืออำมหิต ถือโอกาสล้างแค้นส่วนตัวไม่พอ ยังจะมาอวดดีอีก คิดว่าเขาเป็นพวกยอมคนหรือไง!การยอมอ่อนข้อให้ตลอดไม่ใช่สไตล์ของเย่ซิวเขาโยนแส้ยาวในมือทิ้งไป แล้วใช้มือนั้นคว้าคอเสื้อของหลินปิงไว้ ก่อนจะออกแรงกระชาก“รนหาที่ตาย!”ในดวงตาของหลินปิงปลดปล่อยจิตสังหารที่ท่วมท้นออกมา พยายามดิ้นรนให้หลุดจากการควบค
เย่ซิวจ้องหลินปิงอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ไหนบอกว่าผมเป็นคนที่อาจารย์ของคุณต้องการตัวไม่ใช่เหรอ คุณกล้าทำอะไรผมรึไง?”หลินปิงแค่นเสียงเย็นชา “นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์เอง ถ้าคุณอยากจะพบท่าน อยากมีคุณสมบัติพอที่จะปรนนิบัติท่าน ก็ต้องผ่านบททดสอบทั้งสามข้อตามที่ท่านตั้งไว้ให้ได้เสียก่อน”เย่ซิวส่ายหน้า “ผมไม่สนใจจะปรนนิบัติเธอหรอก อันที่จริง ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะได้เจอเธอรึเปล่า”“เรื่องนี้คุณตัดสินใจเองไม่ได้ ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าถ้าไม่ผ่านบททดสอบทั้งสามข้อ ก็ไปตายซะ”เย่ซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้วบททดสอบแรกคืออะไรล่ะ?”หลินปิงก้มลงมองแส้ในมือของเธอบนพื้นผิวของแส้เส้นนี้เต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่สะท้อนแสงเย็นเยียบ“นี่คือสมบัติเวทมนตร์ชั้นเลิศ สร้างขึ้นจากเส้นเอ็นของมังกรเจียวที่มีอายุกว่าหนึ่งพันปีจากนั้นนำไปแช่แข็งในดินแดนที่หนาวเหน็บที่สุดเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แล้วแช่ในยาพิษนับหมื่นชนิดอีกห้าสิบปีไม่ใช่แค่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อร่างกาย แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อจิตวิญญาณด้วยถ้าคุณทนการเฆี่ยนของฉันได้ครบหนึ่งพันครั้ง ก็ถือว่าคุณผ่านบททดสอบแรก”เย่ซิวพยักหน้าแล้ว