เพียงแต่ครั้งนี้ตระกูลของเธออาจประสบปัญหาหรือถึงกับตกต่ำลงพวกเขาไม่ควรใช้ประโยชน์จากลู่เสวี่ยเอ๋อร์เขารู้จักลู่เสวี่ยเอ๋อร์มากได้ช่วงระยะหนึ่ง เขามีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเด็กสาวที่ใจดี สวยและอ่อนโยนแบบเธอความตั้งใจเดียวของลู่เสวี่ยเอ๋อร์คืออยากทะลวงไปถึงจอมยุทธระดับเก้า เพราะฉะนั้นเย่ซิวจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายความตั้งใจของเธอเด็ดขาดถ้าใครกล้ามาทำลาย ก็คงมีแต่นรกเท่านั้นที่รอพวกเขา แม้แต่พญายมมัจจุราชก็ช่วยไม่ได้“แสดงว่าคุณก็ไม่อยากแต่งกับผู้ชายคนนั้นใช่ไหม?”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า “ใช่ ฉันไม่อยากแต่งกับเขา ฉันชอบแค่นาย เย่ซิว ทั้งชาตินี้ฉันคงชอบผู้ชายคนไหนไม่ได้อีกแล้ว”เย่ซิวเผยรอยยิ้มออกมา “ขอแค่คุณบอกมาว่าคุณไม่ยินยอมก็พอ จะไม่มีใครหน้าไหนมาบังคับในสิ่งที่คุณไม่อยากทำได้ ผมรับประกันได้เลย!”ตอนนี้ลู่เสี่ยวเอ๋อร์ยังไม่เข้าใจพลังในคำพูดของเย่ซิวสักเท่าไรนัก เธอคิดว่าเย่ซิวแค่พูดปลอบใจเธอเท่านั้นเธอไม่รู้ว่าเย่ซิวเป็นถึงจอมยุทธขั้นสูงสุดระดับเก้าเพียงคนเดียวของประเทศหลงเถิงพลังที่เขามีนั้นทรงพลังมากกว่าตระกูลที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีเสียอีกยิ่งไม่ต้องพูดถึงอำนาจ เขาได้ก
ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายขณะมองตรงไปที่เย่ซิว “นายเข้ามานี่สิ”น้ำเสียงหวานนุ่มนวลหลังจากที่ได้รับการรักษาจากเย่ซิว หยินหยางของเธอก็กลับมาสมดุล ทำให้เธอนอนหลับสนิทหลังจากที่เธอตื่นขึ้น ก็พบว่าเย่ซิวไม่อยู่แล้ว เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเธอรีบสวมใส่เสื้อผ้า ทันทีที่เปิดประตูก็พบเย่ซิวเย่ซิวกำลังจะทำให้เธอหมดสติอีกครั้ง แต่ก็คิดได้ว่าเธอเป็นแม่ของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถ้าเขาเดินจากไป อีกฝ่ายต้องไปหาหัวหน้ารักษาความปลอดภัยคนนั้นอีกแน่ ผลกระทบคงไม่ดีต่อตัวเองและลู่เสวี่ยเอ๋อร์เมื่อคิดได้แบบนี้ เย่ซิวจึงตามเธอเข้าไปในห้องเขากดเธอจนมุมแล้วใช้วิธีเดียวกันกับครั้งก่อน จากนั้น...หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง อีกฝ่ายก็ทรุดตัวลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง เย่ซิวได้เอ่ยกับเธอว่า “จำไว้นะครับครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีก”หญิงสาวตกตะลึง ทันใดนั้นก็คิดได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงของหัวหน้ารักษาความปลอดภัย“นี่นายเป็นใคร?!”เย่ซิวหันกลับมาถอดหน้ากากลงแล้วทิ้งไว้ที่ข้าง ๆ หญิงสาว จากนั้นก็ทุบหน้าต่างแล้วหนีออกไปทำไมเธอถึงคิดไม่ได้ ว่าผู้ชายที่สัมผัสใกล้ชิดกับตัวเองตั้งสองครั้ง ไม่ใช่ผู้ชายที่ตัวเองคุ้นเคยเธอ
“คุณทั้งสองต้องการซื้อที่ดินผืนไหนครับ?”เย่ซิวเอ่ยตอบว่า “ผมจะซื้อที่ดินของทางตอนเหนือทั้งหมด”“อ้อ ได้เลยครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า แต่ทันใดนั้น ก็เบิกตากว้างขึ้น “คุณว่าอะไรนะครับ? ผมได้ยินไม่ชัด!”โชคดีที่เขาอยู่ในห้องสำนักงาน ถ้าหากอยู่ข้างนอกแล้วมีใครเห็นเขาทำตัวไม่เหมาะสมแบบนี้ จะต้องส่งผลกระทบต่อความน่าเกรงขามของเขาอย่างแน่นอนเย่ซิวยิ้มและพูดซ้ำอีกครั้งอีกฝ่ายไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจที่ได้ยิน แต่กลับมองเย่ซิวด้วยความสงสัย“แต่พวกคุณสองคนครับ ที่ดินตรงนั้นเป็นยังไงพวกคุณก็น่าจะรู้ดี ขืนพวกคุณซื้อทั้งหมดนั้นจะขาดทุนย่อยยับแน่ ๆ หรือว่าพวกคุณรู้ข้อมูลบางอย่างจากวงในหรือเปล่าครับ?”หูเหมยเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ เคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะ “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ? แม้แต่คุณที่ทำงานอยู่ที่นี่ยังไม่รู้ แล้วพวกฉันจะไปรู้เหรอคะ?”อีกฝ่ายก็คิดตาม แต่เขาก็ยังไม่หายสงสัย “ถึงแม้ที่ดินตรงนั้นจะไม่มีค่า แต่การที่จะซื้อทั้งหมดก็ต้องใช้เงินหลายแสนล้าน ผมไม่เชื่อว่าคุณทั้งสองคนจะยอมเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์”คนที่สามารถมาถึงตำแหน่งนี้ได้ แน่นอนว่าต้องมีสติปัญญาดีและจะต้องไม่ถูกหลอกได้ง่าย ๆ สำหรับความ
ทันใดนั้น สีหน้าของเย่ซิวก็เปลี่ยนไปที่ใต้โต๊ะขาของหูเม่ยเอ๋อร์ยื่นไปข้างหน้าและกำลังถูไถไปมาบนขาของเขาเบา ๆ แต่ใบหน้าเธอกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเย่ซิวใช้สายตาบอกให้เธออย่าทำตัวล้ำเส้นแต่หูเม่ยเอ๋อร์กลับกระพริบตาอย่างไร้เดียงสาเธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร และเท้าของเธอกลับถูแรงมากยิ่งขึ้นในตอนแรก เธอใช้แค่ปลายรองเท้า แต่จู่ ๆ เธอก็ถอดรองเท้าออกวันนี้เธอใส่ถุงน่อง เธอค่อย ๆ ถลกขากางเกงของเย่ซิวขึ้นความรู้สึกที่ถุงน่องสัมผัสกับผิวหนังนั้นพิเศษมากเจ้าหน้าที่เหล่านั้นกำลังคำนวณอย่างตั้งอกตั้งใจว่าที่ดินทั้งหมดเป็นราคาเท่าไรไม่มีใครสังเกตการเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองที่กำลังเกิดขึ้นใต้โต๊ะเลยหูเม่ยเอ๋อร์รุกหนักมากยิ่งขึ้น เรียวขาสวยคู่นั้นค่อย ๆ ขยับสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่เย่ซิวเตือนเธอหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล เขาจึงยื่นขาออกไปอย่างเด็ดขาดทันใดนั้น เขาก็ใช้ขาทั้งสองข้างกดเท้าของหูเม่ยเอ๋อร์ที่ยื่นเข้ามา ทำเอาเท้าของอีกฝ่ายสั่นไหวเล็กน้อยเธอพยายามใช้แรงดิ้นให้หลุดออกแต่แน่นอนว่าถ้าเทียบในเรื่องพละกำลัง เธอไม่สามารถหลุดพ้นจากการกดของเย่ซิวได
หูเม่ยเอ๋อร์ดิ้นรนอีกครั้งเพื่อพยายามดึงขาของเธอออกมาแต่ก็ยังคงไม่เป็นผลเธอถึงกับรู้สึกหมดหวัง ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะกลายเป็นธารน้ำพุที่ไหลออกมา “นี่คุณดูหน่อยสิ…บะ…บางทีอาจจะเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ถะ…ถ้าพลาดไป คะ…คงไม่ดีแน่”โชคดีที่เจ้าหน้าเหล่านั้นกำลังตั้งใจทำงาน ไม่อย่างนั้นการกระทำของทั้งสองคนคงถูกจับได้ไปแล้วเย่ซิวแกล้งเธออยู่สักพัก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่เธอส่งมา‘นายน้อยฉันผิดไปแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ทำอีกแล้ว คุณช่วยปล่อยฉันไปเถอะนะ?’ผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลส่งข้อความมาด้วยถ้อยคำแบบนี้ หากเป็นผู้ชายทั่วไปย่อมต้านทานไม่ไหว แม้แต่เหล็กที่แข็งแกร่งก็ต้องโอนอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกลนไฟเย่ซิวหัวเราะ เขาคิดว่าลงโทษเธอสักเล็กน้อยก็พอ ไม่ได้ตั้งใจให้เธอขายหน้าต่อหน้าสาธารณชนจริง ๆ เขาจึงยอมปล่อยเท้าของเธอหูเม่ยเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอรีบใส่รองเท้าให้เร็วที่สุดเธอสูดหายใจลึก ๆ สองสามครั้ง รอยแดงบนใบหน้าก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเธอมองเย่ซิวด้วยสายตาโหดเหี้ยม จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อีกครั้งไม่นาน เย่ซิวก็ได้รับข้อความจากเธออีกครั้ง‘นายน้อย
เย่ซิวรู้สึกงงงัน “เธอเป็นอะไร? ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงร้องไห้?”หลิวเมิ่งอิ๋นร้องไห้ดังมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำถามของเขา “พี่ไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไร?”“แฟน? ฉันไม่มีแฟนนะ”“แล้วรอยลิปสติกบนหน้าพี่มันหมายความว่าอะไร ?” หลิ่วเมิ่งอิ๋นพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ”ในเมื่อพี่มีแฟนแล้ว เพื่อไม่ให้เธอเข้าใจผิด ฉันจะไปเอง ไปตอนนี้เลย”พูดจบ เธอก็หันกลับเข้าไปในห้องแล้วเก็บกระเป๋าเย่ซิวหัวเราะ แล้วเดินตามเข้าไป เขาจับมือเล็ก ๆ ของเธอ“แล้วเธอจะไปที่ไหน? คืนนี้ฉันไปดื่มเหล้ากับเพื่อนมาน่ะ เธอเมามาก จากนั้นก็…”เมื่ออธิบายเรื่องราวโดยพอสังเขป หลิวเมิ่งอิ๋นก็ทำท่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงเหรอ? นี่พี่ไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”เย่ซิวพยักหน้า “จริงสิ ถ้าเธอไม่เชื่อฉันจะพาเธอไปดู”เธอจูงมือของหลิ่วเมิ่งอิ๋นไปห้องที่หลิ่วอวี้เอ๋อร์นอนหลับ เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ทำเอาสองคนที่อยู่หน้าประตูยืนนิ่งทันทีหลังจากดื่มเหล้าเข้าไป หลิ่วอวี้เอ๋อร์รู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งตัวและรู้สึกร้อนรุ่มดังนั้นเธอจึงเปิดผ้าห่ม ก้าวลงจากเตียงและกำลังถอดเสื้อผ้า
เย่ซิวมีร่างกายที่ทนทานต่อพิษทุกชนิดมาโดยตลอดเมื่อสัตว์พวกนั้นเห็นเย่ซิว พวกมันต่างก็หลบหนีไปไกล เมื่อพวกมันสัมผัสได้ว่า เขาสามารถทนทานต่อพิษทุกชนิดได้เมื่อเข้าไปในป่าลึกได้ชั่วโมงกว่า แม้ว่าเย่ซิวจะยังไม่พบดอกบัวสีเลือด แต่เขาก็ได้พบสมุนไพรที่ค่อนข้างหายากบางชนิดเฉกเช่น โสมที่มีอายุมากกว่าห้าสิบปีโสมที่มีอายุห้าสิบปีนี้สามารถบำรุงพลังงานและเลือดของจอมยุทธได้ดีทีเดียวนอกจากนั้นยังมีเห็ดหลินจืออีกหลายดอกที่มีอายุร่วมสามสิบปีถึงสี่สิบปีเขาเข้าไปในป่าที่ลึกยิ่งขึ้น หลังจากผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมง เย่ซิวก็หยุดพักเขาดับไฟฉายลงเมื่อเขาใช้กำลังภายในหมุนเวียนไปที่ดวงตา วิสัยทัศน์ของเขาก็ขยายออกอย่างรวดเร็วทันทีเขามองเห็นถ้ำอยู่ห่างออกไปราว ๆ สองพันเมตรและที่ปากถ้ำมีดอกบัวสีเลือดกำลังพลิ้วไหวตามลม!เย่ซิวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าดอกบัวสีเลือดมีอยู่จริง และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ถูกเก็บไปยิ่งไปกว่านั้น จากที่เขามองเห็น ดอกบัวสีเลือดต้นนี้มีอายุยาวนานมาก น่าจะมีอายุราว ๆ เจ็ดสิบถึงแปดสิบปีเครื่องยาสมุนไพรที่มีอายุเท่านี้ถึงจะเป็นชนิดธรรมดา แต่พลังยาในตัวก็ไม่ได้ด
เธอคิดอยากจะวิ่งหนีไปแต่ร่างกายกลับไม่ฟัง เธอไม่สามารถขยับตัวได้เลยงูเหลือมยักษ์ยังคงเลื้อยอยู่บนภูเขา มันแค่ใช้สายตาที่เย็นยะเยือกมองไปที่เธอโดยไม่ได้ทำการโจมตีมันฉลาดเฉลียวมาก มันคิดว่าสาวคนนั้นอาจจะพยายามหลอกล่อให้มันออกจากภูเขา โชคดีที่ความฉลาดของมันนั้นสูง ถ้ามันทำตามสัญชาตญาณของมัน มันอาจจะโจมตีเด็กสาวคนนั้นจนเธอตายก็ได้เย่ซิวไม่ได้เข้าไปช่วยเธอ เขากับเธอไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เขาคงไม่เสี่ยงเพื่อช่วยเด็กสาวที่โง่เง่านั่นหรอก“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นดอกบัวสีเลือดจริง ๆ ด้วย!”“ฉันนี่เดาถูกจริง ๆ คนแก่นั่นรู้จริง ๆ ว่าดอกบัวเลือดอยู่ที่ไหน!”“รวยแล้ว ฉันจะรวยแล้ว!”ในตอนนี้ เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งแล้วก็เห็นกลุ่มคนสิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้นในนั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง อายุของพวกเขาส่วนใหญ่เกินสามสิบปี และมีสองคนที่อายุหกสิบกว่าปีพวกเขามีอุปกรณ์เต็มตัว พวกเขามองไปที่งูเหลือมยักษ์ด้วยความโลภ“งูเหลือมยักษ์นั่นอย่างน้อยก็ต้องมีอายุสองร้อยปี ทั้งตัวของมันเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ!” ผู้ชายคนหนึ่งเลียริมฝีปากในขณะที่สายตาแสดงถึงความโลภ“เลือดของงูน
“รู้…แล้ว...”เฉินเยียนจือตอบเสียงแผ่วเบาอย่างที่ใคร ๆ ว่ากันไว้ คนเลวต้องเจอกับคนที่เลวยิ่งกว่า คนแบบเธอ มีแต่ต้องเจอคนที่โหดเหี้ยมกว่าเท่านั้น ถึงจะถูกกำราบอยู่หมัด“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ลองเรียกคำว่านายท่านให้ฉันฟังหน่อยสิ”เย่ซิวไม่ได้หลงเชื่อว่าเธอจะยอมสยบง่าย ๆ สิ่งที่เธอแสดงออกตอนนี้มีแต่จะเป็นการยอมจำนนแบบชั่วคราวเท่านั้นและก็จริงตามคาด สีหน้าของเฉินเยียนจือพลันแข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง“หืม ไม่อยากพูดงั้นเหรอ” เย่ซิวแกล้งทำหน้าบึ้ง “แสดงว่าบทเรียนเมื่อกี้ยังเบาเกินไปสินะ”เฉินเยียนจือถึงกับสั่นไปทั้งตัว เรื่องเมื่อกี้ยังคงเป็นฝันร้ายที่เธอไม่อยากเผชิญซ้ำอีก“นาย…ท่าน...”สองคำนั้นหลุดออกจากปากเธอด้วยความรู้สึกอัปยศเกินบรรยายเย่ซิวยิ้ม แล้วบิดแหวนผนึกของจากนิ้วของเธอออกมา “เปิดมันซะ”เฉินเยียนจือรู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำตามอย่างว่าง่ายเย่ซิวใช้พลังจิตสำรวจภายในทันที ด้านในมีทั้งศิลาวิญญาณจำนวนมาก สมุนไพรหายาก และโอสถล้ำค่า รวมมูลค่าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสิบล้านศิลาวิญญาณเย่ซิวเก็บทั้งหมดเอาไว้โดยไม่ลังเลเฉินเยียนจือเจ็บใจจนแทบร้องไห้ทรัพยากรจำนวนมหาศา
“ฉัวะ!!”สายฝนสีเลือดโปรยปรายลงมาทั่วฟ้าเย่ซิวฉีกสัตว์วิญญาณของเฉินเยียนจือเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ลังเลจากนั้นเตะเข้าหน้าอกเธอเข้าเต็มรักร่างของเธอลอยละลิ่วไปกระแทกกับเนินเขาอย่างรุนแรงเสียงกระดูกหักดังทั่วร่าง ไม่รู้ว่าหักไปกี่จุดเฉินเยียนจือมองเย่ซิวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น“ไอ้สารเลว แกตายแน่ แกต้องตาย ฉันไม่มีวันปล่อยแกไปเด็ดขาด!!!”ถึงจะเจ็บปางตาย เธอก็ยังไม่หยุดอาฆาต ใจคิดแต่จะแก้แค้นให้ได้ในภายหลัง“เพียะ ๆ ๆ”เย่ซิวไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนให้กับคนอย่างเธอเขาตบซ้ายทีขวาที เพียงพริบตาก็ฟาดไปกว่าร้อยครั้งแรงฝ่ามือแต่ละครั้ง ทำให้ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอบวมช้ำจนดูไม่ได้ความแค้นในใจของเธอระเบิดออกจนแทบปิดไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำราวกับจะสังหารได้ทุกสิ่งเธอไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เด็กก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่และแฟนหนุ่มถูกตามใจทุกอย่างราวกับแตะต้องไม่ได้ แต่วันนี้กลับโดนกระทืบจนแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้เย่ซิวเห็นสภาพเธอก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องปรานีอีกต่อไปเขาควักโอสถสองเม็ดออกมา แล้วยัดใส่ปาก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ