เนื่องจากพลังของเฉินหลานเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป เธอจึงไม่อาจควบคุมมันได้ผลที่ตามมาก็คือพลังอันป่าเถื่อนนั้นได้ทำลายเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอทั้งหมดหวังซวงหันหน้าหนีด้วยใบหน้าแดงก่ำ ฉากนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนจริง ๆเฉินหลานกรีดร้องลั่น แล้วขดตัวเป็นลูกบอลด้วยความอับอายต่อหน้าคนนอกแบบนี้ อยากให้กระดากอายแค่ไหนก็กระดากอายแค่นั้น เย่ซิวมีสีหน้าที่สงบมาก เขาพูดกับเฉินหลานว่า "ไปหาเสื้อผ้าใส่ที่ห้องก่อน"เฉินหลานจากไปราวกับกำลังหลบหนีเย่ซิวมองไปที่หวังซวงซึ่งหันหน้าหนีไป เผยเพียงแผ่นหลังที่สวยงามต่อหน้าเขาแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “หันกลับมาเถอะ ถึงตาเธอแล้ว"หวังซวงหันกลับมาด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ถามไปอย่างระมัดระวังว่า "ท่านอาจารย์ อีกเดี๋ยวฉันจะไม่เป็นแบบนั้นใช่ไหมคะ?"“พูดยาก” เย่ซิวไม่ได้ยืนยันชัดเจน "ขึ้นอยู่กับว่าความสามารถในการควบคุมพลังของเธอเป็นยังไง"หวังซวงยิ้มอย่างขมขื่น พูดอีกอย่างก็คือถ้าตัวเองควบคุมพลังได้ไม่ดีเสื้อผ้าของเธอก็จะระเบิดเหมือนเฉินหลานแต่ท้ายที่สุดเธอไม่ใช่คนธรรมดา จึงปลอบใจตัวเองอย่างรวดเร็วอย่างไรเสียนี่ก็เป็นอาจารย์ของตัวเอง คำโบราณพูดไว้ได้ดี อ
พรสวรรค์ของผู้หญิงทั้งสองคนนี้ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น หากปราศจากการช่วยเหลือจากเย่ซิว ไม่มีทางที่พวกเธอจะประสบความสำเร็จในการทะลวงระดับได้เร็วขนาดนี้หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมง ก็ทำได้เพียงควบคุมคาถาในเบื้องต้น คิดที่จะเชี่ยวชาญมันและใช้มันอย่างชำนาญในสนามรบ ยังต้องฝึกฝนกันอีกมาก“เอาล่ะ ทั้งสองคนกลับไปบำเพ็ญตนเถอะ พยายามเชี่ยวชาญมันโดยเร็วที่สุด”ใครจะไปคิดเล่าว่าในสำนักโอสถเล็ก ๆ แบบนี้ นอกจากเย่ซิวแล้ว จริง ๆ ยังมีตัวตนระดับช่วงสร้างพื้นฐานอยู่อีกถึงสามคน ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะทำให้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะพูดว่าแค่ความแข็งแกร่งของผู้หญิงทั้งสามคนนี้รวมกัน อย่างน้อยก็เทียบเท่ากองทัพหนึ่งหมื่นคนแล้วแถมยังเป็นกองทัพของประเทศใหญ่พวกนั้นที่ติดอาวุธครบครันอีกด้วยดวงตาของเฉินหลานเปล่งแสงที่ทำให้ผู้คนหวั่นไหว เธอถามเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปว่า “นายท่าน คืนนี้ต้องการให้ฉันบำเพ็ญตนเป็นเพื่อนคุณที่นี่ไหมคะ?"เฉินหลานรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว ไม่แน่ระหว่างการบำเพ็ญตนกับเย่ซิว ตัวเองจะสามารถรุกได้มากกว่าแต่ก่อน
“มาแล้ว!”สองพี่น้องตะโกนขึ้นในใจพร้อมกัน ที่เดาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย เย่ซิวมีความคิดกับพวกเธอจริง ๆแต่พวกเธอกลับไม่รู้สึกต่อต้านมันมากนักเดิมทีพวกเธอเข้าใจว่าตัวเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิทยายุทธ์แล้ว โดดเดี่ยวดุจหิมะ ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถเข้าตาพวกเธอได้อีกแม้แต่กษัตริย์ของประเทศปิงจือก็มีเพียงความเคารพต่อเขาเท่านั้นแต่เย่ซิวนั้นแตกต่างออกไป เขาดูเด็กมาก แต่ความสำเร็จที่เขาครอบครองนั้นกลับทำให้พวกเธอสองพี่น้องได้แต่แหงนหน้ามองอีกอย่างเขาก็หล่อมากด้วย มีบรรยากาศรอบตัวที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งผู้ชายคนไหนก็ไม่มีบวกกับทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ศัตรูกันภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ รวมกัน พวกเธอจึงไม่รู้สึกต่อต้านหากจะมีอะไรกับเย่ซิว กระทั่งยังตั้งตารอเล็กน้อยด้วยแต่ก่อนหน้านั้น ยังมีบางเรื่องที่ต้องเจรจาให้ชัดท้ายที่สุดสองสาวคือคนของประเทศปิงจือ จำเป็นต้องสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศของตนหนานกงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าอย่างนั้นขอถามท่าน พวกเราต้องจ่ายด้วยอะไรคะ?"เย่ซิวพูดตรง ๆ "ผมต้องการโอสถสีชาดของพวกคุณ"สองพี่น้องชะงักกึก ในใจก็คิดว่า ‘แม่เจ้า ตรงขนาดนี้เลย?’แต่ที่น่าแปลกก็
หลังจากบินมาได้เพียงไม่กี่นาที เย่ซิวก็ชี้ลงไปที่พื้นเบื้องล่าง“มองดูให้ดี ๆ ตอนนี้สำนักโอสถไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”หญิงสาวทั้งสองเพ่งมองลงไปยังพื้นด้านล่างและต้องตกตะลึงอีกครั้งเบื้องล่างของพวกเธอเต็มไปด้วยทุ่งนาเรียงรายอย่างเป็นระเบียบด้วยการลงทุนมหาศาลของเย่ซิว พื้นที่ส่วนใหญ่ของสำนักโอสถเริ่มปลูกพืชได้แล้วในเวลาไม่ถึงสองเดือน แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่สำหรับผู้ที่มีพลังระดับปรมาจารย์แล้ว การมองเห็นย่อมไม่ใช่อุปสรรคพวกเธอจึงสามารถมองเห็นทุ่งนาเขียวขจีที่ทอดยาวออกไปได้อย่างชัดเจนเย่ซิวร่ายอาคมอีกครั้ง ก่อนที่กระบี่หงส์โบยบินจะลอยเคลื่อนตัวไปมันพาบินต่ำลงและเผยให้เห็นทุ่งนาที่เรียงรายเป็นแถบ ๆ อย่างชัดเจนขึ้นเย่ซิวยังสั่งซื้ออุปกรณ์ขนาดใหญ่มากมายจากต่างประเทศ รวมถึงเครื่องปลูกพืชแบบไร้คนขับและเทคโนโลยีล้ำสมัยอีกนับไม่ถ้วนเขาทุ่มเทลงทุนโดยไม่ลังเล เนื่องจากไม่ใช่คนที่มัวแต่ใช้เงินไปกับความสนุกสนาน แต่กลับมุ่งมั่นพัฒนาอย่างจริงจัง ผลลัพธ์จึงปรากฏให้เห็นได้อย่างรวดเร็วหลังจากพาสองสาวชมทั่วทั้งดินแดนแล้ว เย่ซิวก็เปิดเผยข้อมูลสำคัญที่ทำให้พวกเธอถึงกับตกตะลึง“เรื่องของผ
สองพี่น้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการอาบน้ำปกติแล้วพวกเธอจะอาบน้ำอย่างน้อยชั่วโมงหนึ่ง แต่ครั้งนี้พวกเธอไม่กล้าปล่อยให้เย่ซิวรอนานอีกอย่าง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้พวกเธอก็เพิ่งแช่น้ำกันมาแล้วเมื่อทั้งสองเดินออกมาจากห้องน้ำ เย่ซิวก็ถึงกับตะลึงหญิงสาวสองคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดูแล้วช่างสะกดสายตาเหลือเกินพวกเธอใช้ผ้าขนหนูพันกายไว้ แม้แต่ผ้าขนหนูผืนใหญ่ก็ยังไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่สมบูรณ์แบบเกินไปของพวกเธอได้หมดยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ได้สวมอะไรไว้ข้างในเลย…ทั้งคู่เดินตรงมายังเย่ซิวอย่างมั่นใจโดยไม่มีท่าทีเขินอายเลยสักนิดกลิ่นหอมเฉพาะตัวของทั้งสองคนลอยเข้ามาแตะจมูกถ้าจะเปรียบเทียบ พี่สาวมีกลิ่นหอมที่คล้ายเหล้าเก่า แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มส่วนน้องสาวคล้ายกับสุราที่ร้อนแรง ทั้งนิสัยและรูปร่างของเธอก็เร่าร้อนดั่งเปลวไฟแน่นอนว่าภาพนี้เกิดขึ้นเฉพาะตรงหน้าเย่ซิวเท่านั้นหากอยู่ข้างนอก พวกเธอคือเทพธิดาที่ใครก็ไม่กล้าล่วงเกินหนานกงเสวี่ยเม้มริมฝีปากอวบอิ่มเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “คุณต้องการทำที่ห้องรับแขก หรือว่า…”“ไปที่ห้องผมดีกว่า”สองพี่น้องพยักหน
แต่ไม่นานพวกเธอก็เริ่มเสียใจครั้งนี้การฝึกฝนของเย่ซิวหนักหน่วงกว่าเดิมจนในตอนท้ายทั้งสองแทบจะรับไม่ไหวหนึ่งชั่วโมงต่อมา สองพี่น้องก็เดินออกมาจากห้องของเย่ซิวพร้อมสีหน้าที่ดูแปลก ๆ และท่าทางที่…เหล่าทูตจากประเทศปิงจือที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต่างอิจฉาเย่ซิวจนแทบระเบิดกุหลาบทองคำที่ผู้ชายมากมายใฝ่ฝัน ตอนนี้กลับถูกชายคนเดียวเก็บเกี่ยวไปพร้อมกันเสียนี่หลังจากสองสาวกลับไปแล้ว เย่ซิวก็เรียกหวังซวง เฉินหลาน และฉีฉูฉู่มาพบเพื่อบอกความตั้งใจที่จะเดินทางกลับฉีฉูฉู่ลอบยิ้มด้วยความโล่งใจ ในที่สุดผู้ชายคนนี้ก็จะไปเสียที เธอจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเขาทุกวันอีกส่วนหวังซวงกับเฉินหลานกลับแสดงความอาลัยและพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนใจอยู่ต่อเย่ซิวยิ้มพลางเอ่ย “ผมไม่ได้จะไปแล้วไปเลยเสียหน่อย โดยเฉพาะเธอ”เขาหันไปทางหวังซวง “เธอเป็นศิษย์คนเดียวของฉัน เธอต้องตั้งใจบำเพ็ญตนให้ดีถ้าครั้งหน้าที่เจอกันแล้วพลังเธอยังไม่พัฒนาไปไหนฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้แน่”หวังซวงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อาจารย์ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะพยายามบำเพ็ญตนอย่างเต็มที่ และจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดห
ไป๋อวี้เจี๋ยไม่สนใจว่าจะมีคนรอบตัวมากแค่ไหน เธอกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของเย่ซิวทันที“คุณไปนานมากขนาดนี้ฉันคิดถึงคุณจะแย่แล้วเนี่ย”เสียงนุ่มนวลของไป๋อวี้เจี๋ยที่แฝงความออดอ้อนผสมกับสัมผัสอ่อนนุ่มของเธอทำให้เย่ซิวรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเขาลูบศีรษะเธอเบา ๆ พลางสูดกลิ่นหอมของแชมพูจากเส้นผมของเธอก่อนจะยิ้ม “เดี๋ยวคืนนี้ไปหานะ”“ค่ะ” ไป๋อวี้เจี๋ยยิ้มหวาน ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจหญิงผู้แข็งแกร่งในเมืองหลวงกลับแสดงท่าทีเหมือนลูกแมวเชื่อง ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ซิว“ไม่เจอกันนานนะคะคุณเย่” เสวี่ยเหมยเอ่ยพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความนอบน้อมจากเรื่องราวที่เธอได้ฟังจากปากเพื่อนสนิทว่าเดือนที่แล้วเย่ซิวได้ทำอะไรไปบ้างทำให้เธอยิ่งเคารพเขามากขึ้นและเพราะการกลับมาของเขาครั้งนี้ นั่นหมายความว่า…เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนที่เสวี่ยเหมยจะเอ่ยถามแทน “คุณเย่คะ ตอนนี้หกตระกูลใหญ่ก็…”เย่ซิวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเขาไม่อยู่แล้ว”คำพูดธรรมดาของเขากลับทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้เสวี่ยเหมยถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอมองเย่ซิวด้วยสายตาที่ผสมผ
เสวี่ยเหมยอยากจะเถียงกลับแต่เธอก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเธอกับหลิวคุนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจริงในอดีตเธอยอมรับว่าพวกเธอเคยสนิทกันเหมือนพี่น้อง และเธอก็เคยมีความรู้สึกดี ๆ ต่อรุ่นพี่คนนี้ด้วยแต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเธอค้นพบว่าแม้ภายนอกเขาจะดูเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความสกปรก และเขายังเคยทำเรื่องน่ารังเกียจหลายอย่างนี่คือเหตุผลที่เธอเลือกที่จะตีตัวออกห่างจากเขาแต่ใครจะคิดว่าหลิวคุนจะกลับมาหาเธออีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อนแม้เขาจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่เสวี่ยเหมยก็รู้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาต้องการตามจีบเธอนั่นเองเย่ซิวมองผู้ชายที่ดูดีแค่ภายนอก แต่ภายในกลับไม่เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณคิดว่าตัวเองคู่ควรจะจับมือกับผมเหรอ?”เย่ซิวไม่ใช่คนที่จะเสแสร้งต่อหน้าคนที่เขาไม่ชอบอยู่แล้วเมื่อเขารับรู้ถึงความเป็นศัตรูจากชายคนนี้ เย่ซิวจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทอีกต่อไปและด้วยพลังที่เขามีในตอนนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของใครแววตาของหลิวคุนฉายความไม่พอใจออกมา ก่อนที่เขาจะคิดในใจว่าหมอนี่ช่างอวดดีจริง ๆ ไม่รู้จักกลัวตาย
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน