ความคิดแบบนี้สำหรับผู้ชายหลายคนอาจเป็นเพียงจินตนาการ แต่สำหรับเย่ซิวมันคือความจริงที่เกิดขึ้นเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าเซอร์ไพรส์จากไป๋อวี้เจี๋ยจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนค่ำคืนนี้จึงกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เขาได้สัมผัสอย่างเต็มที่สายตาของเขาถูกดึงดูดด้วยเรียวขาขาวเนียนที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าทั้งคืนประสบการณ์ที่เขาได้รับในค่ำคืนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนไม่กล้าฝันถึงด้วยซ้ำหลังจากบำเพ็ญตนเสร็จ เย่ซิวก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกแห่งการบำเพ็ญให้พวกเธอฟังตอนนี้เขามีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยให้ผู้หญิงรอบตัวก้าวสู่ช่วงสร้างพื้นฐานได้เขาแทบจะจินตนาการถึงวันที่ผู้หญิงรอบตัวเขาก้าวสู่ช่วงสร้างพื้นฐานทั้งหมด เมื่อออร่าพลังถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด ศัตรูคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาใกล้หลังจากฟังสิ่งที่เย่ซิวเล่า หญิงสาวทั้งสี่คนต่างก็ตกตะลึงทันที พวกเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งที่เคยได้ยินในตำนานหรือเทพนิยายจะเป็นเรื่องจริงเย่ซิวเอ่ยกระตุ้นพวกเธอ “ผมอยากให้พวกคุณขยันบำเพ็ญตนมากขึ้น เรื่องที่ไม่สำคัญก็ให้คนอื่นจัดการแทนก่อนได้รู้ไว้ว่าถ้าคุณถึงช่วงสร้างพื้นฐาน คุณจะมีอายุยื
เสวี่ยเหมยตกใจจนแทบกระโดดเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอกวาดตามองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่เห็นเย่ซิวอยู่ที่ไหนเลย“เขาทำยังไงถึงส่งเสียงมาถึงข้างหูฉันได้อย่างแม่นยำขนาดนี้นะ?”เธอพยายามตั้งสติและสูดหายใจลึก ๆ หลายครั้งเพื่อกดความตื่นเต้นในใจให้สงบ ก่อนจะก้าวขายาว ๆ ไปยังด้านในโรงแรมเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เธอก็สังเกตเห็นห้องหนึ่งที่ประตูแง้มอยู่ ดูแล้วน่าจะเป็นห้องนี้เสวี่ยเหมยผลักประตูเข้าไปแล้วต้องชะงักในห้องนั้นนอกจากเย่ซิวแล้วยังมีผู้หญิงอีกสี่คนที่แต่ละคนมีรูปร่าง หน้าตา และบุคลิกที่โดดเด่นแตกต่างกันไป แต่ล้วนแล้วแต่เป็นหญิงงามระดับยอดเยี่ยมบรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจนแม้แต่เสวี่ยเหมยเองก็อดอิจฉาไม่ได้เย่ซิวหันมามองเธอแล้วยิ้ม “กินอะไรมารึยัง?”เสวี่ยเหมยพยักหน้า “กินแล้วค่ะ งั้นเราไปสนามบินเลยไหมคุณเย่?”“สนามบินเหรอ?” เย่ซิวยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ต้องไปสนามบินหรอก เอ้า ดูนี่”ปิ๊ง!!เสียงดังกังวานของกระบี่ดังขึ้นในห้องกระบี่หงส์โบยบินพุ่งออกมาจากปากของเย่ซิว ก่อนจะขยายตัวจนมีความยาวสามเมตรและกว้างครึ่งเมตรผู้หญิงอีกสี่คนในห้องไม่ได้แสดงอาการตกใจอะไรเพราะก่อนหน้านี
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเย่ซิว เสวี่ยเหมยก็ก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตากับเขาใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ พร้อมเอ่ยด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินว่า “ตกลง ฉันยอม”เธอทำใจไว้แล้วสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดหากเมื่อถึงเวลาที่เธอพบท่านอาจารย์ และท่านยังยืนกรานให้เธอแต่งงานกับหลิวคุน เธอก็คงต้องจำใจทำตามแต่ถ้าเธอจะต้องเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตให้กับใครสักคน เธอยอมยกมันให้เย่ซิวดีกว่าให้ผู้ชายคนนั้นเย่ซิวชะงักไปครู่หนึ่ง “ผมยังไม่ได้บอกเงื่อนไข คุณก็ตอบตกลงแล้วเหรอ?”คราวนี้เสวี่ยเหมยเป็นฝ่ายชะงัก เธอเงยหน้ามองเขาด้วยความสับสนก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองอาจเข้าใจผิดด้วยความเขิน เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “งั้นเงื่อนไขของคุณคืออะไรคะ!”“ผมต้องการถือหุ้นในบริษัทของคุณอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์” คำขอของเขาเรียกได้ว่าเหมือนสิงโตอ้าปากกว้างทรัพย์สินในเครือของเสวี่ยเหมยครอบคลุมกว่าหนึ่งร้อยอุตสาหกรรม และทุกอย่างยังดำเนินการไปได้สวยเย่ซิวรู้ว่าเขายังไม่มีทรัพยากรมากพอ และต้องการเงินทุนจำนวนมากโดยเฉพาะเมื่อเขาต้องการให้ผู้หญิงรอบตัวทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างพื้นฐานตามที่เล่าขานกันมาในสมัยโ
แต่กระบวนการนี้กลับไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์นักพลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายของเธอขับสารตกค้างและสิ่งสกปรกออกมาจำนวนมากสิ่งสกปรกสีดำไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกาย แถมยังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาอีกยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างทางเธอยังผายลมออกมาเป็นระยะจนเธอรู้สึกอับอายและอยากจะหาที่ซ่อนตัวในตอนนี้ พวกเขาได้ออกจากเมืองหลวงมาอยู่ในป่าลึกกลางภูเขาแล้วเย่ซิวที่สังเกตเห็นว่าด้านล่างมีน้ำตกขนาดเล็กพอดี จึงปรับทิศทางกระบี่หงส์โบยบินแล้วลงจอดที่ข้างน้ำตกเขามองเสวี่ยเหมยที่ใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะเอ่ย “ลงไปล้างตัวเถอะ”เสวี่ยเหมยไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอวางกระเป๋าสะพายลงข้าง ๆ ก่อนจะกระโดดลงน้ำไปทันทีจนเกิดเสียงดังตูมร่างของเธอเหมือนปลาที่ว่ายไปใต้ก้นแม่น้ำอย่างคล่องแคล่ว เธอไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า เพียงใช้แรงน้ำจากน้ำตกก็เพียงพอที่จะชะล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายแล้วจากนั้นเย่ซิวใช้โอกาสนี้เพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณของตัวเองไม่กี่นาทีต่อมา เสวี่ยเหมยก็ขึ้นจากน้ำมาที่ฝั่ง ร่างของเธอเปียกชุ่มไปหมด เสื้อผ้าที่สวมใส่แนบติดกับตัวทุกส่วนเนื่องจากเธอสวมชุดกีฬาเนื้อบางสีขาวที่ระบายอากาศได้ดี เมื่
เสวี่ยเหมยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา นิ้วของเธอพิมพ์ข้อความลงบนหน้าจออย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งข้อความไปให้หลิวคุนเนื้อหาข้อความเขียนว่า ‘ฉันอยู่กับผู้ชายที่พี่เจอเมื่อวานและตอนนี้ฉันกำลังจะมีอะไรกับเขาแล้ว’เธอกดส่งข้อความแล้วปิดโทรศัพท์ทันทีหัวใจของเธอเต้นรัว ขณะจ้องมองไปที่เย่ซิวด้วยความลังเล ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณเย่คะ ฉันอยากบำเพ็ญตนคู่กับคุณ”ในสถานที่อันเงียบสงบและห่างไกลผู้คนเช่นนี้ กับชายหญิงสองคนที่อยู่ด้วยกัน ท่ามกลางแอลกอฮอล์และบรรยากาศที่พาให้จิตใจไขว้เขว สิ่งที่จะเกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้บรรยากาศเริ่มเต็มไปด้วยความโรแมนติกและยั่วยวนแต่เย่ซิวกลับส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่ได้”คำตอบของเขาทำให้เสวี่ยเหมยตกตะลึงจนพูดไม่ออกสร้างบรรยากาศมาถึงขนาดนี้แล้ว และเธอเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกายเย่ซิวเลย เธอจึงถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะคะ?”เย่ซิวมีเหตุผลของเขาเองด้วยลักษณะพิเศษของพลังที่เสวี่ยเหมยฝึกฝนมา ทำให้เธอต้องได้รับการดูแลแตกต่างจากคนอื่นพูดกันตามตรง กำลังภายในของเธอตอนนี้แทบไม่ได้มีประโยชน์กับระดับ
แม้ว่าเย่ซิวจะดูดซับพลังวิญญาณจากที่นี่ทั้งหมด แต่ปริมาณที่ได้ยังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของพลังที่เขามีอยู่“ศิษพี่ทุกคน ฉันกลับมาแล้ว!”เสวี่ยเหมยตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น เสียงของเธอถูกส่งผ่านด้วยพลังภายใน ทำให้กระจายไปทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็วเสียงนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ทันทีประตูบ้านไม้แต่ละหลังเปิดออกทันที ชายหนุ่มที่ดูเหมือนชาวบ้านธรรมดารีบวิ่งออกมา เมื่อพวกเขาเห็นเสวี่ยเหมย ต่างก็แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง“ศิษย์น้อง เธอกลับมาทำไมตอนนี้?”“หลิวคุนไม่ได้ไปหาเธอเหรอ? หรือเขาไม่ได้บอกความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์เราให้เธอเหรอ?”“ไม่สิ เพียงเวลาสั้น ๆ แบบนี้เธอกลับมาได้ยังไงแบบนี้?”“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”คำถามมากมายถูกโยนใส่เสวี่ยเหมยจนเธอไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดีเธอจึงตอบเลี่ยง ๆ ไป และเอ่ยด้วยความร้อนใจ “อาจารย์อยู่ที่ไหน ฉันต้องพบท่านก่อน!”“ท่านกำลังนอนพักอยู่ ช่วงนี้ท่านหลับบ่อยมาก วันหนึ่งนอนอย่างน้อยสิบสามถึงสิบสี่ชั่วโมง ดูเหมือนว่าท่านอาจจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์แล้ว”คนที่ตอบเธอคือศิษย์พี่
ศิษย์พี่ชายไม่กี่คนของเสวี่ยเหมยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทุกคนก็หัวเราะฮ่า ๆ“ศิษย์น้องหญิง ไม่ได้เจอหน้ามาสักพัก ดูเหมือนเธอจะมีอารมณ์ขันขึ้นมากทีเดียว”“ต้นขาของไอ้หนูนี่ยังบางไม่เท่าแขนของฉันด้วยซ้ำ บนตัวเองก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งเล็ดลอดออกมา เขาจะสามารถสู้ชนะพวกเราได้?”“ศิษย์น้องหญิง เธอคงไม่ใช่ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของไอ้หนูนี่หลอกแล้วหรอกนะ? โชคดีที่เธอกลับมาหาเรา อย่างน้อยเราก็สามารถช่วยเธอแก้ไขข้อผิดพลาดได้”…… เสวี่ยเหมยตบหน้าผาก รู้เลยว่าเรื่องไม่ดีแล้วเธอรู้ถึงอุปนิสัยของศิษย์พี่ชายเหล่านี้ดี แต่ละคนดื้อรั้นเหมือนวัวไม่ว่าตัวเองจะอธิบายยังไง พวกเขาก็ล้วนไม่เชื่อวิธีเดียวคือปล่อยให้พวกเขาได้รับบทเรียนสักหน่อย เมื่อรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้น่ากลัวแค่ไหนก็จะว่าง่ายแล้วคิดได้แบบนี้ เธอก็โค้งคำนับไปทางเย่ซิวอย่างลึกซึ้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า "ศิษย์พี่ชายไม่กี่คนนี้ของฉันไม่ใช่คนเลว ขอคุณโปรดยั้งมือ สั่งสอนบทเรียนพวกเขาเล็กน้อยก็พอแล้ว"เย่ซิวพยักหน้า สาวน้อยคนนี้รู้ความกว่าแต่ก่อนมาก ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปร่างบอบบางของเสวี่ยเหมยสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอแดงไปห
ศิษย์พี่หลายคนลูบหัวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก็จริง ถ้าก่อนที่จะลงมือเสวี่ยเหมยบอกพวกเขาว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนวัยจนนน่าตกใจซึ่งอยู่ตรงหน้านี้เป็นปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง พวกเขาไม่ทีทางเชื่ออย่างแน่นอนในความเป็นจริงเย่ซิวแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์อาวุโสไม่รู้กี่เท่าแต่เสวี่ยเหมยขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย เข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไปเถอะการแสดงออกของเย่ซิวไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก "อย่าพูดเรื่องไร้สาระให้มาก พาผมไปพบอาจารย์ของคุณเถอะ จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมจะได้กลับ"ไม่กล้าชักช้า รีบพาเย่ซิวไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงของอาจารย์ทันทีนี่คือผู้อาวุโสที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขานอนปิดตาสนิทอยู่บนเตียง คลุมผ้าห่มไว้ การหายใจช้ากว่าคนปกติมากบนตัวมีกลิ่นอายของความเสื่อมสลายเล็ดลอดออกมามองแวบแรกก็รู้เลยว่าอยู่ได้ไม่นานแล้วมองดูอาจารย์ที่รักและเอ็นดูตัวเองตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ เสวี่ยเหมยก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมาศิษย์พี่ชายหลายคนเมื่อได้เห็นฉากนี้ ก็ทำได้แค่ลอบถอนหายใจในความเป็นจริง พวกเขาไม่คิดว่าเย่ซิวจะมีความสามารถช่วยชีวิตอาจารย์ของพวกเขากลับมาได้
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน