ศิษย์พี่ชายไม่กี่คนของเสวี่ยเหมยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทุกคนก็หัวเราะฮ่า ๆ“ศิษย์น้องหญิง ไม่ได้เจอหน้ามาสักพัก ดูเหมือนเธอจะมีอารมณ์ขันขึ้นมากทีเดียว”“ต้นขาของไอ้หนูนี่ยังบางไม่เท่าแขนของฉันด้วยซ้ำ บนตัวเองก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งเล็ดลอดออกมา เขาจะสามารถสู้ชนะพวกเราได้?”“ศิษย์น้องหญิง เธอคงไม่ใช่ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของไอ้หนูนี่หลอกแล้วหรอกนะ? โชคดีที่เธอกลับมาหาเรา อย่างน้อยเราก็สามารถช่วยเธอแก้ไขข้อผิดพลาดได้”…… เสวี่ยเหมยตบหน้าผาก รู้เลยว่าเรื่องไม่ดีแล้วเธอรู้ถึงอุปนิสัยของศิษย์พี่ชายเหล่านี้ดี แต่ละคนดื้อรั้นเหมือนวัวไม่ว่าตัวเองจะอธิบายยังไง พวกเขาก็ล้วนไม่เชื่อวิธีเดียวคือปล่อยให้พวกเขาได้รับบทเรียนสักหน่อย เมื่อรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้น่ากลัวแค่ไหนก็จะว่าง่ายแล้วคิดได้แบบนี้ เธอก็โค้งคำนับไปทางเย่ซิวอย่างลึกซึ้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า "ศิษย์พี่ชายไม่กี่คนนี้ของฉันไม่ใช่คนเลว ขอคุณโปรดยั้งมือ สั่งสอนบทเรียนพวกเขาเล็กน้อยก็พอแล้ว"เย่ซิวพยักหน้า สาวน้อยคนนี้รู้ความกว่าแต่ก่อนมาก ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปร่างบอบบางของเสวี่ยเหมยสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอแดงไปห
ศิษย์พี่หลายคนลูบหัวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก็จริง ถ้าก่อนที่จะลงมือเสวี่ยเหมยบอกพวกเขาว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนวัยจนนน่าตกใจซึ่งอยู่ตรงหน้านี้เป็นปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง พวกเขาไม่ทีทางเชื่ออย่างแน่นอนในความเป็นจริงเย่ซิวแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์อาวุโสไม่รู้กี่เท่าแต่เสวี่ยเหมยขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย เข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไปเถอะการแสดงออกของเย่ซิวไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก "อย่าพูดเรื่องไร้สาระให้มาก พาผมไปพบอาจารย์ของคุณเถอะ จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมจะได้กลับ"ไม่กล้าชักช้า รีบพาเย่ซิวไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงของอาจารย์ทันทีนี่คือผู้อาวุโสที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขานอนปิดตาสนิทอยู่บนเตียง คลุมผ้าห่มไว้ การหายใจช้ากว่าคนปกติมากบนตัวมีกลิ่นอายของความเสื่อมสลายเล็ดลอดออกมามองแวบแรกก็รู้เลยว่าอยู่ได้ไม่นานแล้วมองดูอาจารย์ที่รักและเอ็นดูตัวเองตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ เสวี่ยเหมยก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมาศิษย์พี่ชายหลายคนเมื่อได้เห็นฉากนี้ ก็ทำได้แค่ลอบถอนหายใจในความเป็นจริง พวกเขาไม่คิดว่าเย่ซิวจะมีความสามารถช่วยชีวิตอาจารย์ของพวกเขากลับมาได้
“เธอชื่อเย่ซิวใช่หรือเปล่า อาจารย์ของเธอต้องชื่อเจียงอี้แน่!”หัวใจของเย่ซิวสั่นไหว ประกายแสงคมปลาบพุ่งออกมาจากดวงตาของเขาพริบตานั้นออร่าที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังตกลงไปในหุบเหวลึก กระทั่งได้กลิ่นลมหายใจแห่งความตายแต่ความรู้สึกนี้มาเร็วก็หายไปอย่างรวดเร็ว เย่ซิวกลับคืนสู่ความสงบ และมองไปที่ผู้อาวุโส "คุณรู้ได้ยังไง?"เสวี่ยเหมยเองก็มองไปที่ผู้อาวุโสด้วยความตกใจมาก เป็นไปได้ไหมว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวข้องอะไรกันมาก่อน?ผู้อาวุโสพยักหน้า เผยสีหน้าที่หวนนึกถึงอดีต "แน่นอน เมื่อก่อนฉันน่ะตามจีบอาจารย์ของเธออยู่นานมากแต่ยายแก่นั่นไม่ชอบฉันที่แก่กว่าเขาห้าถึงหกปี เลยปฏิเสธฉันตั้งหลายครั้งตอนที่เธอยังเด็ก ฉันยังเคยอุ้มและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเธอด้วย เจ้าเด็กเหลือขอนี่ มีครั้งหนึ่งยังเคยฉี่รดหน้าฉันด้วยซ้ำ"ถึงเป็นเย่ซิว เขาก็ยังอดไม่ได้หน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดนี้เสวี่ยเหมยยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะเบา ๆ คิดไม่ถึงว่า เย่ซิวตอนเด็กจะน่ารักขนาดนี้เย่ซิวสามารถรู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสคนนี้ไม่ได้พูดโกหก จึงประสานหมัดแล้วพูดออกไป “ผู้น้อยเย่ซิวคารวะผู้อาวุโส”
แต่สิ่งที่เย่ซิวคิดหลังจากเห็นรายงานนี้ คือในพื้นที่นั้นมีค่ายกลที่ทรงพลังเพื่อปกปิดสภาพที่แท้จริงเอาไว้หรือไม่ยังมีดาวเคราะห์ดวงอื่น รวมถึงดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีที่ถูกสำรวจมานานแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่จะเป็นอย่างไรหากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญตน?ต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้แม้เย่ซิวจะไม่หายใจสักสองสามปีก็ไม่เป็นไรตัวตนที่ทรงพลังพวกนั้นกระทั่งไม่หายใจเลยตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไรด้วยซ้ำสิ่งที่โลกนี้เปิดเผยให้เขาเห็น ขนาดยอดภูเขาน้ำแข็งก็ยังนับไม่ได้ ยังมีความลับอีกมากมายรอให้เขาไปสำรวจอยู่เย่ซิวแสร้งทำเป็นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ไม่ได้เจาะลึกปัญหานี้นานเกินไปนัก แต่จริง ๆ แล้วหยิบขวดยาออกมาจากแหวนผนึกของสองขวด หนึ่งขวดสีดำและอีกหนึ่งขวดสีแดงเขายื่นมันให้ผู้อาวุโส "ผู้อาวุโส นี่เป็นโอสถที่ผมหลอมขึ้นมา ถ้าคุณกินโอสถเม็ดสีขาววันละหนึ่งเม็ด สภาพร่างกายของคุณจะกลับไปอยู่ที่อายุประมาณห้าสิบปีในครึ่งเดือนจากนั้นกินโอสถในขวดสีแดงนี้จะช่วยให้คุณทะลวงไปสู่จอมยุทธ์ระดับเก้าได้”สิ่งเหล่านี้มีค่ามากในโลกภายนอก แต่สำหรับเย่ซิวตอนนี้ พวกมันไม่นับว่าเป็นอะไรเลย ให้ก็ให้ไปแต่ศิ
“ยังต้องถามอีกเหรอ แน่นอนว่าต้องเป็นคุณที่นอนพื้น ส่วนผมนอนบนเตียงไง” เย่ซิวพูดอย่างเป็นธรรมชาติมากเสวี่ยเหมยแสร้งทำเป็นโกรธ เท้าเอวแล้วมองเขาอย่างโกรธเคือง "บ้าเอ๊ย คุณปล่อยให้ฉันที่เป็นผู้หญิงบอบบางแบบนี้นอนพื้นได้ลงคอเหรอ?แถมที่นี่ยังเป็นหุบเขาลึกและป่าโบราณ แถมตอนกลางคืนอากาศก็ชื้นมากด้วย!”เย่ซิวไม่ได้โต้เถียงกับเธอ ถอดรองเท้า แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงทันที พร้อมห่มผ้าห่มเขาอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกและป่าโบราณมาตั้งแต่เด็ก จึงใกล้ชิดกับสภาพแวดล้อมนี้เป็นพิเศษหวนนึกไปถึงฉากที่อยู่ด้วยกันกับอาจารย์คืนนี้ไม่บำเพ็ญตนแล้ว ผ่อนคลายสักครั้งก็แล้วกันเมื่อเห็นเย่ซิวปีนขึ้นเตียงแล้ว เสวี่ยเหมยก็กระทืบเท้าเบา ๆ ทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมลูกใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้ชื่นชมมันเธอมองไปที่เย่ซิว หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังจากนั้นยกมุมผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปเหมือนลูกแมวตัวน้อยหัวใจของเธอเต้นตึกตักอย่างแรง รู้สึกประหม่าเป็นอย่างมากเธอกลัวว่าเย่ซิวจะไล่เธอลงจากเตียง แบบนั้นตัวเองคงอับอายมากแต่หลังจากรอไประยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเย่ซิวไม่มีท่าทีจะไล่เ
เมื่อคืนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนได้ก้าวไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัยลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ แล้วใส่เสื้อผ้า เดินไปที่อ่างล้างหน้า และเริ่มแปรงฟันน้ำที่นี่ล้วนมาจากน้ำพุบนภูเขา น้ำจึงหวานมากเย่ซิวเองก็ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่งตัว นั่งขัดสมาธิ และเริ่มดูดซับพลังฟ้าดินเขาค้นพบมานานแล้วว่ายามเช้าตรู่มีพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดของวันการบำเพ็ญตนในเวลานี้จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นสองเท่าผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากเองก็เลือกบำเพ็ญตนในตอนเช้าตรู่เพื่อที่จะได้รับแสงแรกของวันเมื่อถึงเจ็ดโมงเช้า เย่ซิวก็ผลักเปิดประตูแล้วเดินออกไปเสวี่ยเหมยเพิ่งทำและกินอาหารเช้าไปเมื่อสักครู่แม้ว่าตอนนี้เขาจะกินหรือไม่กินอาหารก็ไม่สำคัญ แต่เย่ซิวก็ยังคงรักษานิสัยเดิมของตัวเองไว้เสมอถ้าไม่ทานอาหารบ่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเกิดความชินชาและไม่ถือว่าตัวเองเป็นมนุษย์อีก ซึ่งแบบนี้อันตรายมาก“เป็นยังไงบ้าง? เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือเปล่า?” จู่ ๆ ผู้อาวุโสที่ฟื้นตัวและย้อนวัยกลับมาหลายสิบปีก็เดินออกมาจากในห้อง ข้างหลังเธอมีลูกศิษย์ตามมาด้วยหลายคน“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านอาจารย์” เสวี่ยเหมยทักทายอย่างอ่อนหวาน จากนั้นเดินไปข้างหน้า
แม้ว่าเย่ซิวจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นสถานการณ์จริงภายในถ้ำเขาก็ยังตกใจอย่างหนักสิ่งแรกที่เห็นก็คือกล่องใส่เครื่องประดับและทองคำกล่องแล้วกล่องเล่า มีอย่างน้อยหลายร้อยกล่อง รวมกันแล้วน่าจะมากกว่าร้อยตันสมมติว่าทองทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของจริงยังมีเครื่องประดับเหล่านั้น แม้ว่าเย่ซิวจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ แต่ก็เห็นได้ว่ามีคุณค่าไม่น้อยแค่สิ่งของที่อยู่ชั้นนอกสุด เย่ซิวประมาณการคร่าว ๆ ว่าควรมีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านล้านบาทแล้วเดินลึกเข้าไปข้างใน มันคืออาวุธและชุดเกราะจำนวนมาก สามารถเห็นสัญญาณของการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่ยังคงขึ้นสนิมเข้าไปข้างในอีก มันคือชั้นหนังสือที่เรียงรายหนังสือข้างต้นทั้งหมดถูกเก็บไว้ในถุงสุญญากาศ นั่นคือตำราความรู้ลับของสำนักต่าง ๆ เดินลึกเข้าไปข้างในมากยิ่งขึ้น มีโต๊ะเล็กอยู่หนึ่งตัว ด้านบนวางป้ายวิญญาณที่สลักอักษรไม่กี่ตัวไว้ว่า ‘บรรพบุรุษตระกูลหลง’“รู้สึกตกใจใช่ไหมล่ะ?” ผู้อาวุโสหันมามองเย่ซิว "มองเห็นป้ายวิญญาณนี้เธอก็ควรจะเดาได้แล้ว ถูกต้อง ฉันเป็นลูกหลานของตระกูลหลง ซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ก่อนสิ่งของข้างในเหล่า
สิ่งของที่วางอยู่บนชั้นวางนี้แต่ละชิ้นดูเก่าแก่และโบราณมากมีกริช กระจกทองสัมฤทธิ์ กระถางธูป และอื่น ๆ อีกมากมายเหตุผลที่เขาหยุด เป็นเพราะกระบี่หงส์โบยบินในจุดตันเถียนของเขาจู่ ๆ ก็กระสับกระส่ายขึ้นมามันปล่อยคลื่นพลังที่แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการออกมากลืนบางสิ่งบางอย่างซึ่งวางอยู่บนชั้นวางนั้นเย่ซิวผู้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ย่อมไม่ยอมปล่อยให้กระบี่หงส์โบยบินทำเช่นนี้เขาจึงยื่นมือไปที่ชั้นวางแล้วลูบสิ่งของที่อยู่บนนั้นทีละชิ้น ๆเมื่อนิ้วแตะสัมผัสกับเตาหลอมเตาหนึ่ง กระบี่หงส์โบยบินก็มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดนี่คือเตาที่ภายนอกมีพื้นผิวเป็นสนิม เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนว่ามันจะทำขึ้นจากเหล็ก แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด จะพบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นสัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าเตานี้น่าจะเป็นสมบัติเวทมนตร์ที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่งอย่างไรก็ตามไม่สามารถทำการทดลองที่นี่ได้เขามองไปที่ผู้อาวุโส "ท่านอาจารย์ ผมเลือกอันนี้"ผู้อาวุโสสงสัย “เตานี้มีอะไรพิเศษเหรอ?”โดยพื้นฐานแล้วเธอได้ทำการศึกษาของทุกอย่างข้างในนี้แล้ว แต่ไม่พบอะไรที่พิเศษเย่ซิวส่ายหัว "ผมก็ดูไม่ออกว่ามันมีอะไรพิเศษ แค
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน