บนโลกใบนี้ยังมีสถานที่พิเศษอยู่อีกมากมาย บางแห่งสามารถปิดผนึกพลังบำเพ็ญ ทำให้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้แม้แต่นิดเดียวแต่ร่างกายคือรากฐานของตนเอง จึงไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขเช่นนั้นยิ่งไปกว่านั้น อายุขัยของคนเราก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของพลังชีวิตเป็นหลัก แผนการที่ชัดเจนได้ก่อตัวขึ้นในหัวของเย่ซิวแล้วเขาจะฝึกสิงโตหยกขาวทั้งแปดตัวให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายไร้เทียมทานแน่นอนว่านี่หมายถึงภายใต้เงื่อนไขที่ไม่นับตัวเขาเองเข้าไปด้วยสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือหาเคล็ดวิชาฝึกฝนร่างกายที่เหมาะกับสัตว์วิญญาณซึ่งหาได้ยากมาก แต่เย่ซิวกลับรู้จักอยู่หนึ่งวิชา และถ่ายทอดให้พวกมันทันทีจากนั้นก็ทิ้งโอสถไว้ให้อีกเป็นแสนเม็ด แล้วออกจากที่นั่นไป สิ่งที่พวกมันต้องทำต่อจากนี้ก็คือกินโอสถแล้วต่อสู้กันเองอย่างไม่หยุดพัก ส่วนหน้าที่ของเย่ซิวคือคอยดูให้แน่ใจว่าโอสถจะไม่ขาดช่วงในห้องรับแขก เขาเห็นเสี่ยวโหรวกำลังให้เหมียวเหวินเหวินทำความสะอาด แม้ในใจของเหมียวเหวินเหวินจะเต็มไปด้วยความคับแค้น แต่ในฐานะที่ตอนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้พลังบำเพ็ญใด ๆ แม้จะโกรธแค่ไหนก็ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับชะ
พลังอันแข็งแกร่งหลายสายระเบิดออกมาจนทำให้ทุกคนในสำนักต้องสะดุ้งตกใจสีหน้าของเย่ซิวเปลี่ยนเล็กน้อย “พวกเจ้าสำนักออกจากการปิดด่านแล้วเหรอ ออกมาเร็วกว่าที่คิดแฮะ”รวมเวลาแล้วก็เพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งปีเท่านั้นเองเย่ซิวเชื่อมจิตกับร่างแยกทั้งห้าธาตุเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจสาเหตุทันทีทรัพยากรหมดแล้ว!เดิมทีของที่เตรียมไว้ คิดเผื่อไว้ให้ใช้งานได้สองปีเต็ม แต่ใครจะรู้ว่าร่างแยกแต่ละร่างกลับกินไม่รู้จักอิ่มแบบนี้ เพียงแค่ครึ่งปีก็ใช้จนหมดเกลี้ยงตอนนี้เย่ซิวให้ร่างแยกทั้งห้าแสดงพลังให้อยู่ในระดับวิญญาณก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ก่อนจะพาเหมียวเหวินเหวินกลับมายังที่พักของตัวเองโดยไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้เขาไม่ได้เห็นหัวเจ้าสำนักอีกต่อไปแล้ว ขอเพียงเขาจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อน ถึงตอนนั้นค่อยเรียกพวกนั้นลงมาก็ยังทัน“นายน้อยกลับมาแล้ว” เสี่ยวโหรวเห็นเย่ซิวก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที แต่พอเห็นเหมียวเหวินเหวินที่ตามมาด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที “ท่านนี้คือ…”“ชื่อเหมียวเหวินเหวิน หลังจากนี้ก็มองเธอเหมือนเป็นคนรับใช้ก็พอ”แววตาเสี่ยวโหรวสว่างวาบ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ส่วนเหมียวเหวินเหวินก
เหมียวเหวินเหวินรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแรง ๆ แต่ไม่กล้านอนลง กลัวว่าเย่ซิวจะเกิดสัญชาตญาณดิบขึ้นมาพอรออยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเย่ซิวไม่ได้ทำอะไร เธอถึงได้ผ่อนลมหายใจเบา ๆสุดท้ายเธอก็ไม่ได้นอนบนเตียง แค่พิงผนังแล้วขดตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ ดูน่าสงสารเหลือเกินเธอไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน ก่อนที่ทั้งร่างจะค่อย ๆ ล้มลงนอนเช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดแรกส่องลอดเข้ามาในห้องเหมียวเหวินเหวินลืมตาขึ้นแล้วกรีดร้องเสียงดังเมื่อคืนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอถึงไปฟุบหลับอยู่บนอกของเย่ซิว!เธอตกใจจนรีบมุดเข้าไปหลบในมุมห้อง ใบหน้าแดงจัดอย่างผิดปกติเย่ซิวลืมตาขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “โวยวายอะไรของเธอ”สีหน้าของเธอเหมือนโดนเขารังแกและตัวเองเสียหายหนักมากยังไงอย่างนั้นน้ำตาของเหมียวเหวินเหวินไหลพรากไม่หยุด ตั้งแต่พลังบำเพ็ญถูกทำลายไป เธอก็ไม่รู้สึกปลอดภัยเอาเสียเลย อีกทั้งจิตใจก็เปราะบางลงมากแม้จะบอกตัวเองในใจว่าห้ามร้องไห้เด็ดขาด แต่ก็ห้ามไม่ได้เลยเย่ซิวไม่สนใจอารมณ์ของเธอเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะสั่งเสียงเข้มแบบไม่ไว้หน้า “มาช่วยฉันแต่งตัวล้างหน้าแปรงฟันหน่อย”“ฉัน…ทำไม่เป็น
แน่นอน ด้วยสภาพของเหมียวเหวินเหวินในตอนนี้ เธอไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้เย่ซิวได้เลยแม้แต่น้อยเย่ซิวใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้องของเธอ ทำให้เหมียวเหวินเหวินขยับได้แค่แขนขา ดิ้นพล่านอย่างไร้ทิศทาง“ไอ้สารเลว ฉันจะสู้กับแกให้ตายไปเลย ถ้าแน่จริงก็ปล่อยฉันสิ!”เหมียวเหวินเหวินอยู่ในสภาพจิตใจที่สับสนใกล้บ้าคลั่งเย่ซิวส่งเสียงหึ ก่อนจะปล่อยพลังเย็นยะเยือกออกมา “แนะนำว่าอย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะลากเธอออกไปข้างนอก แล้วฉันจะทำอย่างว่ากับเธอต่อหน้าทุกคนไปเลย”คำพูดนี้ทำให้หัวใจของเหมียวเหวินเหวินสะดุดวูบ ร่างกายแข็งทื่อ “นายกล้าหรือไง!”“เดาดูสิว่าฉันกล้าหรือเปล่า”ระหว่างที่พูด สายตาของเย่ซิวเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ก่อนจะกวาดมองจากใบหน้าของเธอไล่ลงมา จนมาหยุดที่เรียวขางามได้รูปซึ่งห่อหุ้มด้วยถุงน่องสีดำกล้ามเนื้อทั้งร่างของเหมียวเหวินเหวินตึงเครียด ขนลุกตั้งชันไปทั่วทั้งตัวเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มเงียบลง เย่ซิวก็ยกมือขึ้นตบแก้มเธอเบา ๆ“ขอแนะนำว่าให้เธอรู้สถานะตัวเองไว้หน่อย ตอนนี้เธอไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักจ้าวโอสถอีกต่อไปแล้ว แถมยังสูญเสียพลังบำเพ็ญ
เขานึกว่าเย่ซิวจะ…เย่ซิวรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรตัวเขาไม่ได้คิดอะไรกับร่างกายของเหมียวเหวินเหวินอยู่แล้ว สิ่งที่สนใจก็คือฝีมือการกลั่นโอสถของเธอต่างหากต้องพาผู้หญิงคนนี้กลับไปฝึกให้เชื่องเสียหน่อยพอเธอเชื่อฟังดีแล้ว ก็สามารถช่วยซ่อมแซมจุดตันเถียนให้เธอได้ ต่อจากนั้นก็ให้เธอช่วยกลั่นโอสถให้เขาเขาเดินตามเจ้าสำนักโอสถมาจนถึงคลังสมบัติ อีกฝ่ายเปิดประตูคลังด้วยสีหน้าไม่เต็มใจภายในคลังมีสมบัตินานาชนิดเรียงรายสวยงามจนเลือกไม่ถูกเย่ซิวเริ่มกวาดเก็บเข้ากระเป๋าทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำเมื่อเห็นเย่ซิวลงมือ เจ้าสำนักโอสถก็เจ็บปวดเหมือนจะขาดใจ ในขณะที่สมบัติในคลังหายไปกว่าหนึ่งในสามแล้วเขาจำต้องเอ่ยปาก “คุณชาย ช่วยเหลือไว้ให้พวกเราบ้าง อย่างน้อยก็เหลือไว้ให้นิดหน่อยเถอะครับ”เย่ซิวไม่หยุด แถมยังเร่งมือเก็บให้เร็วขึ้นอีกในใจของเจ้าสำนักโอสถเริ่มรู้สึกอยากฆ่าเขา แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาไม่นาน เย่ซิวก็เก็บของในคลังสมบัติไปจนเกลี้ยงเขามองหน้าเจ้าสำนักที่ตอนนี้มีสีหน้าเหมือนกลืนแมลงวันไปเป็นร้อยแล้วหยิบป้ายคำสั่งของสำนักโลหิตสังหารออกมาสะบัดไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย
“น้องชายคนนี้ ฉันขอเชิญเข้าร่วมสำนักจ้าวโอสถอย่างจริงใจ ตำแหน่งรองเจ้าสำนักยังว่างอยู่ ไม่ทราบว่านายจะรับตำแหน่งหรือเปล่า”ผู้หญิงคนนี้มีความเด็ดขาดไม่ธรรมดา เมื่อเห็นว่าผู้หนุนหลังของเย่ซิวคือราชาแห่งรัตติกาล แล้วยังเห็นฝีมือกลั่นโอสถที่ทิ้งห่างคนรุ่นเดียวกันแบบไม่เห็นฝุ่น เธอจึงยื่นข้อเสนอออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยทุกคนในที่เกิดเหตุต่างตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะนี่ไม่ใช่ตำแหน่งเล็ก ๆ แต่เป็นถึงรองเจ้าสำนักระดับสี่เป็นตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ้าสำนักเพียงผู้เดียวเท่านั้น มีอำนาจล้นฟ้า แค่จามทีเดียวก็อาจเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งแคว้นได้เลยแม้แต่เหลิ่งเฟิงก็ยังยอมรับในความกล้าของผู้หญิงคนนี้เย่ซิวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากออกไปจากที่นี่ครับ”ตำแหน่งรองเจ้าสำนักของสำนักจ้าวโอสถฟังดูน่าดึงดูดก็จริง แต่ในสำนักระดับสูงแบบนั้น พลังอำนาจนั้นซับซ้อนวุ่นวาย หากตัวเองไม่มีรากฐานอะไรเลย แล้วอยากจะยืนหยัดให้มั่นคงย่อมต้องใช้พลังและเวลามากมาย และสิ่งนั้นจะกระทบกับความเร็วในการฝึกฝนของเขาอย่างมากอีกอย่าง เขาก็ไม่รู้นิสัยของอีกฝ่ายดีพอ การไปอยู