ขันทีอาวุโสหยางไม่เปิดโอกาสให้หรงจือจือได้ตั้งตัว รีบเดินจากไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขถึงแม้เขาจะเป็นคนใกล้ชิดฝ่าบาทที่สุด แต่ก็รู้ดีว่าฝ่าบาททรงให้ความเคารพต่อตำท่านเสนาบดีราวกับบิดาบังเกิดเกล้า ไม่มีผู้ใดสามารถยุแหย่ความสัมพันธ์นี้ได้ แล้วเขาเพียงเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง จะเอาอะไรไปเทียบได้เล่า?ภายภาคหน้า หากนางหรงได้รับการแต่งตั้งเป็นมารดาบุญธรรมของฝ่าบาท เช่นนั้นเขาจะกล้าก้าวล้ำหน้านางนี้ได้อย่างไร?เงินก้อนนี้ รับไว้ไม่ได้จริงๆ!ทันทีที่ขันทีอาวุโสหยางจากไปนางหวังปรายตามองหรงจือจือด้วยความไม่พอใจ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย! เจ้าเป็นหญิงที่หย่าร้างไปแล้ว จะได้ตำแหน่งท่านหญิงไปเพื่ออันใด?”“หากเจ้ารีบไปบอกเสนาบดีเสียแต่แรก ให้ท่านมอบเกียรตินี้แก่เจียวเจียว วันหน้าหากนางมีเกียรติยศรุ่งโรจน์ เจ้าก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วยมิใช่หรือ?”หรงจือจือฟังแล้วกลับยิ้ม นางช่วยชีวิตผู้คนจนได้รับเกียรติยศนี้มาเองแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับต้องยกให้แก่น้องสาว แล้วยังต้องรอพึ่งบารมีของน้องเพื่อให้ตนได้อาศัยแสงส่องอีกหรือ?นางผู้นี้ที่เรียกตัวเองว่าแม่ ช่างลำเอียงเสียจนหัวใจแทบจะหลุดออกมานอ
“ไม่เสียใจ” เฉินเยี่ยนซูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเขามีเพียงสามสิ่งที่ปรารถนาในชีวิตนี้ประการแรก ให้แคว้นต้าฉีแข็งแกร่งเหนือผู้ใด ปวงประชาอยู่ดีมีสุข ดังนั้นแม้จะรู้ดีว่า การสละบัวไหมสวรรค์ไป จะทำให้ตนเองเหลืออายุขัยเพียงสามถึงสี่ปี แต่ก็ยังรวดเร็วและเด็ดขาดดั่งสายฟ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ผนวกแคว้นเป่ยเจียง แคว้นเซวีย และแคว้นเจาเข้าด้วยกัน ทำให้แคว้นต้าฉี่แข็งแกร่งและมั่งคั่งฝ่าบาทได้รับการฝึกฝนจนสามารถรับมือกับทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งในราชสำนักก็ได้ปูทางให้ฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เขาเป็นอะไรไป เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทก็ยังสามารถเสด็จขึ้นว่าราชการล่วงหน้าได้ และแม้แต่แคว้นอื่นก็ยังไม่กล้ารุกรานแม้แต่น้อยความปรารถนาประการที่สองคือการสร้างคุณูปการ ฝากชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งเขาได้ทำสำเร็จไปนานแล้วปรารถนาประการที่สาม ก็คือให้ผู้ที่เก็บไว้ในใจ ได้รับทุกสิ่งที่นางปรารถนา ทุกเรื่องราวล้วนราบรื่น และมีชีวิตปลอดภัยตลอดปีตลอดชาติสำหรับเขาแล้ว ความยาวนานของชีวิตไม่สำคัญเท่ากับการเติมเต็มปณิธานทั้งหมดในช่วงเวลาที่มีอยู่ ตราบใดที่สามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ย
เขาจ้องมองหรงจือจือกล่าวว่า “ดูท่าว่าที่ผ่านมาพ่อคงมองเจ้าต่ำเกินไป หากเจ้าต้องการให้ใครสักคนตาย คงจะง่ายดายมากใช่หรือไม่?”หรงจือจือเงยหน้าขึ้นสบตากับมหาราชครูหรงแล้วถามตรงๆ ว่า “ท่านพ่อกำลังกังวลเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”แท้จริงแล้ว หรงจือจือเข้าใจดีว่าการพบกันครั้งนี้ มิใช่เพื่อชื่นชมว่านางทำเรื่องราวได้อย่างงดงาม แต่เป็นเพื่อหยั่งเชิงและเฝ้าระแวงมหาราชครูหรงชะงักเล็กน้อย ไม่ได้ตอบทันทีหรงจือจือว่า “ท่านพ่อกังวลว่าข้าฉลาดเกินไป มิหนำซ้ำยังใจแข็งเหลือเกิน หากมีผู้ใดในจวนปฏิบัติต่อข้าไม่ดี ข้าจะคำนวณคิดแผนการกับเขาให้หมดหนทางรอด เฉกเช่นตอนที่ข้าทำต่อตระกูลฉีนั่นหรือ?”มหาราชครูหรงราวกับถูกจี้กลางใจ จึงเบือนสายตาหนีนาง “ทั้งมารดาและพี่น้องของเจ้า บิดาย่อมรู้แก่ใจ ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่มือเจ้าเลย”หรงจือจือว่า “แต่ก่อนพวกเขาไม่ดีกับข้า ท่านพ่อเคยเห็นข้าจัดการพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมบ้างหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนี้ มหาราชครูหรงจึงค่อยคลายใจลงอยู่บ้างรีบปรับสีหน้าเป็นบิดาผู้เมตตาแล้วกล่าวว่า “คิดไปแล้วก็เป็นพ่อเองที่คิดมากเกินไป เจ้าเพิ่งกลับจวนในวันนี้ คงเหนื่อยนัก ไปพักก่อนเถิด”หรงจื
“ตอนนี้น้องสาวของเจ้าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สามารถแต่งงานได้ แต่ตามกฎแคว้นต้าฉี การแลกใบเทียบดวงชะตาเพื่อกำหนดไว้ชั่วคราวก่อนก็สามารถทำได้”หรงจือจือรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หรงเจียวเจียวอยากจะพูดคุยเรื่องแต่งงานกับท่านเสนาบดีเสิ่น? นางนึกถึงคนที่เย็นชาและสูงศักดิ์ผู้นั้นขึ้นมา พลางนึกถึงน้องสาวที่เหมือนจะน่ารักน่าเอ็นดู แต่ความจริงกลับโง่เขลาและร้ายกาจคนนั้นความจริงเป็นเรื่องยากมากที่จะคิดว่า สองคนนี้เหมาะสมกันเพียงแต่เรื่องแต่งงาน ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองจะสามารถแทรกแซงได้ ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ยิ่งไม่อาจพูดออกไปได้นางจึงแค่พยักหน้าพลางกล่าว “ท่านพ่อวางใจ ลูกไม่เคยมีความคิดเหลวไหลเช่นนั้นเจ้าคะ”แม้พระชายาอ๋องเฉียนดูเหมือนจะชอบตนเอง ทว่านางเซี่ยล้วนไม่ยอมให้ตนเองเข้าไปในเรือน ยิ่งไปกว่านั้นจวนเสนาบดียังมีความขัดแย้งกับสกุลหรงอีกเพียงแต่นางกลับคิดไม่ถึงว่า ท่านพ่อที่ไม่เคยชอบเสิ่นเยี่ยนซูเลย จะมีความคิดอยากให้ท่านเสนาบดีเป็นลูกเขยขึ้นมาได้มหาราชครูหรงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ “เจ้ากลับไปเถอะ!”......หรงจือจือกลับมายังเรือนอี่เหมยซึ่งเป็นที่อาศัยก่อนตนเองจะแต่งงานออกไปกลับคิด
นางหวังกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เก็บไว้ที่ห้องข้าง หากอับชื้นขึ้นมาจะทำเช่นไร? เจ้าให้จือจือทำความสะอาดเสียหน่อย และอาศัยอยู่ห้องข้างก็ได้แล้ว”อวี้หมัวมัวขมวดคิ้วแน่น เพราะคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านางหวังจะไร้เหตุผลเช่นนี้ให้ความสำคัญกับคุณหนูสามมากกว่าคุณหนูใหญ่ก็แล้วไป แต่เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นของคุณหนูสาม ก็ยังสำคัญกว่าคุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรืออวี้หมัวมัวยิ้มพลางกล่าว “ฮูหยิน คำพูดนี้ของท่าน หากคนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน ยังจะคิดว่าท่านเป็นมารดาที่ไม่เมตตา และลำเอียงเข้าข้างคุณหนูสามอีกนะเจ้าคะ”เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยนางหวังจะคำนึกถึงชื่อเสียงเสียหน่อยคิดไม่ถึงว่านางหวังจะหัวเราะเสียงเย็นพลางกล่าว “ข้าจะลำเอียงแล้วมันทำไมหรือ? เจียวเจียวของข้าเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ สิ่งของที่เอาออกสู่สังคมไม่ได้อย่างจือจือคนนั้นก็สามารถเทียบได้เช่นนั้นหรือ?”หรงเจียวเจียวก็ส่งเสียงฮึในลำคอ และกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “นางไร้ค่าที่เพิ่งหย่าร้างและกลับมาบ้าน ยังจะทำตัวเย่อหยิ่งในจวนอีกหรือ?”“การที่ให้นางอาศัยอยู่ห้องข้างของเรือนอี่เหมยได้ ถือเป็นการให้เกียรติจากท่านแม่แล้ว นางยังคิดจะเอาเช่นไรอีก? ให้นางมาอ
หรงจือจือหลุดขำออกมา นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายพูดเหล่านี้ออกมาอย่างมั่นใจเช่นนี้ได้อย่างไรหรงเจียวเจียวเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขา ส่วนตนเองก็ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของเขาแล้วเช่นนั้นหรือ?นางกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าโชคร้ายมาก”ไม่รู้เพราะเหตุใด หรงซื่อเจ๋อถึงดูเหมือนจะโกรธมากขึ้น หลังจากได้ยินประโยคนี้เขามองหรงจือจือ ยิ้มเสียงเย็นพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าเจ้าโชคร้าย เช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบตอบตกลงด้วยความซาบซึ้งในเมตตาอีกหรือ? นั่นก็เพราะเจียวเจียวถือว่าเจ้าเป็นพี่หญิงจากใจจริง ถึงไม่รังเกียจเจ้าอย่างไรเล่า!”หรงจือจือ “ข้ากลับคิดต่างจากเจ้า ในเมื่อรู้ว่าข้าโชคร้าย เจ้าไปหาคนที่เป็นมงคลและนำโชคดีกว่านี้ มาทำเสื้อผ้าให้หรงเจียวเจียวไม่ดีกว่าหรือ”“มิเช่นนั้นหากนางถูกข้าลากจนในอนาคตต้องหย่าร้างไปด้วยจะทำเช่นไร? ถึงตอนนั้น เจ้าที่เข้ามาหาข้าเพื่อต้องการเสื้อผ้าชุดนี้ไป ก็จะเป็นผู้กระทำผิดเช่นกัน”หรงซื่อเจ๋อ “เจ้า...”ในช่วงขณะนั้นเขาถึงกับถูกทำให้ฉุนจนไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรหรงจือจือกล่าวต่ออีกว่า “อีกอย่างเจ้าบอกว่า ฉีจื่อฟู่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ในเมื่อเจ้าช
แม้แต่หรงจือจือก็มักจะรู้สึกว่า มีคนยุยงอยู่ระหว่างกลาง แต่หรงซื่อเจ๋อไม่ยอมพูดอะไรเลย และแม้จะมีเรื่องเข้าใจผิด ก็ไม่รู้จะแก้ไขที่ส่วนใดดีหรงซื่อเจ๋อกล่าวด้วยดวงตาที่มืดมน “ไม่มีอะไรเข้าใจผิดทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องสกปรกที่เจ้าทำ! ข้าแค่กลัวว่าหากพูดออกไป เจ้าจะอับอายจนถึงแก่ความตายก็เท่านั้น!”“คำพูดไร้สาระพวกนี้วันหลังไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นอีก ทว่าชุดกระโปรงนี่เจ้าแค่บอกมาว่าจะทำหรือไม่แค่นั้น หากไม่ทำ เจ้าอย่ามาโทษที่ข้าไม่ยอมรับเจ้าว่าเป็นพี่หญิงในภายหลังก็แล้วกัน!”ทันทีที่พูดคำนี้ หรงซื่อเจ๋อก็สะบัดชายเสื้อ และก้าวเท้ายาวจากไปเจาซีมองหรงจือจืออย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นหรงจือจือรู้สึกหดหู่เล็กน้อย นางไหนเลยจะไม่รู้ว่าคุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อก่อนพี่น้องมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้กลับเดินมาถึงจุดนี้มันจะดีกว่าหากไม่ผูกพันกันตั้งแต่แรก เพราะมันจะยิ่งทำให้เศร้าใจและทรมานมากขึ้นเจาซีกระซิบถาม “คุณหนู เช่นนั้นเสื้อผ้านี้ ท่าน...จะทำหรือไม่เจ้าคะ?”นางคิดว่าไม่ควรทำแต่เมื่อก่อนคุณหนูดันใส่ใจน้องชายคนนี้มาก ตราบใดที่คุณหนูสามารถทำได้ ก็จะตอบรับคำขออยู่เสมอในน้
หรงจือจือใส่ใจหรงซื่อเจ๋อคนนี้มากเพียงใด ในใจของหรงจือจือย่อมรู้ชัดแน่นอนตอนเป็นเด็กพี่รองคนนี้ของตน นอกจากท่านย่าที่อยู่ในเรือนแห่งนี้ ยังเป็นเพียงคนเดียวที่เต็มใจใกล้ชิดกับหรงจือจือ ดังนั้นหรงจือจือจึงหวงแหนเขามากเช่นกันเมื่อเห็นหรงซื่อเจ๋อพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นหรงเจียวเจียวเองก็รู้ว่า เรื่องนี้เป็นที่มั่นใจเก้าในสิบแล้ว......เที่ยงของวันรุ่งขึ้นหรงจือจือเห็นเจาซีเข้ามาด้วยด้วยสีหน้าแปลก ๆ และเอ่ยปากรายงานว่า “คุณหนู เจ้าพวกนักเล่านิทานด้านนอกมากมาย พากันพูดเรื่องของท่านกับสกุลฉีมั่วซั่วไปหมดแล้วเจ้าค่ะ...” “เห็นได้ชัดว่าสกุลฉีทำให้ท่านผิดหวัง ภายหลังกลับพูดเหมือนว่าท่านทำผิดต่อสกุลฉีเสียนี่”“บ่าวไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เจ้าค่ะ เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนผู้คนต่างด่าทอคนสกุลฉี แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนนี้ถึงเริ่มด่าท่านแล้ว”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “เพราะข้าในเมื่อก่อน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่น่าสงสารที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และทนทุกข์อย่างถึงที่สุดในสายตาของชาวโลก พวกเขาจึงเห็นใจข้าบ้างเป็นธรรมดา” “แต่ตอนนี้ข้าหย่าร้างแล้ว ข้าทำให้พวกเขารู้ว่า ตอ
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา