ถังหยางได้ตรงมาที่จวนและได้พูดคุยกับท่านมหาเสนาบดีก่อน เมื่อได้ยินคำขอของอ๋องฉู่ ท่านมหาเสนาบดีก็เงยหน้าขึ้นมองถังหยางด้วยสายตามเฉียบคม "หากเขาต้องการเช่นนี้ ก็มีแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนเปล่า ๆ เจ้ากลับไปบอกเขาก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ข้ายังสามารถชะลอยับยั้งมันออกไปก่อนได้ และขุนนางในท้องพระโรงหรือเจ้ากรมอื่น ๆ ก็ยังไม่มีคนมาไล่ติดตามเรื่องนี้ แต่คนที่ควรตาย ย่อมสมควรต้องตายแล้ว"ถังหยางได้กระซิบถามขึ้นมาเบา ๆ "ท่านมหาเสนาบดี เรื่องนี้ท่านคิดว่าพระชายาฉีทำคนเดียวได้หรือไม่?"ท่านมหาเสนาบดีตกใจนิ่งไปเล็กน้อย และค่อย ๆ หรี่ตาลงด้วยท่าทางสง่างาม เปล่งบารมีน่าเกรงขาม “ข้าเข้าใจแล้ว เรียกคนพาตัวไปเถอะ”ถังหยางประสานมือคาวระและถอยกลับไปต่อมามีคนจากจวนจิงจ้าวพาตัวฉู่หมิงชุ่ยออกไปคุกในจวนจิงจ้าวทั้งมืดและชื้นฉู่หมิงชุ่ยได้รับการปฏิบัติอย่างดี ได้อยู่ห้องขังที่ค่อนข้างสว่าง เพราะโคมไฟในคุกทั้งหมดถูกวางอยู่ในรูเล็ก ๆ บนกำแพง และวางไม้สนขัดเรียบไว้เพื่อกระจายแสงสว่างแสงริบหรี่ตรงข้ามกับห้องขังของฉู่หมิงชุ่ยสะท้อนลงบนใบหน้าที่ซีดเซียวและว่างเปล่าของนางตั้งแต่นางเข้ามาในห
พระชายาซุนนั่งลงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ พิงศีรษะลงไหล่ที่หนาเต็มไปด้วยเนื้อของเขา หัวใจของยังคงเต้นระส่ำไปหมดอ๋องซุนยกแขนขึ้นกอดพระชายาเอาไว้ และพูดออกมาเบา ๆ ว่า "ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจบลงแล้ว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว"อ๋องซุนมักเป็นฝ่ายที่ได้รับการปลอบโยนเสมอพระชายาซุนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง นางสามารถดูแลทุกอย่างในจวนได้ด้วยตัวเองตอนนี้นางทั้งกลัวและอ่อนแอ เมื่ออ๋องซุนพูดแบบนี้ออกมา ขอบตาของนางแดงก่ำไปหมด นางพูดด้วยเสียงขึ้นจมูกออกมา “อื้อ!""เจ้าห้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ หากเรื่องนี้ขึ้นศาลเข้าสู่การพิจารณาคดี เจ้าก็แค่พูดไปตามจริง และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของจวนอ๋องซุน" อ๋องซุนพูดอย่างแผ่วเบา“ข้ารู้แล้ว” พระชายาซุนรู้สึกเสียใจต่อพวกบ่าว และคนรับใช้ที่ตายไป และยิ่งเกลียดฉู่หมิงชุ่ยเข้ากระดูกดำเรื่องราวในวังหลวงกลับตาลปัตรเพราะเรื่องนี้ หลังจากที่จักรพรรดิหมิงหยวนได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกมันเหลวไหลไร้สาระ ฉู่หมิงชุ่ยแค่คนเดียวเผาจวนอ๋องฉีได้หรือ? อีกทั้งยังทำร้ายคนตระกูลหยวนจนบาดเจ็บสาหัส และยังลักพาตัวพระชายาฉู่ได้อีก?ฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลกเสียจริงแต่พวกคนที่
เขาดูอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เหมือนกับที่คนอื่นบอกเลยว่าทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมนางจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยและไปนั่งด้วยกันอ๋องจี้เทเหล้าและหรี่ตาลง พร้อมยิ้มบาง ๆ ออกมา “เจ้าดื่มได้ไหม?”ฉู่หมิงหยางจัดชายเสื้อของนางเล็กน้อย เทียนสีแดงสะท้อนใบหน้าแดงก่ำ หางตาของนางก็แดงระเรื่อเล็กน้อย "ดื่มได้นิดหน่อยเพคะ"เขาจับมือนางและยิ้มออกมา ปลายนิ้วที่ลูบหลังมือของนาง แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า "หลังจากดื่มเหล้าจอกนี้แล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางกระพริบตา "ชายา?"อ๋องจี้ยิ้มด้วยสายตาเป็นประกาย "ใช่แล้ว ในใจข้า เจ้านั้นคือชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา กระพริบตาจนแพขนตาขยับปริบ ๆ นางหลุบตาลงด้วยใจที่เต้นระรัวเล็กน้อยหลังจากคล้องแขนแลกจอกเหล้าดื่มกันแล้ว แววตาของอ๋องจี้ก็หรี่มืดลง เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินไปที่เตียงฉู่หมิงหยางฝังหน้าลงกับหน้าอกของเขา นางกำแขนเสื้อตัวเองแน่น และอยู่นิ่งไม่ขยับตัวนางถูกวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง อ๋องจี้ก็ลูบแก้มของนางราวกับลูบสมบัติล้ำค่า ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมฉู่หมิงหยางเคยเห็นแววตาแบบนี้มาก่อน ในสายตาของอวี่เหวิ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น อวี่เหวินห่าวและถังหยางกลับไปที่สำนักผู้ตรวจการ และนำพระราชโองการมาถึง สั่งให้กรมอาญาร่วมพิจารณาในคดีนี้ด้วย และเริ่มการพิจารณาคดีในช่วงบ่ายก่อนการสอบสวน เขาได้เรียกองค์รักษ์เงามาสอบถามก่อนเป็นการส่วนตัวองค์รักษ์เงาถูกส่งไปเพื่อปกป้องหยวนชิงหลิงตามพระบัญชาของไท่ซ่างหวง และพวกเขาจะไม่ปลีกตัวออกไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขารีบออกไปทันที ปล่อยให้หยวนชิงหลิงอยู่คนเดียว และต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่แน่หลังจากได้สอบถามโดยละเอียด ก็ได้รู้ว่าองค์รักษ์เงามีรายงานลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนไปที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ ว่าต้องการหัวของอ๋องฉี และให้ค่าหัวราคาห้าหมื่นตำลึงแต่องค์รักษ์เงาไม่ได้ส่งรายงานลับกลับมา และความถูกต้องของเนื้อหานั้นก็ไม่แน่นอน ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงสั่งให้ผู้คนจับตาดูโรงเตี้ยมหมิงเยว่และสำนักมือสังหารอื่น ๆ สำหรับสาเหตุที่ต้องจับตามองที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ แทนที่จะเป็นจวนอ๋องฉี เป็นเพราะไท่ซ่างหวงเชื่อว่ารายงานลับเป็นเท็จ จุดประสงค์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่อ๋องฉี แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นตัวอ๋องฉู่ต่
อวี่เหวินห่าวทำการสอบสวนฉู่หมิงชุ่ยเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉู่หมิงชุ่ยจะมาขึ้นศาล นางได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งได้ด้วยซ้ำเช่นนั้นแล้ว อวี่เหวินห่าวจึงต้องไปที่คุกด้วยตนเองในคุกที่ทั้งมืดและอับชื้น แสงสลัวสะท้องบนใบหน้าซีดเซียวของฉู่หมิงชุ่ย นางนอนพิงบนกองฟาง เมื่อหรี่ตาลงเห็นเสื้อคลุมสีแดงเข้มต่อหน้านาง เฉกเช่นเดียวกันกับวันนั้นที่เห็นตัวเองมีเลือดกระฉูดออกมานางยกยิ้มขึ้นมาอย่างช้า ๆ และค่อยๆ ลืมตาขึ้น ชายคนนั้นยืนถือโคมไฟอยู่ด้านหลัง ถึงเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่นางก็รู้ว่าเขามาที่นี่แล้วนางพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ท่านมาแล้ว!"อวี่เหวินห่าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมนั้น นัยน์ตาหงส์ที่เรียวยาวของเขาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา "ได้ยินมาว่าเจ้าจะสารภาพก็ต่อเมื่อเจ้าเห็นข้าแล้วเท่านั้น"นางหัวเราะ พยายามหัวเราะหนักมาก จนดูเหมือนก้อนสำลีอุดอยู่ในคอ และนางก็ไอออกมาอย่างหนักเหมือนเอาก้อนสำลีนั้นออกไม่ได้"ข้า..." นางค่อย ๆ ลุกขึ้นพยายามนั่งตัวตรง แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง และในที่สุดก็วางมือลงอย่างเหนื่อยล้า "เดิมทีข้าคิดว่า ถ้าหากฆ่าหยวนชิงหลิงแล้ว พวกเราจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ ทำไมท่านถึง
อวี่เหวินห่าวเอ่ยว่า "ตกลง ข้าสัญญา"“ท่านใช้ชีวิตของหยวนชิงหลิงสาบานสิ!” ฉู่หมิงชุยไม่เชื่อคำพูดเขาอวี่เหวินห่าวกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย "ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของพระชายาฉู่ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าจนวาระสุดท้าย"ฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ข้าจะเชื่อท่านเป็นครั้งสุดท้าย"นางวางมือลงบนพื้นแล้วพยายามดันตัวไปข้างหน้าด้วยแรงที่เหลืออยู่ คราบเลือดสีแดงที่เหมือนรอยแตกร้าวบนกำแพงเมือง คดเคี้ยวไปมาไม่สม่ำเสมอ ภายใต้การสะท้อนของแสงสลัว มันจึงดูน่ากลัวเป็นพิเศษ“คือท่านปู่ของข้าเอง!” นางออกแรงกระซิบสี่คำนี้ใส่หูเขาหลังจากพูดจบ นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมองเขาอย่างเศร้าสร้อยริมฝีปากของอวี่เหวินห่าวเหยียดโค้งขึ้น เขายิ้มอย่างเคร่งขรึมเย็นชา "ข้าเองก็คิดว่าเป็นเขา ใครจะไปมีแผนการที่ละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้อีก?""ก็ใช่น่ะสิ จะมีใครควบคุมทุกอย่างได้อย่างเขาบ้าง?" แววตาของฉู่หมิงชุ่ยว่างเปล่า "อันที่จริง เขาก็อยากจะฆ่าข้าเช่นกัน? ตั้งแต่แรกตกลงกันแล้วว่าเขาจะช่วยชีวิตข้า แค่ให้หยวนชิงหลิงตายไปซะ เขาจะช่วยข้าจัดการปัญหาทุกอย่าง ข้ายังคงเป็นคุณหนูคนโตของจวนมหาเสนาบดีเหมือนดั่งวันวาน แต่ในความเป
อวี่เหวินห่าวเฝ้าดูภาพตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเขาพูดกระซิบเสียงเบา “เจ้าใช้ปู่ของเจ้ามาก่อความสับสน แต่ข้าก็มองออกอยู่ดี ข้าคอยระวังเขาอยู่แล้ว เจ้าอย่าคิดว่าเขาจะฆ่าหยวนชิงหลิงแทนเจ้าได้เลย"ก่อนที่นางจะตาย อวี่เหวินห่าวก็โน้มตัวลงมากระซิบชื่อ ๆ หนึ่งข้างหูของนางดวงตาของฉู่หมิงชุ่ยเบิกโพล่งและชักกระตุกอย่างรุนแรง เสียงครางต่ำที่ดังออกมาจากลำคอจนร่างกายหดเกร็ง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเสียใจฉู่หมิงชุ่ยตายตาไม่หลับเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่ลากผ่านลูกกรงเหล็กของเรือนจำ อวี่เหวินห่าวเดินจากไปด้วยสีหน้าเฉยเมยและเย็นชาการพิจารณาคดีร่วมกันกับกรมอาญาในช่วงบ่ายถูกยกเลิกไป เนื่องจากพัศดีในคุกได้มารายงานว่าฉู่หมิงชุ่ยฆ่าตัวตายและเสียชีวิตแล้วคนที่เป็นเหมือนกุญแจสำคัญก็ตายไปแล้ว คำสารภาพของโจรทั้งสองก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกมา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการพิจารณาคดี และสำหรับข้อกล่าวหาทั้งหมดจึงตกเป็นของฉู่หมิงชุ่ยไปกุลีสองคนนั้นถูกตัดสินให้ถูกตัดศีรษะ ในข้อหาร่วมกันสังหารและลักพาตัวพระชายาฉู่อวี่เหวินห่าวสั่งให้ฝูเฉิงทำการสืบสวนอย่างลับ ๆ ว่ามีใครที่เข้าม
ถังหยางนิ่งเงียบแบบนั้นอยู่นาน ลมพัดแรงเข้ามาจากทางหน้าต่าง ทำให้กระดาษบนโต๊ะให้ปลิวกระจัดกระจาย อวี่เหวินห่าวหยิบที่ทับกระดาษหยกขาวมาทับกระดาษพวกนั้นไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ดูเหมือนจะมีหลายคนคิดถึงครรภ์ของเหล่าหยวนจริง ๆ”ถังหยางกล่าวว่า "ตั้งแต่ตอนนั้นที่ข่าวได้แพร่ออกไปว่าพระชายาได้ดื่มยาต้มจื่อจินลงไป ผู้คนย่อมจับตาดูว่าจะเก็บรักษาทารกไว้ได้หรือไม่ ตอนนี้เข้าเดือนที่สี่ และครรภ์นางเข้าสู่ช่วงคงที่แล้ว ดังนั้นพวกนั้นคงจะอดทนต่อไปไม่ได้แล้วเช่นกัน"อวี่เหวินห่าวยิ้มเย้ยหยัน "เจ้าสี่ปิดบังซ่อนเร้นได้เก่งเกินไปแล้ว"เจ้าสี่ อ๋องอัน หรืออวี่เหวินอัน เป็นโอรสของพระสนมกุ้ยเฟย ซึ่งมีตาเป็นแม่ทัพใหญ่ตี้เว่ยหมิง และยังเป็นหัวหน้าครูฝึกขององค์รักษ์เงาอวี่เหวินอันและอวี่เหวินห่าวนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย ในสมัยตอนเป็นเด็กทั้งคู่ต่างฝึกฝนในกองทัพ อวี่เหวินอันทุ่มเทลงแรงมีส่วนร่วมมากมายในสนามรบ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขานำทัพไปปราบปรามกองโจร และทำผลงานได้อย่างโดดเด่น เมื่ออายุยี่สิบปี เขาได้รับพระราชทานอัญมณีล้ำค่าจากชิงอ๋อง ดังนั้นผู้คนจึงเรียกเขาว่าอ๋องชิงเป่าถังหยางพูดด้วยน้ำเสีย