ซูหว่านเอ๋อร์เสียใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกี้ทำไมตัวเองถึงหุนหันพลันแล่นขนาดนั้นนะ?ไม่คิดเลยว่าจะเขียนเพิ่มข้อตกลงที่น่าอับอายขนาดนี้ลงบนสัญญาพอมาตอนนี้ นี่มันไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวและตกหลุมพรางของตัวเองหรอกเหรอ?หน้ารูปไข่ของซูหว่านเอ๋อร์แดงก่ำ มองดูข้อตกลงเพิ่มเติมบนสัญญาสักครู่ ก่อนจะจ้องมองหน้าของหลินเซียวด้วยความอับอายอีกครั้งใบหน้ารูปไข่อันงดงามพราวเสน่ห์เริ่มมีสีหน้าของความเขินอาย“หลิน….หลินเซียว…..”หลินเซียวกำลังพลิกอ่านสัญญาอยู่ พอเขาได้ยินเสียงของซูหว่านเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้นถาม “พี่หว่านเอ๋อร์ พี่ว่าไงนะ?”ใบหน้ารูปไข่ที่แดงก่ำของซูหว่านเอ๋อร์กลับยิ่งแดงขึ้นไปอีก เธอพูดขึ้นอย่างอึกอัก“ข้อตกลงนั่น….เมื่อกี้ฉัน….ข้อตกลงเพิ่มเติมนั้นที่เขียนไว้บนสัญญา ถ้างั้น…..ถ้างั้น….. เรา…..”เวลานี้ ซูหว่านเอ๋อร์จิตใจสับสนราวด้ายพันกัน ดังนั้นเธอก็เลยพูดตะกุกตะกักหลินเซียวพลิกสัญญาไปจนถึงหน้าสุดท้าย พอเห็นข้อตกลงเพิ่มเติมบนสัญญาแล้วยิ้มมุมปากออกมา“พี่หว่านเอ๋อร์ ที่พี่พูดก็คือข้อตกลงเพิ่มเติมข้อสุดท้ายของสัญญาใช่ไหม?ซูหว่านเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรีบร้อนพร้อมพูดขึ้น “ใช่ ใช่ คือข
ซูหว่านเอ๋อร์ไม่อยากมอบครั้งแรกให้หลินเซียวง่ายขนาดนี้ทว่า เธอเขียนหลักฐานบนสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจน นับแต่นี้ไปเธอคือผู้หญิงของหลินเซียวแล้วเธอยากสลัดหลินเซียวให้หลุด แต่มือใหญ่คู่นั้นของหลินเซียวโอ้มอุ้มเธอไว้แน่นแล้วยกเธอขึ้นมาจากนั้นอุ้มเธอเดินไปยังประตูทางเข้าออฟฟิศแล้วล็อกประตูห้องประธานบริษัท“หลินเซียว คุณโปรดระวังการกระทำด้วย คุณแต่งงานแล้วนะ” ซูหว่านเอ๋อร์ดิ้นขัดขืนอยู่ในอ้อมกอดของหลินเซียว“พี่หว่านเอ๋อร์ ไม่สิ เมียจ๋า วันนี้ผมเพิ่งจะหย่าไป ไม่เชื่อพี่ดูสิ” หลินเซียวควักใบหย่าที่เพิ่งหย่ามาเมื่อช่วงสายของวันนี้ออกมาจากกระเป๋าให้ซูหว่านเอ๋อร์ดูแวบหนึ่ง“เดี๋ยวอีกสักครู่ เราก็ไปจดทะเบียนแต่งงานกันแล้ว ทำตามข้อตกลงเพิ่มเติมนี้ไปเลยก็แล้วกัน” หลินเซียวแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้นจากนั้นโซฟาในห้องประธานก็ส่งเสียงยวบยาบผ่านไปสองชั่วโมง ทั้งสองจึงแยกจากกันเมื่อพวกเขาแต่งเนื้อแต่งตัว และทำความสะอาดโซฟาเสร็จแล้วหลินเซียวถึงเพิ่งรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของซูหว่านเอ๋อร์ซูหว่านเอ๋อร์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนที่รักนวลสงวนตัวให้บริสุทธิ์ดั่งหยกอย่างเธอ เมื่อถูกหลินเซียวอุ้มขึ้นในตอน
หลินเซียวไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของซูหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ดีๆ ก็ยื่นทิชชูเปียกให้เขาใช้ทำอะไร?ซูหว่านเอ๋อร์เห็นท่าทางประหลาดใจของหลินเซียว ใบหน้ารูปไข่ก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที “คุณลองไปส่องกระจกดูสิ ริมฝีปากมีลิปสติกของฉันติดอยู่ คุณรีบเช็ดออกเถอะ ถ้าถูกใครเห็นเข้า เดี๋ยวจะเสียภาพพจน์เอาได้นะ!”หลังจากที่ซูหว่านเอ๋อร์พูดจบ เธอก็ปลดล็อกและเปิดประตูออฟฟิศแล้วเดินออกไปหลินเซียวมองแผ่นหลังอันงดงามของซูหว่านเอ๋อร์จนอดไม่ได้ที่จะมีความสุขในหัวของเขาผุดประโยคหนึ่งขึ้นมาทันใด นั่นก็คือ ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงไว้อยู่เสมอความสุขที่มาอย่างกะทันหันนี้ ช่างไม่เลวเสียจริงในโซนทำงานของบริษัท แม้ว่าทุกคนจะดูยุ่งกับงานในมือ แต่ก็ยังแอบนินทากันลับหลังเรื่องที่เสวนากันระหว่างเพื่อนร่วมงาน หนีไม่พ้นเรื่องเดียวนั่นก็คือ หลินเซียว หวังม่านหนีและจ้าวเสี่ยวเลี่ยง“ตามที่ฉันเห็นนะ หวังม่านหนีทิ้งหลินเซียวก็เพื่อจ้าวเสี่ยวเลี่ยงแน่นอน พวกเธอเห็นแล้วหรือเปล่า? ตอนที่หวังม่านหนีเพิ่งเดินเข้ามากับจ้าวเสี่ยวเลี่ยง เดินควงแขนจ้าวเสี่ยวเลี่ยงมาเชียวล่ะ!”“ต้องใช่แน่ๆ ฉันจะบอกพวกเธอให้นะ พวกเธอไม่เห็นใ
เขาบังเอิญเห็นหลินเซียวปรากฏกายอยู่ด้านหลังของซูหว่านเอ๋อร์ไอ้คนจนไปยืนทำอะไรอยู่ด้านหลังของประธานสาวสวย?หลินเซียวที่เพิ่งถูกสวมเขาไป ยังมีอารมณ์ไปฟ้องประธานบริษัท?ทั้งออฟฟิศไม่ได้มีแค่จางเทาคนเดียวที่คิดแบบนี้แม้แต่พนักงานทุกคน รวมถึงหวังม่านหนีและจ้าวเสี่ยวเลี่ยงต่างก็คิดแบบนี้เช่นกันทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือหลังจากซูหว่านเอ๋อร์กวาดสายตาไปจนทั่วแล้ว ในที่สุดสายตาก็มาหยุดที่หลินเซียว“ฉันมาประกาศเรื่องสำคัญให้ทุกคนได้รู้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลินเซียว ประธานหลิน ก็คือประธานกรรมการบริหารของบริษัทพวกเรา ทุกคนปรบมือ!”เมื่อสิ้นเสียงของซูหว่านเอ๋อร์ ทั้งโซนทำงานเงียบสงัดเงียบราวกับว่าเข็มหล่นตกพื้นก็ยังได้ยินเสียงทุกคนต่างจ้องมองหลินเซียวด้วยสายตาเบิกโตและอ้าปากค้างราวกับฝันไปซูหว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอให้พนักงานของตัวเองปรบมือ แต่กลับไม่มีใครปฏิบัติตามเลยสักคนเดียวจนเธอเก้อเขินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเหล่าพนักงานที่กำลังนั่งอยู่คนที่ตกใจที่สุดก็คือหวังม่านหนีตอนนี้เธออยากรู้ว่าคนจนที่ถูกเธอทิ้งอย่างไม่ไยดีและเพิ่งจะหย่ากับเธอไปเมื่อเช้านี้ จู่ๆ เขาจะ
แม้หลินเซียนเป็นถึงประธานบริหารของบริษัทแห่งนี้ แต่เขากลับไม่มีห้องทำงานเป็นของตัวเองในขณะที่เขาหันกลับออกจากโซนทำงาน และในจังหวะที่เดินสวนกับซูหว่านเอ๋อร์ เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆ “ที่รัก ผมต้องการความช่วยเหลือด่วนเลย ผมยังไม่มีห้องทำงานเป็นของตัวเอง จะทำยังไงดีละทีนี้?แม้ว่าเสียงพูดคุยของหลินเซียวกับซูหว่านเอ๋อร์จะมีแค่พวกเขาสองคนที่ได้ยินแต่ในตอนที่หลินเซียวเรียกซูหว่านเอ๋อร์ว่าที่รักในที่สาธารณะแบบนี้ ก็ทำให้เธอหน้าแดงก่ำอย่างไม่รู้ตัวซูหว่านเอ๋อร์ก็เคยได้ยินที่เมื่อก่อนหลินเซียนมักถูกเพื่อนร่วมงานใช้คำพูดโจมตีเขาเป็นประจำในตอนนี้ แม้ซูหว่านเอ๋อร์ยังไม่ได้จดทะเบียนแต่งงานกับหลินเซียว แต่ภายในใจของซูหว่านเอ๋อร์ หลินเซียวได้กลายเป็นสามีของเธอไปแล้วการระบายความแค้นให้สามีเป็นสัจธรรมความถูกต้องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้วซูหว่านเอ๋อร์ไม่ได้คิดแม้แต่น้อย ก่อนชี้ไปที่ออฟฟิศของตัวเองแล้วพูดขึ้น “ใช้ห้องของฉันก่อนแล้วกัน ฉันยกให้คุณ”หลินเซียวตอบปฏิเสธโดยพลัน “ไม่ได้สิ เราคุยกันแล้วว่าคุณยังเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวของบริษัทแห่งนี้ ผมจะใช้ห้องทำงานของคุณได้ไง?
จางเทาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะถูกเศษสวะอย่างหลินเซียวด่าทอต่อหน้าถึงอย่างนั้น จางเทายืนนิ่ง หน้าแดงด้วยความโกรธ ไม่กล้าพูดเลยสักคำเดียวถ้าหากเป็นเพราะเขาพูดจนล่วงเกินหลินเซียว มันไม่ใช่แค่จะต้องตกงานอย่างเดียว แม้แต่รางวัลประจำไตรมาสที่ใกล้จะได้มาครองก็จะต้องหลุดมือไปยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หางานใหม่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน……พอคิดได้เช่นนี้ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างอึดอัดใจไป ขนของในห้องจ้าวเจี้ยนจุนไปและในตอนที่จางเทาขนย้ายของจนเหงื่อเปียกโชก หลินเซียวก็เห็นซูหว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ คล้ายกับกำลังลังเลอยากจะพูดอะไร“พี่หว่านเอ๋อร์ พี่มีอะไรอยากับพูดกับผมหรือเปล่า? แต่ติดที่ตอนนี้ผมเป็นประธานของบริษัท ก็เลยกำลังคิดว่าจะพูดกับผมยังไงใช่ไหม?”ซูหว่านเอ๋อร์มองหลินเซียวด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้วถามขึ้น “คุณรู้ได้ไง?”หลินเซียวยิ้มกริ่ม “ก็หน้าของพี่มันบอก ทำไมผมจะดูไม่ออกล่ะ” ?พอหลินเซียวพูดจบก็ชี้ไปทางพวกเห็บหมัดเหล่านั้นที่กำลังนั่งอยู่ในโซนทำงานอย่างกระวนกระวายใจ ก่อนที่จะพูดกับหว่านเอ๋อร์ “ผมรู้ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่ วางใจเถอะนะ ในเมื่อผมให้เงินลงทุนบริษัทก็เพื่ออยากได
หลินเซียวก็คิดไว้แล้วว่าจะรังแกจางเทาเอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาแบบนี้เมื่อก่อนจางเทาเคยทำอย่างไรกับตัวเองไว้ ตอนนี้เขาก็จะให้จางเทาได้ลิ้มลองรสชาติการโดนรังแกดูบ้าง“คุณรีบสาบานเร็วเข้าเถอะ ถ้าคุณไม่สาบาน ผมก็ไม่กล้าให้คุณไปรินน้ำมาให้แล้วนะ” ประโยคนี้ของหลินเซียวทำเอาจางเทาโมโหจนทันไม่ไหวไม่นาน จางเทารู้สึกราวกับตัวเองขี่หลังเสือแล้วลงยากในใจของเขาเดือดพล่านไปด้วยไฟโทสะแต่จางเทาก็ไม่อาจโกรธหลินเซียวได้อีกแล้ว ยังไงซะวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วหลินเซียวเป็นถึงประธานของบริษัทแห่งนี้ คิดดูแล้วตัวเองก็ยังต้องการงานนี้อยู่ไม่ว่ามีความโมโหสักแค่ไหน จางเทายังคงต้องข่มความโมโหเอาไว้ และพูดขึ้น “ผมขอสาบานเลยว่าถ้าผมด่าคุณในใจ ผมก็คือคนเลวทรามของลูกอีนางแพศยา”หลังจางเทาสาบานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเสร็จ จึงหันหลังกลับอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วเดินออกจากห้องทำงานของหลินเซียวไปซูหว่านเอ๋อร์จัดการธุระของตัวเองเสร็จแล้ว ก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของหลินเซียว“วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดเจ็ดสิบปีของคุณย่า คุณไปกับฉันนะ” ซูหว่านเอ๋อร์พูดกับหลินเซียวด้วยสีหน้ารอคอยคำตอบ“ทำไมคุณไม่บอกผมให้เร
“ซูหว่านเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน? หนูแต่งงานทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะ? ทำไมพ่อไม่เคยได้รู้จักคนนี้มาก่อนเลย?” พ่อของซูหว่านเอ๋อร์ ซูเฉิงกงถามลูกสาวด้วยความโกรธ“ซูหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้เธอเปิดบริษัทเล็กๆ โทรมๆ อยู่ข้างนอกจนปีกกล้าขาแข็งแล้ว เรื่องแต่งงานใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกให้คนที่บ้านรู้ แล้วตัวเองก็แอบจัดงานแต่งอยู่ข้างนอก ท่านย่ายังอยู่ในสายตาของเธออยู่ไหม? “ซูชิงเอ๋อร์ก็ต่อว่าเธอตามคนอื่นๆ เช่นกัน“หลิน....หลินเซียว? เธอชื่อหลินเซียวใช่ไหม” ท่านย่าซูพยายามข่มโทสะแล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าแกล้งทำเป็นเกรงใจ “คุณชายหลินได้หัวใจของหว่านเอ๋อร์มาครอง นั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ไม่รู้ว่าคุณชายหลินทำงานตำแหน่งสูงอยู่ที่ไหน?“ไม่ถึงกับตำแหน่งสูงหรอกครับ ผมเป็นพนักงานในบริษัทของภรรยาผม ปกติก็ช่วยเป็นลูกมือให้กับเธอ” หลินเซียวพูดขึ้นด้วยความจริงจังซูหว่านเอ๋อร์มีรูปโฉมงดงามมาก ในตระกูลซูเธอสวยกว่าซูชิงเอ๋อร์ร้อยเท่าดังนั้นท่านย่าซูจึงอยากเอาเธอเป็นเครื่องมือในการแต่งงานระหว่างตระกูลซูและตระกูลอื่นๆ ในหนานหูมาโดยตลอดทว่า ซูหว่านเอ๋อร์ปฏิเสธความคิดของท่านย่าเรื่อยมาฉะนั้น ครอบครัวของซูหว่าน