1 Answers2025-09-19 22:21:16
บอกเลยว่ามีแหล่งอ่านบทสัมภาษณ์นักเขียนเกี่ยวกับ 'แมรี่' ให้เลือกอ่านหลายแบบ ทั้งสื่อมวลชนทั่วไป งานวิชาการ และคอลเลกชันจดหมายหรือบทนำหนังสือที่รวมความคิดเห็นจากนักวิชาการและนักเขียนร่วมสมัยเข้าด้วยกัน โดยถ้าพูดถึงกรณีของ 'แมรี่' ในความหมายที่มักจะเป็น 'Mary Shelley' แหล่งยอดนิยมเท่าที่ผมเจอคือบทความเชิงสารคดีในเว็บไซต์ข่าวและนิตยสารวรรณกรรม เช่น บทสัมภาษณ์นักเขียนหรือบทความเชิงวิเคราะห์ในเว็บข่าวอังกฤษชั้นนำและนิตยสารวรรณกรรมที่มักเชิญนักเขียนและนักวิชาการมาพูดถึงอิทธิพลของเธอ บทสัมภาษณ์พวกนี้บางครั้งออกมาเป็นวิดีโอหรือพ็อดแคสต์ ทำให้ฟังน้ำเสียงและจังหวะการเล่าเรื่องของนักเขียนได้ชัดเจนมากขึ้น
งานเขียนที่รวบรวมจดหมายหรือคอลเลกชันเชิงประวัติศาสตร์เป็นอีกแหล่งที่สมบูรณ์ สำหรับคนที่อยากเข้าใจมิติของ 'แมรี่' ทั้งในฐานะผู้แต่งและบุคคลสาธารณะ แนะนำมองหาคอลเลกชันจดหมายหรือหนังสือวิจารณ์ที่มีบทนำยาวๆ เพราะบรรณาธิการมักแปลและใส่บทสัมภาษณ์หรือคำวิจารณ์ร่วมสมัยเข้ามาด้วย ตัวอย่างงานประเภทนี้มักพบในสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยหรือสำนักพิมพ์วรรณกรรมคลาสสิก นอกจากนี้ฐานข้อมูลวิชาการอย่าง JSTOR และ Project MUSE ก็มีบทความเชิงวิชาการที่สัมภาษณ์หรือนำบทสัมภาษณ์ของนักเขียนร่วมสมัยมาวิเคราะห์ ซึ่งจะให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการอ่านผลงานของ 'แมรี่' ในบริบททางประวัติศาสตร์และสังคม
พิพิธภัณฑ์และหอสมุดที่เก็บต้นฉบับเป็นอีกช่องทางพิเศษ: สถาบันอย่าง British Library หรือหอสมุดมหาวิทยาลัยที่มีคอลเลกชันดั้งเดิม มักเผยแพร่บทความ บันทึก และการบรรยายที่ทำเป็นสื่อออนไลน์ บางครั้งมีการจัดนิทรรศการออนไลน์พร้อมบทสัมภาษณ์นักวิชาการหรือศิลปินที่แรงบันดาลใจจากเธอ นอกจากนี้รายการวิทยุพ็อดแคสต์เช่นรายการสนทนาวรรณกรรมของ BBC มีตอนพิเศษเกี่ยวกับ 'Frankenstein' และ Mary Shelley ซึ่งเชิญนักเขียน นักวิชาการ และบรรณาธิการมาพูดคุยอย่างจริงจัง ทำให้ได้ทั้งประวัติพื้นฐานและมุมมองการตีความร่วมสมัย
ส่วนตัวแล้วผมมักเริ่มจากบทความในนิตยสารวรรณกรรมเพราะอ่านง่ายและได้มุมมองจากนักเขียนร่วมสมัยทันที จากนั้นขยับไปอ่านบทนำในคอลเลกชันจดหมายหรือหนังสือเชิงประวัติศาสตร์เพื่อเติมรายละเอียดเชิงแหล่งที่มาแบบหนักแน่น ถ้าชอบฟังเสียงจริง ๆ การหาไลฟ์ทอล์กหรือพ็อดแคสต์ที่บันทึกการสัมมนาช่วยให้ภาพรวมชัดขึ้นและได้ไอเดียใหม่ ๆ เกี่ยวกับความหมายของ 'แมรี่' ในยุคสมัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักเขียนหน้าใหม่ หรือนักอ่านสายวิชาการ แหล่งเหล่านี้จะตอบโจทย์ได้ดีและให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งคุยกับผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ซึ่งผมว่ามันทั้งอบอุ่นและเติมไฟให้กับการอ่านได้ไม่น้อย
1 Answers2025-10-15 12:06:37
ใครจะไปคิดว่าบุรุษผู้ถือหมวกและแว่นจากเรื่อง 'Dracula' จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของนักล่าแวมไพร์ไปได้ขนาดนี้ — ตัวละครแวน เฮล ซิ่ง (Van Helsing) มาจากปลายปากกาของอับราฮัม 'แบรม' สโตเกอร์ (Abraham 'Bram' Stoker) ผู้แต่งนวนิยายคลาสสิก 'Dracula' ที่ตีพิมพ์ในปี 1897. งานชิ้นนี้ไม่ได้แค่เสนอแวมไพร์ในแง่มุมสยองขวัญ แต่ยังผสมผสานวิทยาศาสตร์ พิธีกรรมพื้นบ้าน และเอกสารอ้างอิงรูปแบบจดหมายจนทำให้ตัวละครอย่างแวน เฮล ซิ่งมีมิติทั้งในฐานะศาสตราจารย์ นักวิชาการ และนักสู้กับความมืดที่เชื่อทั้งการทดลองและความเชื่อพื้นบ้าน. บทบาทของแบรมในวงการละครและการเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เฮนรี เออร์วิง (Henry Irving) ก็สะท้อนความคุ้นเคยกับเวทีและการเล่าเรื่องที่ทำให้บทบรรยายใน 'Dracula' มีความเป็นละครและภาพได้ชัดเจนขึ้นด้วย.
ผลงานอื่นๆ ที่เด่นของแบรม สโตเกอร์มีหลายเรื่องและหลากอารมณ์ ไม่ใช่แค่แวมไพร์เท่านั้น ตัวอย่างเช่น 'The Jewel of Seven Stars' ซึ่งเป็นนิยายสยองขวัญแนวอียิปต์โบราณที่เล่นกับธีมการฟื้นคืนชีพและคำสาป, 'The Lair of the White Worm' ที่พาไปสู่บรรยากาศชนบทอังกฤษผสมกับความประหลาดและตำนานท้องถิ่น, และ 'The Mystery of the Sea' ที่เน้นเรื่องการสมรู้ร่วมคิดและการผจญภัยแบบทริลเลอร์. นอกจากนี้ยังมีงานที่ค่อนข้างต่างจากแนวสยองขวัญโดยตรง เช่น 'The Snake's Pass' และ 'The Watter's Mou'' ซึ่งสะท้อนบรรยากาศและภูมิประเทศไอริชหรือสกอตติช และบางชิ้นก็พลิกไปทางโรแมนติกหรือผจญภัยได้อย่างน่าสนใจ. จะไม่พูดถึง 'Dracula's Guest and Other Weird Stories' ที่รวมเรื่องสั้นและฉากที่ตัดออกจาก 'Dracula' ก็จะขาดความครบถ้วน เพราะรวมชิ้นงานเล็กๆ ที่เผยมุมมองอีกแบบของสโตเกอร์. นอกจากนิยายแล้ว เขายังเขียนบทความและบันทึกความทรงจำ เช่น 'Personal Reminiscences of Henry Irving' ซึ่งให้มุมมองชีวิตในวงการละครที่เป็นต้นเหตุแรงบันดาลใจในการเขียนหลายเรื่องของเขา.
มรดกทางวรรณกรรมของแบรมสะท้อนออกมาชัดเจนว่าความกลัวที่แท้จริงในงานของเขามักเกิดจากการชนกันของความรู้สมัยใหม่กับความเชื่อโบราณ — นั่นแหละทำให้แวน เฮล ซิ่งน่าสนใจเพราะเขาเป็นสะพานระหว่างโลกทั้งสองด้าน. ตัวละครนี้ถูกต่อยอดในหนังสือ ภาพยนตร์ เกมส์ และซีรีส์สารพัด ทำให้คนรุ่นหลังตีความใหม่เรื่อยๆ ทั้งในแบบฮีโร่สวมบทบาทและในเวอร์ชันที่มีความซับซ้อนด้านศีลธรรม. ในมุมของแฟนที่อ่านทั้ง 'Dracula' และงานอื่นๆ ของแบรม สโตเกอร์ ผมรู้สึกว่าแต่ละเรื่องให้กลิ่นอายและเทคนิคการเล่าเรื่องที่ต่างกัน แต่รวมกันแล้วสร้างภาพรวมของนักเขียนที่กล้าลองผสมผสานสยองขวัญ ประวัติศาสตร์ และละครเวที ซึ่งทำให้โลกของเขายังน่าสำรวจอยู่เสมอ — นี่แหละเหตุผลที่แวน เฮล ซิ่งยังคงเป็นตัวละครโปรดที่ฉันชอบย้อนกลับไปอ่านและดูการตีความใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ.
1 Answers2025-10-07 14:22:05
หัวเราะได้เลยเมื่อได้ยินมุข 'ฝนตกขี้หมูไหล' เพราะมันชนกันทั้งภาพที่เกินจริงกับคำพูดที่คุ้นเคยจนกลายเป็นความตลกแบบทันที ภาพฝนตกแล้วมีอะไรที่ดูน่ารังเกียจจนเกินจริงผุดขึ้นมาในหัวทันที ทำให้สมองของเราเซอร์ไพรส์และปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ความขัดแย้งระหว่างคำว่า 'ฝนตก' ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา กับคำว่า 'ขี้หมูไหล' ที่หยาบและแหวกแนวนั้นกระตุ้นให้เกิดความตลกแบบไม่เป็นอันตราย (benign violation แบบที่สัมผัสได้) เพราะความผิดปกติที่ไม่ได้ทำร้ายใครจริง ๆ แต่กลับทำให้ความคาดหวังถูกทำลายจนเกิดคลื่นหัวเราะ
ในเชิงวาทศิลป์และจังหวะ มุขนี้มักได้ผลดีเพราะมีองค์ประกอบสำคัญสามอย่าง: ภาพที่ชัดเจน คำที่หยาบแต่กระชับ และการจัดวางเวลาพูดที่ดี ถ้าผู้เล่าเล่าในจังหวะที่ไม่คาดคิดหรือใส่น้ำเสียงแบบเว้นจังหวะก่อนจะบอกคำสุดท้าย เสียงหัวเราะยิ่งตามมาเร็วกว่าเดิม เคยได้ยินนักเล่าเรื่องตลกเล่าเรื่องเล็ก ๆ แล้วจบด้วยมุขนี้ แค่เปลี่ยนน้ำเสียงหน่อยเดียวก็ทำให้กลุ่มคนในห้องแตกฮากได้เลย นอกจากนี้ คำว่า 'ขี้หมู' เป็นคำที่มีความหยาบแต่ไม่รุนแรงมากนักในบริบทไทย มันจึงกลายเป็นคำที่คนหลายวัยรับได้และยังมีความใกล้ชิดกับประสบการณ์ชนบทหรือเรื่องกิน เลยทำให้มุขนี้สะดุดใจได้กว้างกว่ามุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมหรือศัพท์เฉพาะ
อีกมุมหนึ่งที่ทำให้มุขนี้โดนคือความคุ้นเคยทางวัฒนธรรมและความทรงจำร่วม เช่น ในวัยเด็กบางคนเคยได้ยินญาติผู้ใหญ่เอามาบอกแบบหยอกล้อเวลาฝนตก หรือเห็นสื่อล้อเลียนในรายการตลกไทยและมุกอินเทอร์เน็ต จนเกิดการเชื่อมโยงกับความสนุกแบบบ้าน ๆ เมื่อเสียงมุขดังขึ้น มันจึงไม่เพียงทำให้หัวเราะเพราะความแปลก แต่ยังปลุกความทรงจำที่อบอุ่นผสมอยู่ด้วย ผลลัพธ์คือหัวเราะแบบเคล้าอารมณ์ทั้งชวนขำและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดียวกัน
ท้ายที่สุด มุขประเภทนี้ยังมีพลังในการละลายบรรยากาศ ทำให้คนที่เครียดหรือจริงจังอยู่ได้ผ่อนคลาย การหัวเราะร่วมกันจากมุขง่าย ๆ อย่าง 'ฝนตกขี้หมูไหล' สร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ฟังและผู้พูดได้เร็ว ๆ และบางครั้งก็กลายเป็นมุขประจำกลุ่มที่เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกครั้ง มันคือความเรียบง่ายที่ฉันชอบ — มุขสั้น ๆ แต่ได้ผลจนยิ้มไม่หยุด
3 Answers2025-10-20 06:00:25
อยากจะเล่าให้ฟังถึงเส้นทางที่นักศึกษาวิทยาศาสตร์จุฬาฯ สามารถเริ่มทำเพลงประกอบอนิเมะได้ โดยไม่ต้องมีเส้นทางตรงจากคณะดนตรีเท่านั้น
การสร้างพอร์ตให้โดดเด่นเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับฉัน พอร์ตที่ดีไม่ได้แค่มีงานเพรียบๆ แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าทำงานให้ภาพได้จริง ตัวอย่างที่ฉันชอบอ้างถึงคือเพลงจาก 'Your Name' ที่ดึงอารมณ์ของฉากได้แบบซับซ้อน—เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าธีมเดียวสามารถพัฒนาเป็นหลายชั้นอารมณ์ได้ ดังนั้นควรทำชิ้นงานหลากหลาย: ธีมตัวละคร, บทดราม่า, เบรกแอคชัน และบีจีเอ็มสั้นๆ ที่ซิงค์กับคลิปอนิเมะสั้นๆ แม้จะเป็นโปรเจกต์นักศึกษา แค่ 30–60 วินาทีก็แสดงทักษะได้เยอะ
ด้านทักษะเทคนิค อย่าแยกการเรียนจากการลงมือทำ สะสมความคุ้นเคยกับโปรแกรมบันทึกเสียง การเรียบเรียงเครื่องดนตรีเสมือน และการมิกซ์มาสเตอร์พื้นฐาน ฉันมักทำม็อกอัพแบบเร็วๆ ให้ผู้กำกับเห็นบรรยากาศก่อนพัฒนาต่อ ความร่วมมือเป็นของจริง: รับฟังบรีฟ ทำเทมโป แก้จูนตามโทนของฉาก และรักษาไทม์ไลน์ให้ตรง การมีเครือข่ายในชมรมภาพยนตร์หรือกลุ่มแอนิเมเตอร์ในมหา'ลัยช่วยให้มีโอกาสทำเครดิตจริง ซึ่งสำคัญกว่าทฤษฎีเยอะ
ท้ายสุด เรื่องสัญญาและเครดิตอย่ามองข้าม การตกลงเรื่องลิขสิทธิ์ การแบ่งสัดส่วนรายได้ และการเขียนเครดิตชัดเจนจะช่วยให้เส้นทางยาวไกล ฉันเชื่อว่าความขยันบวกการวางตัวเป็นมืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากคณะดนตรีก็เข้าไปมีส่วนในวงการได้จริงๆ
5 Answers2025-10-08 17:46:28
การอ่านพันเจียในต้นฉบับเปิดมุมมองที่ลึกกว่าที่ฉันคาดไว้ ตอนแรกเขาดูเหมือนตัวละครสมทบที่คอยจุดชนวนเหตุการณ์ แต่พอเลื่อนผ่านฉากเล็ก ๆ ที่เล่าอดีตและความคิดภายใน จะเห็นว่าเขาทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความอ่อนแอและความทะเยอทะยานของตัวเอกได้อย่างคมชัด
บทบาทของพันเจียไม่ได้จำกัดอยู่แค่ฝั่งดีหรือชั่วเท่านั้น เขาทำให้ผู้อ่านตั้งคำถามกับคำจำกัดความของความถูกต้อง เพราะหลายการตัดสินใจของเขามีรากเหง้ามาจากระบบ สถานะ และความต้องการเอาตัวรอด ซึ่งทำให้บทบาทเขากลายเป็นตัวแทนของความขัดแย้งภายในสังคมมากกว่าจะเป็นแค่วายร้ายพื้น ๆ
ฉันชอบที่ผู้เขียนให้โทนและจังหวะการเล่าเพื่อเผยพันเจียเป็นชั้น ๆ แบบเดียวกับฉากใน 'Death Note' ที่ตัวร้ายไม่ใช่แค่คนเลว แต่เป็นพลังที่สะท้อนสภาพสังคม การได้เห็นมุมมองของเขาทำให้ทั้งเรื่องหนักขึ้นและมีมิติขึ้นอย่างไม่น่าเบื่อ
3 Answers2025-10-14 13:31:40
เราเชื่อว่าดนตรีของภาพยนตร์มีพลังเหมือนคนเล่าเรื่องอีกคนหนึ่ง — มันสามารถขยายความหมายของภาพที่เห็นให้กลายเป็นความทรงจำที่จับต้องได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานดนตรีจาก 'Interstellar' ที่เต็มไปด้วยซาวด์แผ่วลึกและโน้ตที่เหมือนคลื่นลมอ่อน ๆ
เมื่อฟังครั้งแรก ผมรู้สึกว่าจังหวะของเครื่องดนตรีเหมือนการเต้นของนาฬิกาที่บอกเวลาของตัวละคร ซึ่งดันอารมณ์ขึ้นสู่ความกดดันและความเศร้าในเวลาเดียวกัน เสียงออร์แกนหนัก ๆ ในฉากอวกาศกับเสียงสังเคราะห์ที่เบา เป็นการผสมผสานระหว่างความยิ่งใหญ่ของจักรวาลกับความอ่อนโยนของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ความทรงจำของฉากที่นกกระจอกบินผ่านทุ่งข้าวในมุมมองที่กว้าง ทำให้ดนตรีนั้นไม่ใช่แค่แบ็กกราวด์ แต่กลายเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงเราเข้ากับเนื้อหา
มุมมองเชิงเทคนิคก็ชวนให้ตื่นเต้นเพราะการใช้ธีมสั้น ๆ แล้วค่อย ๆ ขยายเป็นเส้นเสียงที่กว้างขึ้น ช่วยให้ฉากที่ดูเรียบง่ายกลายเป็นประสบการณ์ที่หนักแน่นและติดตรึงใจ สุดท้ายแล้วดนตรีแบบนี้ทำให้ผมออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกค้างคา — ไม่ใช่เพราะคำตอบทั้งหมดถูกให้มา แต่เพราะเพลงร้องเรียกให้ตั้งคำถามต่อความหมายของเวลาและความผูกพัน ซึ่งนั่นแหละคือความงดงามที่ผมยังคงพกติดตัวอยู่
4 Answers2025-10-20 23:06:40
ฉากรอรถเมย์ในสายฝนจาก 'My Neighbor Totoro' ยังคงเป็นภาพที่ฉันเอาไว้เล่าให้เพื่อนฟังเสมอ เพราะความบริสุทธิ์ของมันไม่ซับซ้อนแต่ทรงพลัง ภาพเด็กสาวสองคนยืนใต้ร่ม รอการมาถึงของสิ่งที่ไม่คาดคิด แล้วมีสิ่งมหัศจรรย์มาปรากฏตัวอย่างเงียบ ๆ — มันเป็นการผสมผสานระหว่างความเหงาในวัยเด็กและความปลอดภัยที่พบในความไม่รู้ หนังสือและบทเพลงประกอบช่วยเสริมบรรยากาศจนเกิดเป็นโมเมนต์ที่คนดูทุกวัยหยุดหายใจไปพร้อมกัน
ในฐานะแฟนที่ชอบมองรายละเอียดเล็ก ๆ ฉันชอบว่าฉากนี้ไม่ได้ต้องการคำอธิบายยาว ๆ เพื่อให้คนเข้าใจ ความเงียบที่ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจ เสียงฝน กระดาษกรอบของร่ม และการมองตอบของตัวละครทั้งหมดสื่อสารได้เองว่ามันคือความวิเศษของวัยเด็ก ฉากนี้ถูกพูดถึงมากเพราะมันสะท้อนความทรงจำที่คนส่วนใหญ่ยังมีติดตัว — ความหวังเล็ก ๆ ที่โผล่ขึ้นในวันที่ธรรมดา
ยังจำความรู้สึกตอนเห็นครั้งแรกได้เหมือนกันว่าใจอ่อนลงแบบไม่รู้ตัว มันไม่ใช่แค่ฉากตลกหรือซาบซึ้ง แต่มันเป็นการย้ำเตือนว่าโลกอนิเมะสามารถทำให้ความบริสุทธิ์ของหัวใจกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นี่แหละเหตุผลว่าทำไมฉากเล็ก ๆ จาก 'My Neighbor Totoro' ถึงถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในวงสนทนาของแฟนรุ่นต่าง ๆ
3 Answers2025-10-19 09:44:38
ลองนึกภาพฉากจาก 'Casablanca' ที่เคยเป็นฟิล์มขาว‑ดำเก่า ๆ กลับมามีเส้นคม สีดำเข้ม และรายละเอียดบนเสื้อโค้ทยังคงเอ่อล้นได้ในจอ 4K — นั่นแหละคืองานของการอัปสเกลที่ดี
ฉันทำงานกับฟุตเทจเก่ามาหลายครั้ง แล้วพบว่าแก่นของกระบวนการคือการให้ความเคารพกับต้นฉบับก่อนเริ่มปรับขนาดจริง ๆ ขั้นแรกต้องสแกนจากฟิล์มต้นฉบับ (หรือจาก master ที่ดีที่สุด) ด้วยความละเอียดสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะยิ่งมีข้อมูลตั้งต้นมาก การอัปสเกลจะยิ่งทำได้อย่างสมจริง ต่อมาคือการล้างรอยขูด รอยฝุ่น และซ่อมเฟรมที่เสียด้วยเครื่องมือกู้คืนแบบพิกเซลต่อพิกเซล ซึ่งบางครั้งต้องใช้การแก้ไขด้วยมือเพื่อไม่ให้รายละเอียดหาย
หลังจากทำความสะอาดแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการใช้เทคนิคซูเปอร์‑เรโซลูชัน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริธึมเชิงสถิติหรือเครือข่ายประสาทเทียม ที่สามารถสร้างพิกเซลใหม่โดยคาดการณ์จากบริบทของภาพ แต่สิ่งที่ทำให้ภาพดูจริงมากกว่าความละเอียดคือการจัดการกับ 'เวลา' — โมเดลที่คำนึงถึงเฟรมต่อเฟรม ช่วยลดการสั่นหรือแสงกะพริบที่มักเกิดจากการประมวลผลทีละเฟรม นอกจากนี้ยังมีการคัลเลอร์เกรดเพื่อคงโทนของฟิล์มดั้งเดิมและการเติมเม็ดฟิล์มกลับเข้าไปเล็กน้อยเพื่อรักษาเนื้อสัมผัส
ท้ายสุด ฉันมักจะเตือนเสมอว่าเครื่องมือแม้จะทรงพลัง แต่ต้องใช้ความเป็นศิลปะในการตัดสินใจ บางครั้งการรักษาความหยาบเล็กน้อยของฟิล์มดั้งเดิมย่อมยิ่งทำให้ภาพมีชีวิตกว่าการลุยให้เรียบสะอาดจนเหมือนภาพสังเคราะห์ นี่แหละคือความสนุกของงานนี้ — เทคนิคนำทาง แต่การตัดสินใจสุดท้ายมาจากสายตาที่เคยดูหนังมานาน