กลับมาเกิดใหม่ ฉันตัดสินใจใส่ชื่อของน้องสาวลงในใบคำร้องขอจดทะเบียนสมรส ครั้งนี้ฉันช่วยลู่ฮ่าวเซวียนให้สมปรารถนา ชาตินี้ฉันเอาชุดเจ้าสาวให้น้องสาวสวม และเอาแหวนแต่งงานให้น้องสาวใส่ก่อนเขาก้าวหนึ่ง ฉันเร่งให้การเจอกันทุกครั้งของเขากับน้องสาวเร็วขึ้น เขาพาน้องสาวไปเมืองหลวง ฉันลงใต้ไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซินโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงเพราะชาติก่อนฉันอายุเกินห้าสิบปี เขากับลูกชายยังคงคุกเข่าขอฉันหย่า ช่วยสนองให้พรหมลิขิตสุดท้ายของเขากับน้องสาวสำเร็จ กลับมาเกิดใหม่อีกชาติ ฉันแค่อยากกางปีกโบยบินไปให้สูงไม่สนเรื่องความรัก
View Moreห้องรับแขกไม่ใหญ่ แต่สะอาดและเป็นระเบียบมาก เครื่องนอนที่อยู่บนเตียงก็มีกลิ่นแดดคละคลุ้งออกมา“เธอพักก่อนสักเดี๋ยวเถอะ อีกไม่นานเกี๊ยวก็เสร็จแล้ว” กู้อี้เฉินวางกระเป๋าสัมภาระลง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนฉันพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงมองเกล็ดหิมะที่โปรยปรายนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกถึงความสงบและปลอดภัยที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่งบางที นี่ก็คือความรู้สึกของบ้านละมั้งตอนกลางคืน เราล้อมวงนั่งข้างโต๊ะกินข้าวกินเกี๊ยวร้อน ๆคุณย่ากู้คีบอาหารให้ฉันไม่หยุด“หรานหร่านจ้ะ ต่อไปเธอก็มาเที่ยวเล่นบ่อย ๆ นะ บ้านย่าต้อนรับเธอทุกเมื่อ”ฉันฉีกยิ้มพร้อมพยักหน้า ในใจอบอุ่นกินข้าวเสร็จ กู้อี้เฉินก็เสนอว่าจะพาฉันไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ ๆสวนสาธารณะในฤดูหนาวคนน้อยมาก มีเพียงคู่รักสองสามคู่มาพลอดรักกัน ดื่มด่ำความเงียบสงบที่ยากจะหาได้นี้เราเดินเลียบไปตามข้างทะเลสาบช้า ๆ ไม่มีใครพูดอะไรเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาเบา ๆ ตกมาบนตัวเราคล้ายกับผ้าโปร่งเบาบาง ๆ ชั้นหนึ่ง“ขอบคุณนะ อี้เฉิน” ฉันพูดขึ้นทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ขอบคุณอะไรฉันเหรอ?”“ขอบคุณที่รุ่นพี่รับเลี้ยงฉัน ให้ที่หลบภัยแสนอบอ
“ถ้านายอยากชดเชยจริง ๆ งั้นก็ใช้ชีวิตกับสวี่ฮุ่ยให้ดี ๆ”“อย่ามารบกวนฉันอีก แบบนี้จะดีกับเราทั้งสองพี่น้องมากกว่า”แววตาเขาหม่นหมอง ในน้ำเสียงแฝงความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “แต่ฉันมักจะรู้สึกว่า เมียของฉันควรเป็นเธอ”ในที่สุดความอดทนของฉันก็หมดลง จึงออกคำสั่งไล่แขกเลย“ลู่ฮ่าวเซวียน นายควรไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่คำพูดที่นายควรจะพูด และไม่ใช่ที่ที่นายควรมาด้วย”เขาลุกขึ้นอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องของฉันพร้อมฝีเท้าหนักอึ้งฉันมองแผ่นหลังของเขา ในใจไร้ซึ่งความแปรปรวนใด ๆไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็โลเลระหว่างผู้หญิงสองคน ต้องการทุกคนอย่างไม่รู้จักพอฉันเริ่มครุ่นคิด ในเมื่อลู่ฮ่าวเซวียนกับสวี่ฮุ่ยอาศัยอยู่ที่นี่แล้วฉันก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่ออีกบ้านตระกูลลู่ เดิมทีก็ไม่ใช่บ้านของฉันอยู่แล้วเช้าตรู่วันต่อมา ฉันเก็บกระเป๋าสัมภาระเสร็จ ก็ไปเคาะประตูห้องของนายหญิงตระกูลลู่ฉันยัดบัตรธนาคารใบหนึ่งใส่มือของเธอ แล้วพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า“น้าคะ หลายปีมานี้ขอบคุณการดูแลของพวกน้าด้วยนะคะ”“ในบัตรเป็นเงินที่หนูเก็บออมเอาไว้ในหลายปีนี้ ถือว่าตอบแทนบุญคุณเลี
ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็เลี้ยงดูฉันมา ฉันจะใจจืดใจดำเกินไปไม่ได้คิดแล้วคิดอีก ฉันก็ยังซื้อตั๋วรถ หิ้วของขวัญถุงเล็กถุงน้อยกลับเมืองซานอยู่ดีเพิ่งเข้าประตูใหญ่บ้านตระกูลลู่มา ก็ได้ยินเสียงก่นด่าเล็กแหลมเสียงหนึ่ง“ลู่ฮ่าวเซวียน นี่พี่หมายความว่ายังไง?”“ฉันขอบอกพี่เลยนะ ฉันอุ้มท้องลูกของพี่อยู่ ไม่ได้มาเพื่อถูกรังแกนะ!”ฉันอึ้งไป เห็นเพียงสวี่ฮุ่ยท้องใหญ่มาก กำลังด่าลู่ฮ่าวเซวียนสาดเสียเทเสียสีหน้าของลู่ฮ่าวเซวียนคล้ำดำเขียว ทว่าไม่กล้าโต้กลับ ได้แต่ปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ฮุ่ยฮุ่ย เธอใจเย็นหน่อยนะ หมอบอกแล้วว่าตอนนี้เธอจะโมโหมากเกินไปไม่ได้ มันไม่ดีต่อเด็ก”“ฉันก็แค่ต้องการเสื้อโค้ตตัวนั้น พี่รีบไปซื้อมาสิ!”“ฮุ่ยฮุ่ย ครั้งหน้าฉันจะซื้อให้เธอโอเคไหม เบี้ยเลี้ยงเดือนนี้ใช้หมดแล้ว”ลู่ฮ่าวเซวียนประคองสวี่ฮุ่ยนั่งลงอย่างระมัดระวัง“โทษที่พี่ไร้ประโยชน์ จนถึงตอนนี้ยังเป็นแค่ผู้บังคับกองร้อย พี่คงไม่ได้ส่งเงินให้พี่สวี่หร่านใช้หรอกนะ”สีหน้าของลู่ฮ่าวเซวียนเปลี่ยน “ฮุ่ยฮุ่ย เธออย่าพูดจาซี้ซั้วนะ ฉันกับเขาตัดขาดกันไปนานแล้ว”“ตัดขาดกันงั้นเหรอ? พี่เห็นฉันโง่เหรอ? พี่เขียนจดหมายใ
อธิการบดีมองฉัน แล้วสลับไปมองลู่ฮ่าวเซวียน ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้นมาว่า“คุณลู่ ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอะไรกับนักศึกษาสวี่หร่าน งั้นคุณก็ทำเรื่องลาออกให้เธอไม่ได้”ในตอนนี้เองฉันถึงถอนหายใจทีหนึ่งลู่ฮ่าวเซวียนยังอยากพูดอะไรอีก ทว่าถูกอธิการบดีพูดตัดบท“คุณลู่ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว”“เชิญคุณออกไปเถอะครับ ผมยังมีงานต้องจัดการ”วันต่อมา ลู่ฮ่าวเซวียนยังคงตามหลอกตามหลอนเหมือนผีฉันถูกเขาตามตื๊อจนทนกับการรบกวนไม่ไหว ประสิทธิภาพการเรียนก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยสิ่งที่ทำให้ฉันยิ่งปวดหัวก็คือ สวี่ฮุ่ยก็มาด้วย“พี่เซวียน ขอร้องพี่ละ เรากลับไปหย่ากันเถอะ!”“ฉันไม่อยากทำแบบนี้ ฉันไม่อยากแย่งสามีของพี่สาว”“ฉัน...ฉันมันเป็นคนชั่ว...”เธอดึงชายเสื้อของลู่ฮ่าวเซวียน ร้องไห้ตัวสั่นลู่ฮ่าวเซวียนโอบเธอไว้ในอ้อมอกอย่างปวดใจ พร้อมตบหลังเธอเบา ๆ“ฮุ่ยฮุ่ยเชื่อฟังนะ ไม่ต้องร้องไห้นะ นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ”“เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ดีเอง ทำให้เธอต้องลำบากแล้ว...”สวี่ฮุ่ยร้องไห้จนน่าสงสาร แสร้งจะคุกเข่าให้ฉัน“พี่ขอโทษนะ พี่อย่าโกรธพี่เซวียนเลยนะ ฉันรู้ว่าเป็นเพราะเข้าใจพี่เซวีย
เห็นได้ชัดว่าอากาศของเมืองเซินชื้นทว่าอบอุ่น ฉันยืนสับสนอยู่หน้ามหาวิทยาลัยเซินเล็กน้อยเดินอยู่ในวิทยาเขต ไม่คิดเลยว่าจะมีความรู้สึกได้รับชีวิตใหม่อย่างหนึ่งตอนกลางวัน ฉันนั่งอยู่ในห้องเรียน ฟังการบรรยายอย่างตั้งใจ ซึมซับส่วนที่เป็นความรู้ตอนกลางคืน ฉันทำงานพาร์ตไทม์ในร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน เหนื่อยจนปวดเอวปวดหลังไปหมดทว่าความเหนื่อยล้าพรรค์นี้ กลับทำให้ฉันรู้สึกถึงความแน่วแน่ผ่านไปหนึ่งเดือน ฉันค่อย ๆ ชินกับชีวิตที่ยุ่งแต่เปี่ยมไปด้วยความหมายทว่าเห็นลู่ฮ่าวเซวียนอยู่ใต้ตึกหอพัก“สวี่หร่าน! ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?”“ทำไมถึงเขียนชื่อของฮุ่ยฮุ่ยในใบคำร้องขอจดทะเบียนสมรส? ทำไมไม่ไปเมืองหลวง?!”ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่เข้าใจฉันมองเขาอย่างเย็นชา “ฉันไม่ต้องการสามีที่ในใจมีแต่คนอื่น”“น่ารังเกียจที่สุด รับไม่ได้จริง ๆ!”เขามองฉันอย่างไม่กล้าเชื่อ “ทำไมเธอถึงพูดจาแบบนี้ ก่อนหน้านี้เธอไม่ใช่แบบนี้เลย”ฉันเบือนหน้าไป มวลท้องไปหมด ความรู้สึกคลื่นไส้เอ่อขึ้นมาสายหนึ่งฉันไม่อยากมองเขาอีก ไม่อยากแม้แต่วินาทีเดียว“ลู่ฮ่าวเซวียน ตอนนี้ฉันแ
บางทีอาจจะสังเกตเห็นแล้ว และบางทีอาจไม่ได้สนใจเลยฉันหัวเราะอย่างน่าเวทนา ความลังเลสุดท้ายในหัวใจสลายหายไปโดยสมบูรณ์ที่แท้ นี่ก็คือสิ่งที่เขาบอกว่า ‘หลังจากนี้ฉันจะทำดีกับเธอ’คนขับรถพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาล ผ่านการตรวจออกมา โชคดีที่อาการบาดเจ็บภายนอกและอวัยวะภายในเคลื่อนเล็กน้อยฉันนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทั่วทั้งตัวมีแต่ความเจ็บปวด ทว่าในใจกลับราบเรียบดึกมากแล้ว ฮ่าวเซวียนเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเหนื่อยล้าเมื่อเขาเห็นว่าฉันฟื้นแล้ว บนใบหน้าก็วาบความลนลานขึ้นมาเล็กน้อย“หรานหร่าน เธอรู้สึกยังไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”ฉันมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ได้ตอบกลับอะไรเขาถูมือ พลางอธิบายอย่างกระวนกระวาย“ฮุ่ยฮุ่ยเขากลัวมากเกินไปหน่อย ฉันอยู่ข้างเขาตลอด เพราะงั้น...”ภายใต้สายตาของฉัน เขาเงียบไปด้วยความกระดากอาย“หรานหร่าน เธอฟังที่ฉันพูดนะ ตอนนั้นสถานการณ์มันกะทันหันเกินไป ฮุ่ยฮุ่ยอยู่ใกล้ฉัน ตามสัญชาตญาณฉันเลย...”เขาชะงักไป คล้ายกับกำลังจัดระเบียบคำพูด “ฉันไม่รู้ว่าเธอจะถูกชน”ฉันพูดขึ้นตัดบทเขา “นายจะไปเมืองหลวงเมื่อไหร่?”เขาตอบกลับอย่างระมัดระวัง “ไปพรุ่งนี้แล้ว”“รู้แล้ว ฉันอยา
Comments