บอกตามตรงเลยว่าการสะสมของจาก '
ลิขิตเหนือเขนย' มันมีเสน่ห์แบบจับต้องได้มากกว่าที่คิด เพราะนอกจากจะได้ชิ้นงานสวย ๆ แล้วแต่ละชิ้นยังย้ำเตือนถึงโมเมนต์ในเรื่องที่เรารักอยู่เรื่อย ๆ
สิ่งที่ผมมักจะแนะนำให้สะสมเป็นอันดับแรกคือหนังสือรวมภาพหรืออาร์ตบุ๊คของเรื่อง เพราะภาพประกอบที่คัดสรรมา มุมสี และสเก็ตช์คอนเซ็ปต์มันบอกเล่าความตั้งใจของคนวาดได้ชัดเจนกว่าไอเท็มอื่น ๆ อาร์ตบุ๊คมักมีงานวาดแบบเต็มรูปแบบ ไลน์อาร์ตฉบับร่าง และคอมเมนต์จากผู้สร้าง ซึ่งทำให้เราเข้าใจคาแรกเตอร์และโลกของเรื่องลึกขึ้น อีกชิ้นที่ขาดไม่ได้คือฟิกเกอร์หรือสแตจฟิก (PVC/scale figures) โดยเฉพาะตัวละครหลักที่มีโพส Ikigai ชัดเจน การวางฟิกเกอร์บนฐานจัดแสดงดี ๆ จะเป็นจุดโฟกัสของชั้นโชว์ได้ทันที
ผมยังชอบสะสมไอเท็มเล็ก ๆ ที่เอามาจัดเป็นเซ็ต เช่น อะคริลิกสแตนด์ พินกระดุม (enamel pins) และที่คั่นหนังสือลิมิเต็ด ถ้าอยากให้คอลเล็กชันดูมีชีวิต พวกอาร์ตการ์ด/โปสการ์ดเซ็ตงานอิลัสก็เป็นตัวเลือกที่ลงตัว — เหมาะจะใส่กรอบแขวนห้องหรือวางทับ
หนังสือเล่มโปรด นอกจากนี้ OST หรือซาวด์แทร็กของเรื่องคือของสะสมที่ให้บรรยากาศ ถ้าวางแผ่นเสียงไวนิลได้จะยิ่งอิน เพราะเสียงเพลงจะพาเรากลับสู่ฉากสำคัญได้ทันที
สำหรับคนที่ชอบของนุ่ม ๆ ก็มีพลัฟหรือดัคิม่ากุซึ่งมักออกแบบเป็นธีมคาแรกเตอร์พิเศษ บางอีเวนต์ยังมีสินค้าลิมิเต็ดเช่น พวงกุญแจโลหะ ลายปั๊มทอง หรือกล่องเหล็กใส่โปสการ์ด ซึ่งบางชิ้นพอครบชุดแล้วผลตอบแทนทางความรู้สึกมันคุ้มค่ามาก อยู่ที่ว่าเราต้องการความหายากหรือเน้นใช้งานจริง ๆ ส่วนของหายากระดับเซอร์ไพรส์คือเอดิชันเซ็นชื่อของผู้เขียนหรือชิ้นงานพิมพ์รุ่นแรก ๆ ที่มักเป็นของที่นักสะสมตามหา
สุดท้ายผมอยากพูดถึงการดูแลและการเลือกชิ้นที่คุ้มค่า: ถ้าพื้นที่จำกัด ให้เลือกรายการที่แสดงตัวตนของเรื่องได้ชัด เช่น อาร์ตบุ๊ค + ฟิกเกอร์หนึ่งตัว หรือ OST +เซ็ตโปสการ์ด เพราะสองสิ่งนี้ช่วยเก็บความทรงจำไว้ครบทั้งภาพและเสียง เรื่องของลิมิเต็ดหรือของเซ็นชื่อมักมีมูลค่าในระยะยาว แต่สำหรับผมแล้วความสุขจากการเปิดดูหรือฟังซ้ำบ่อย ๆ คือสิ่งที่สำคัญกว่าการเก็งกำไร การได้วางของที่รักบนชั้นแล้วเห็นแสงตกกระทบกรอบภาพหรือฐานฟิกเกอร์ มันทำให้วันธรรมดากลายเป็นวันที่มีความหมายขึ้นมาได้จริง ๆ