การปิดฉากของ '
เนตรอาฆาต' ให้ความรู้สึกเหมือนการทิ้งเงื่อนปมสำคัญไว้ให้คนดูคิดต่อ โดยแก่นหลักคือการชนกันระหว่างความยุติธรรมแบบสังคมกับความอาฆาตส่วนบุคคล แทนที่จะให้ทุกอย่างเคลียร์แบบสมบูรณ์ คนร้ายบางคนอาจถูกลงโทษหรือชดใช้ แต่สิ่งที่ถูกเน้นที่สุดกลับเป็นผลกระทบระยะยาวต่อจิตใจของตัวละคร ทั้งเหยื่อและผู้กระทำ ทำให้ภาพรวมของตอนจบดูหนักแน่นและก้าวข้ามไปราวกับจะบอกว่า 'การแก้แค้นไม่เคยลบความเจ็บปวดได้ทั้งหมด' มากกว่าจะเป็นการสั่งสอนแบบตรงไปตรงมา
แง่มุมสัญลักษณ์ก็สำคัญมาก คำว่า 'เนตร' สื่อถึงการมองเห็นที่ไม่ใช่แค่สายตาแต่เป็นการรับรู้ความจริงและแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ ส่วนคำว่า 'อาฆาต' ดึงเอาพลังที่เป็นลบซึ่งสามารถเปลี่ยนคนดีให้เป็นเงาของตัวเองได้ ฉากตอนจบที่เลือกให้ความคลุมเครือ—ไม่ยืนยันว่าบางสิ่งสิ้นสุดลงจริงหรือแค่เลื่อนออกไป—ทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามว่าใครคือผู้ชนะในสงครามของความยุติธรรมนี้ บางคนอาจอ่านเห็นเป็นการลงทัณฑ์ที่สมควร บางคนอาจมองว่าเป็นการเปิดช่องให้วัฏจักรแห่งความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป
มองจากมุมความสัมพันธ์ตัวละคร การยุติของเรื่องไม่ได้ให้การไถ่บาปแบบเป็นขั้นเป็นตอนให้กับทุกคน ตัวละครหลักหลายคนต้องอยู่กับผลลัพธ์ที่เลือกเอง บทสรุปจึงเป็นทั้งการยอมรับและการถูกลงโทษในตัวเดียวกัน ฉากสุดท้ายที่ค้างไว้หรือมีภาพซ้อนชวนให้คิดถึงความทรงจำและบาดแผลที่ไม่หายไปเพียงเพราะมีการเปิดเผยความจริง ฉันเห็นว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เรื่องเข้มข้น เพราะมันไม่ปลอบประโลมด้วยการจบแบบเรียบง่าย แต่ทิ้งพื้นที่ให้คนดูรู้สึกเจ็บแล้วคิดตาม
มุมมองเชิงสังคมก็ไม่ควรถูกละเลย เนื้อเรื่องสะท้อนปัญหาโครงสร้างและความยุติธรรมที่อ่อนแอ เมื่อระบบไม่สามารถเยียวยาได้ คนธรรมดาจึงหันไปหาการแก้แค้นเอง ซึ่งผลสุดท้ายมักไม่เป็นสิ่งที่ใครอยากได้จริงๆ ฉันชอบที่ตอนจบไม่ได้นำเสนอคำตอบสำเร็จรูป แต่เลือกให้ผู้ชมเป็นคนตัดสินใจแทน นี่แหละคือความอึดอัดที่ดีของงานแนวนี้ มันทำให้รู้สึกทั้งพอใจกับการได้เห็นความจริงถูกเปิดเผยและอึ้งกับการรู้ว่าการเปิดเผยนั้นไม่ได้ทำให้บาดแผลหายไปอย่างที่คาดหวัง