ในวงสนทนาเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์ไทย มักมีเพลงชิ้นหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เอ่ยถึงเมื่อพูดถึง '
นางอัปสร' — นั่นคือธีมหลักของภาพยนตร์ที่ถูกใช้เป็นเพลงปูเรื่องและมักถูกนึกถึงทันทีเมื่อเอ่ยชื่อเรื่อง เพลงชิ้นนี้ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเป็นทางการที่คนทั่วไปเรียกแบบเดียวกันเสมอไป แต่พลังของเมโลดี้และการเรียบเรียงทำให้มันกลายเป็นตัวแทนของอารมณ์ทั้งหมดในเรื่อง คนไทยหลายวัยจดจำทำนองนี้ได้จากฉากไคลแมกซ์ ฉากแย่งชิง หรือฉากรักที่ตราตรึงใจ ซึ่งทำให้เพลงกลายเป็นสัญลักษณ์ร่วมทางความทรงจำของคนดู
ความงามของเพลงชิ้นนี้อยู่ที่การผสมผสานระหว่างองค์ประกอบดนตรีไทยดั้งเดิมกับการเรียบเรียงสไตล์สากล ทำให้ยังคงกลิ่นอายของวัฒนธรรมไทยแต่ฟังง่ายสำหรับคนทุกยุค ทำนองเรียบง่ายแต่จับใจ จังหวะและฮาร์โมนที่ค่อยๆ ขึ้นสู่คีย์สูงในจุดสำคัญสร้างความสะเทือนใจได้ดีมาก อีกเหตุผลที่คนไทยชอบคือการใช้อินสตรูเมนต์ที่คุ้นเคย — เสียงซอ เสียงขิม หรือการใส่คอร์ดสายไวโอลินแบบออเคสตรา เมื่อรวมกับเสียงร้องเวอร์ชันคำพูดหรือฉบับอินสตรูเมนทัล เพลงนั้นจะพาให้คนฟังย้อนกลับไปยังความรู้สึกในอดีต จนเกิดความอ่อนโยนและคิดถึงความเป็นไทยอย่างไม่รู้ตัว
ตลอดเวลาที่ฟังเพลงนี้ ผมสังเกตว่ามันถูกนำมาคัฟเวอร์และตีความใหม่บ่อยครั้ง ทั้งในเวอร์ชันอคูสติก เวอร์ชันวงคลาสสิค หรือแม้แต่เวอร์ชันที่เติมจังหวะสมัยใหม่เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ การปรากฏในรายการทีวี งานประกาศรางวัล หรือการเล่นในงานพิธีต่างๆ ยิ่งตอกย้ำความเป็นเพลงประจำชาติชนิดหนึ่ง อารมณ์แบบโหยหาและความละเอียดอ่อนที่เพลงสื่อออกมาทำให้ผู้ฟังรู้สึกเชื่อมโยง ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งค้นพบหรือคนสูงวัยที่เติบโตมากับภาพยนตร์
ท้ายสุดแล้ว เพลงประกอบจาก 'นางอัปสร' ที่คนไทยชอบที่สุดสำหรับฉันคือเพลงธีมที่สะท้อนแก่นเรื่องอย่างชัดเจน มันไม่ใช่เพียงทำนองที่ไพเราะ แต่คือการจับความรู้สึกร่วมและความทรงจำของผู้ชมไว้ได้ เพลงแบบนี้เป็นเหมือนเส้นเลือดเล็กๆ ที่เชื่อมภาพกับอารมณ์ ทำให้ฉากหนึ่งฉากมีน้ำหนักและความหมายมากขึ้น และสำหรับฉันแล้ว ทุกครั้งที่ได้ยินเมโลดี้นั้น ก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นและแปลกประหลาดใจในความเรียบง่ายที่ทรงพลัง