เราแทบจะรู้สึกได้เลยเมื่อท่อนเมโลดี้แรกของ '
เล่ห์ บรรพกาล' เริ่มขึ้น — เสียงสังเคราห์เบาๆ ผสมกับคอร์ดเปียโนที่ค่อยๆ ขยายตัวจนทำให้ห้องทั้งหายใจตามไปกับมัน
ท่วงจังหวะของเพลงไม่ได้มาในรูปแบบยิ่งใหญ่เพื่อประกาศ แต่เลือกใช้ช่องว่างและความเงียบเป็นเครื่องมือ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเงาของภาพยนตร์ ช่วงที่ตัวละครสองคนเงียบกันบนม้านั่ง เพลงจะลดลงจนแทบไม่มีเสียง แล้วท่อนสายเล็ก ๆ ค่อย ๆ ดึงเอาความอึดอัดออกมาทีละชิ้น จังหวะแบบนี้ทำให้ฉากธรรมดาดูมีน้ำหนักขึ้นมากกว่าการใส่เพลงเต็มชั้นเดียว เพราะมันปล่อยให้ผู้ชมเติมอารมณ์ด้วยตัวเอง
สีกลางของซาวด์แทร็กมีทั้งโทนอบอุ่นและเย็นสลับกัน ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกว่าโลกของเรื่องไม่ได้ถูกจำกัดให้อยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพลงธีมซ้ำที่ปรากฏในฉากย้อนความทรงจำยังทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมความหมาย ให้ฉากที่ต่างกันมีเสียงหัวใจเดียวกัน ฉากไคลแม็กซ์จึงไม่เพียงแต่ทำงานด้วยภาพ แต่ถูกผลักดันด้วยเมโลดี้ที่คนดูจดจำได้ทันที เหมือนฉากหนึ่งใน 'Spirited Away' ที่เสียงซินธิไซเซอร์กับออร์เคสตร้าผสมกันจนเรารู้สึกว่ากำลังถูกลอยไปในโลกอื่น
บางครั้งฉันปล่อยให้เพลงของ 'เล่ห์ บรรพกาล' เล่นซ้ำ ๆ ตอนทำงานหรือเดินทาง เพราะมันทำให้ความคิดเชื่อมโยงกับอารมณ์ของตัวละครได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะมันไพเราะ แต่เพราะมันออกแบบมาเพื่อกระตุ้นพื้นที่ว่างในใจเรา — พื้นที่ที่ภาพกับเสียงมารวมกันและทำให้เรื่องเล็ก ๆ
กลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย