กรี๊ด!
บรรยากาศของเมืองหลวงตอนกลางคืน แสงไฟสีเหลืองขาวที่สลับสับเปลี่ยนบนท้องถนน มันส่องกระทบเข้ามาในรถ ทำให้ผู้ชายที่ไม่ค่อยตั้งใจขับรถคนนั้น ดูลึกลับและดึงดูด ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงฮอตนัก เสน่ห์ของเขาเลื่องลือไปทั่วมหาวิทยาลัย เป็นผู้ชายสุดโหด ที่ผู้หญิงทั้งมหาวิทยาลัยโหวต ว่าเหมาะกับตำแหน่งสามีของพวกหล่อน รองลงมาจากพี่อาเธอร์ วิศวะโยธาชั้นปีที่ 4
เห้อ! เป็นที่น่าเสียดายสำหรับฉัน พี่อาเธอร์คนนั้น นิสัยเลวร้ายยิ่งกว่าไลน์เนอร์ซะอีก ฉันเคยชื่นชมเขาอยู่พักใหญ่ พอได้รู้ว่าเขามองฉันเป็นอะไร ฉันก็ไม่ปลื้มเขาอีกเลย
“ถึงแล้ว!”
สงสัยฉันชื่นชมความหล่อของไลน์เนอร์นานไปหน่อย มันใช่ที่ไหนเล่า! เพราะฉันเอาแต่นึกถึงสมัยที่ตัวเองชื่นชมพี่อาเธอร์ กับบรรยากาศที่มันชวนหลงใหลมากเกินไป รู้สึกตัวอีกทีไลน์เนอร์ก็บอกว่าถึงแล้ว และเขาขับรถมาถึงบ้านของฉันจริงๆ ทั้งที่ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน
“ลงไป!”
ไลน์เนอร์ไม่ปล่อยให้ความสงสัยของฉันทำงานเลย เอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา บวกกับใบหน้าที่พร้อมวิ่งเข้าไปบวก ฉันที่ไม่อยากเสียสุขภาพจิตอยู่ข้างๆคนแบบเขา เอื้อมมือไปคว้าที่จับประตู กำลังจะผลักมันออกไป ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนรินรดอยู่หลังคอ
“ระวังตัวให้ดีละมึง!”
ผลัวะ!
ประตูรถหรูถูกดันออกไป ฉันลงไปยืนอยู่บนฟุตบาท ผลักมันปิดด้วยความสั่นกลัว สาวเท้าไปใกล้ประตูทางเข้าบ้าน ยังรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ตลอด แบบที่ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ ว่าไลน์เนอร์ต้องจ้องอยู่แน่ๆ
โอ้ย! แย่ที่สุด! ไม่เคยรู้สึกแย่ที่ได้เป็นแฝดของไนท์ ขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วไอ้นั่นก็ขยันขู่จัง เกิดปีงูหรือไง หรือเกิดปีหมา ขู่เก่งจัด!
สองวันต่อมา
เพราะไนท์เป็นต้นเหตุความซวยของฉัน ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขาจึงถูกเมินตลอด ฉันเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยเอง โดยไม่พึงพารถหรูที่เขาอ้อนให้พ่อซื้อให้ เลี่ยงเขาเท่าที่จะเลี่ยงได้ จนคนผิดเริ่มทนไม่ไหว ส่งเสียงโวยวายจนแสบแก้วหู
“นี่มึงจะงอนกูอีกนานไหมอะ?”
ไนท์ถาม น้ำเสียงและสรรพนามที่ใช้คุยกับฉัน ไม่เหมาะกับเบ้าหน้า และตำแหน่งเดือนบริหารเลยแม้แต่น้อย ฉันกดสายตามองน้องชายฝาแฝด คนถูกมองทำหน้าเลิ่กลั่ก เปลี่ยนน้ำเสียงและสรรพนามที่ใช้คุยกับฉันใหม่
“เลิกงอนได้แล้วน่าไวท์ เดี๋ยวเลี้ยงขนมนะ”
“ฉันไม่ได้ขัดสนถึงขนาดต้องให้ใครเลี้ยง”
คำพูดถือดีกับแววตา บ่งบอกอารมณ์ของฉันในตอนนี้ได้ดีที่สุด ฉันจะไม่โกรธไนท์ขนาดนี้ ถ้าหากวันที่ฉันโดนไลน์เนอร์ลากไป ไนท์มันอยู่ที่บ้าน รอฟังข่าวฉันด้วยความกังวลใจและเป็นห่วง แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น คืนนั้นไนท์ไม่กลับบ้าน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันไปขลุกอยู่ที่ไหน ร้านแต่งรถหรู แหล่งมั่วสุมที่มันไปขลุกอยู่ที่นั่นเพื่อแต่งรถคันโปรดของมัน
มันไปเสวยสุข ทั้งๆที่มันเป็นตัวการทำให้ฉันซวย
“ไวท์อะ!”
“ก่อนจะอ้าปากพูดกับฉัน ดูสีหน้าและอารมณ์ฉันด้วย จะได้ไม่เหวอรับประทานอีก!”
ฉันพูดกับไนท์โดยไม่สนใจท่าทางเง้างอดของเขา ก้มหน้าทำงานของตัวเอง ที่อาจารย์ประจำวิชาสั่งไว้ก่อนจะออกไปทำธุระ ถอนหายใจอยู่บ่อยๆ เมื่อคิดถึงเรื่องในวันที่ถูกไลน์เนอร์ลากไป คำขู่ยังก้องอยู่ในหู รวมถึงลมหายใจร้อนๆที่บาดผิวคอในวันนั้นด้วย
16 : 35 น.
สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย แม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาเลิกเรียนมาสักพักแล้ว ฉันก็ยังนั่งคิดอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ปกติฉันจะออกจากห้องเป็นคนแรกๆ เรียกว่าอาจารย์ปล่อยเมื่อไหร่ฉันออกไปเมื่อนั้น นั่งต่อไปอีกสักพักรอบตัวก็เกิดความวุ่นวาย เสียงกรี๊ดของเหล่านักศึกษาสาวดังระงม แต่กว่าฉันจะไหวตัวจากเสียงเตือนนั้น คนที่น่าหวาดหวั่นก็เดินผ่านประตูเข้ามา
“พี่ได้ยินว่าวันก่อน ไอ้ไลน์เนอร์มันลากตัวเราไปเหรอ?”
พี่อาเธอร์ยืนถามอยู่ใกล้ประตูห้อง แต่รังสีอำมหิตแผ่ซ่านมาถึงฉัน ดวงตาสีเทาอ่อนของหนุ่มลูกครึ่งไทย-สวีเดน หรี่ลงเหมือนคนกำลังไม่พอใจกับบางสิ่งบางอย่างอยู่
“ก็ ตามที่ได้ยินมานั่นแหละ”
ข่าวลือของฉันกับไลน์เนอร์ ดังไปไกลถึงคณะวิศวกรรมโยธาเลย ฉันนึกว่ามันดังแค่ในคณะบริหารซะอีก เพราะจุดที่ฉันถูกไลน์เนอร์ลากไป อยู่ใกล้คณะบริหารมากที่สุด ส่วนคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นตั้งอยู่ด้านหลังสุดของมหาวิทยาลัย เป็นคณะที่ใครๆต่างก็บอกว่าไกลปืนเที่ยงที่สุด รวมถึงป่าเถื่อนที่สุดด้วย
“มันทำอะไร?”
ผู้ชายที่ครอบครองความสูงถึงร้อยเก้าสิบสอง หน้าตาประดุจเทพบุตรหลุดลงมาจากฟากฟ้า ชายผู้ครองฉายาเจ้าชายแห่งมหาวิทยาลัย T. ก้าวเดินเข้ามาใกล้ เท้ามือลงบนโต๊ะข้างหน้าฉัน รอยสักน่าหวาดหวั่นบนท่อนแขน ทำให้ฉันเงยหน้ามอง
“ไม่ได้ทำอะไร”
ฉันเบือนหน้าหลบสายตาสีเทาอ่อน ประโยคที่แอบได้ยินพี่อาเธอร์คุยกับเพื่อนของเขา เตือนสติไม่ให้ฉันเผลอไผลไปกับรูปลักษณ์น่าดึงดูดของหนุ่มรุ่นพี่ต่างคณะ
‘กูไม่เคยมองไวท์เป็นผู้หญิง’
นั่นคือประโยคที่ฉันแอบได้ยิน และมันเป็นประโยคที่ช่วยดับความหลงใหลของฉัน ที่มีต่อพี่อาเธอร์ได้ดี เขาเป็นผู้ชายในแบบที่ฉันชอบ อาจจะเป็นได้มากกว่านี้ ถ้าหากประโยคนี้ไม่หลุดออกมาจากริมฝีปากคล้ำๆนั่น
“ฉัน ฉันเจอกับผู้หญิงคนนั้นตอนอายุย่างสิบสามปี เราเจอกันโดยบังเอิญ เธอโผล่เข้ามาในตอนที่ฉันกำลังถูกทำร้าย” ผมพยายามพูดเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากให้ไวท์นึกภาพตาม ยังไม่อยากให้เธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นตอนนี้ แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คนที่ผมกอดอยู่กำลังสั่น ผมจึงขยับแขนลงช้อนบั้นท้าย อุ้มไวท์กลับมาที่เตียงนอนสีดำสนิท “…!” “เธอถูกคนที่ทำร้ายฉันจับตัวไว้ เราถูกขังอยู่ด้วยกันนานหลายชั่วโมง ฉันที่หมดหวังว่าจะรอดชีวิตออกไป ได้เธอช่วยให้กำลังใจจนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมเล่าอ้อมๆ กดใบหน้าลงบนไหล่เล็ก พยายามไม่นึกถึงภาพเก่าๆเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมกอดไวท์แน่น คนบนตักนิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ผมได้ยินมันจากเธอ “ฉัน ฉันขอไม่ลงรายละเอียด เพราะฉันไม่อยากให้เธอนึกถึงมัน ฉันไม่อยากให้เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมเธอเลยนะไวท์ ไม่เคยลืมเลย แม้กระทั่งตอนหลับ เธอก็ยังช่วยดึงฉันออกมาจากฝันร้ายเหล่านั้น” “ฮึก! นายจะบอกฉันว่า ฉัน ฉันคือผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม นายจะบอกฉันว่า เด็กคนนั้นที่อยู่กับฉัน ยังไม่ตายงั้นเหรอ นาย นายคือเขาเหรอ” ไวท์ขยับตัวหมุนมาเผ
“ทำอะไรอยู่อะไวท์?!” ตึง! ตึง! เสียงของไลน์เนอร์ดังขึ้นบริเวณหน้าห้อง ไม่นานเสียงวิ่งตึงตังก็ดังขึ้นมา และเพียงไม่นานสมุดบันทึกเล่มนั้นก็หลุดออกไปจากมือ ใบหน้าตกใจของเขา ทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง เขาไม่ได้ต้องการให้ฉันอ่านมัน เธอคนนั้นที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นแรกไม่ใช่ฉัน แต่มันหมายถึงเธอ เธอที่เหมือนตุ๊กตาของเขา “ฉันจะกลับไปนอนที่บ้าน” ฉันบอกพลางลุกขึ้นจากเตียง เหมือนร่างกายมันจะหมดแรงลงดื้อๆ แต่ก็ฝืนจนยืนได้สำเร็จ คนตรงหน้าฉันเงียบ การที่เขาเงียบ มันทำให้ฉันเริ่มคุมการไหลของน้ำตาไม่ได้ เขาคิดยังไงกับฉันกันแน่ ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ที่เลือกคบกับเขา “ … เธอ อ่านถึงไหนแล้ว? ฉันบอกว่าอย่ายุ่งกับของอย่างอื่นไง” เขาถาม จากนั้นก็เริ่มตำหนิสิ่งที่ฉันทำ ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่าเจอมันอยู่ในถุงกระดาษ แต่เสียงมันหายไป และไม่นานริมฝีปากก็เม้มแน่น น้ำตาของฉันไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ทั้งๆที่เห็นมันแล้ว เขาทำแค่เพียงมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย “ไวท์!” “ฮึก! … ขอ ขอโทษ!” “ไวท์! มันไม่ใช่สิ่งที่เธอควรเห็นหรอก ฉันผิดเองที่ไม่ได้ตรวจดูมันให้ดี” ไลน์เนอร์ก้าวเข้ามาใกล้ ฉันถอยทั
17 : 45 น. หลังจากเรียนคาบสุดท้ายจบ ไลน์เนอร์ก็อาสามาส่งฉันที่คอนโดก่อน เพราะเขามีท่าทีรีบร้อน ฉันจึงไม่อยากทำให้เขาเสียเวลา ปล่อยเขาไปทันทีที่วนรถขึ้นมาถึงชั้นบน คนตัวโตทำหน้าตึง แต่ก็รีบบึ่งรถหรูคันโปรดของเขาออกไป Tru Tru “มีอะไร ลืมอะไรหรือเปล่า?” คนที่เพิ่งจะมาส่งฉัน และยังขับรถไปได้ไม่ไกลโทรกลับมา ไลน์เนอร์ไม่ยอมพูด บอกให้ฉันรู้ว่าเขากำลังใช้สมาธิในการวนรถลงไปข้างล่าง [ คือ … ฉันซื้อชุดนอนมาให้ เธอช่วยใส่ชุดนั้นนอนรอฉันได้ไหม ] “ที่จะพูดมีแค่นี้ ทำไมไม่พูดตอนมาส่งล่ะ” ฉันแตะคีย์การ์ดเข้ากับเครื่องสแกนหน้าทางเข้า ใช้ใบหน้ากดโทรศัพท์ให้มันแนบกับใบหู ใช้มือดันประตูเข้าไป สอดตัวผ่านช่องว่าง จากนั้นก็ใช้มือถือโทรศัพท์อีกครั้ง [ เหอะน่า! ] “อือ ก็ได้ ขับรถระวังนะ” [ อืม ] ไลน์เนอร์เป็นฝ่ายตัดสายไป ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงจะเป็นคนรักของเขา ถึงผู้ใหญ่จะยินยอมให้เราคบหากัน แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย คงเพราะไลน์เนอร์เป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยพูดคำว่ารักหรือชอบออกมาดีๆ มันจึงทำให้ฉันเกิดความกังวล ว่าจริงๆแล้ว เขาชอบฉันจริง หรือแค่อยากกันฉันออกจากพี่ชายของเขา
“เสียดายจัง ไม่มีพี่ไวท์อยู่ ข้าวก็ไม่อยากไปเลยอะ ข้าวออกบ้างดีไหมคะ” “แต่นั่นก็เท่ากับว่า ข้าวลดโอกาสของตัวเองลงนะ” “ฮ่าๆ มันยังมีโอกาสเหลือให้ข้าวอยู่เหรอคะ ข้าวรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังเลย ตั้งแต่การหมั้นถูกยกเลิก พี่เขาก็กลายเป็นคนเข้าถึงยาก ตอนนี้ใครก็เข้าหน้าเขาไม่ติด” ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเจอกับข้าวหอมตอนเที่ยงทุกวัน และนั่งปรับทุกข์ให้กันฟังไม่ต่างจากตอนนี้ ทุกข์ของฉันมีไม่มาก แต่ความทุกข์ของข้าวหอมกองโตกว่าภูเขา และวันนี้ ดวงตาของเธอเริ่มฉายความอ่อนล้าออกมา มันเหมือนเธออยากจะตัดใจจากพี่อาเธอร์จริงๆ “อ่า ลอง … ลองทำแบบนั้นดูไหมอะ พี่ก็ พี่ก็ตกไลน์เนอร์ได้เพราะทำแบบนั้นกับเขา” กว่าจะพูดจบ ใบหน้าก็ร้อนเหมือนถูกไฟเผา ฉันแนะนำอะไรออกไป แล้วทำไมยัยแว่นนี่ ต้องทำหน้าตาจริงจังขนาดนั้น อย่าบอกนะว่า คิดจะทำตามคำแนะนำของฉันจริงๆ “แบบนั้นคือแบบไหนเหรอ?” “ก็แบบ … มีเซ็กส์ไง มีเซ็กส์ … กรี๊ด! ไอ้บ้า! จะแกล้งทำไมเนี่ย!” การปรากฏตัวของไลน์เนอร์ ทำฉันตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้ โชคดีที่เขาใช้แผ่นอกดันแผ่นหลังฉันไว้ ซ้ำยังใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวแน่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำค
“บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ใช่ลูกรัก ไม่ได้มีพร้อมเหมือนที่พี่อาเธอร์มี แต่ฉัน …ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” ผมเขินตอนพูดประโยคสุดท้าย คำพูดที่เหมือนคนกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ มากกว่าจะเป็นการมาฝากตัวกับครอบครัว ทำเอาไวท์หัวเราะคิกคัก “คิกๆ ฉันเตรียมใจตั้งแต่หลงรักคนอย่างนายแล้วแหละไลน์เนอร์ เพราะฉะนั้น อย่าห่วงเลย” “เธอ เข้มแข็งตลอดเลยนะ” ผมชมคนตัวเล็กที่ยังคงยิ้มไม่หุบ ก้าวเดินต่อไปช้าๆ คราวนี้ไม่มีความลังเลอยู่เลย การมาถึงของเราทั้งคู่ ไม่ได้ทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่เกิดความแปลกใจ ผมบอกแม่ไว้แล้วว่าจะพาไวท์มาหา ตั้งแต่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนอเล็กซ์ก็คงรู้มันจากแม่อีกที “สวัสดีครับแม่ อเล็กซ์” “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีจ๊ะหนูไวท์ ไลน์เนอร์เล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังเยอะเลย” แม่รับไหว้ผมกับไวท์ อเล็กซ์พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้แม่เป็นฝ่ายพูดคุยกับเรา ด้วยความที่แม่อยากจะมีลูกสาวมานาน การที่ผมพาไวท์มา สีหน้าของท่านจึงดูดีมาก ยิ่งตอนที่ไวท์ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพราะโดนฝ่ามือผมดัน ท่านยิ่งยิ้มไม่หุบ “ตายแล้ว! หน้าหนูไปโดนอะไรมาลูก?” รอยยิ้มของแม่หายไป เมื่อได้เห็
“อ๊ะ! นะ นาย / ชู่ว! เบาเสียงหน่อยสิ ฉันยังไม่อยากถูกคนอื่นจับได้นะ” ผมบอกไวท์ชิดแผ่นหลัง สอบเอวควงความใหญ่โตเข้าออกถี่ขึ้น ความอดทนเริ่มจะถึงขีดจำกัด แต่ก็พยายามยื้อเวลาออกไปอีก เพราะคนที่อยู่ใต้ร่างในท่าโก้งโค้ง ยังไม่ได้แตะขอบสวรรค์ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมีหรือผมจะสนใจ แต่เพราะนี่คือไวท์ ผมอยากทำให้เธอเสร็จด้วย “อึก!” คนตัวเล็กตัดสินใจใช้มือตัวเองช่วยปิดเสียงคราง เห็นแล้วรู้สึกสงสาร ผมจึงเลื่อนมือไปด้านหน้า ดึงมือของไวท์ออกมาจากริมฝีปากของเธอ “อึก อื้อ!” ไวท์ลังเลที่จะใช้มือของผม แต่เพียงไม่นานริมฝีปากหยักสวยก็อ้าออก กดฟันซี่สวยลงบนอุ้งมือ เสียงครางหวานหายไปในทันที ผมสอบเอวถี่ยิบ อีกมือลูบวนบนจุดกระสัน ถี่รัวเป็นจังหวะเดียวกันกับสะโพก ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วลำกาย ความอ่อนนุ่มบีบรัดตัวแน่น สะโพกเล็กแอ่นขึ้นรับสัมผัสหนักหน่วง ตับ! ตับ! “อึก!” “เสียงดีใช้ได้เลยเนอะ” “อ๊ะ อื้อ!” ผมพูดจาหยอกล้อคนตัวเล็ก เพื่อระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นสูงจนเกือบจะถึงขีดจำกัด ผมยังอยากแช่ตัวตนอยู่ในความคับแน่น อยากกระแทกให้มันลึกกว่านี้ ถี่กว่านี้ แต่ไวท์เสร็จไปแล้ว ความคับแน่นของเธอ ก