หญิงสาวรูปร่างผอมแกร็นผิวกายคล้ำหยาบนั่งอยู่ท้ายเรือกำลังพายเรือหัวแหลมขนาดเล็กซึ่งชาวท้องถิ่นเรียกว่า “เรือเข็ม” ออกจากบันไดท่าน้ำหน้าตลาดลาดชะโดมีชื่อว่านังจืด หล่อนเป็นคนสนิทของมารศรีสาวสวยวัย ๒๐ ที่นั่งเสงี่ยมอยู่ตรงหัวเรือ นังจืดกำลังพายเรือล่องไปตามลำคลองขุดที่แยกมาจากแม่น้ำน้อยไหลผ่านหน้าบ้านเรือนสองฝากฝั่งเกิดเป็นชุมชนริมน้ำขนาบข้างด้วยชุมชนเรือนแพที่ปลูกลอยเหนือผิวน้ำไปตลอดแนว
ลาดชะโดคือชุมชนที่เงียบสงบในเขตอำเภอผักไห่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีพื้นราบต่ำ น้ำท่วมถึงจึงทำให้มีปลาชะโดชุกชุมไปทั้งคุ้งน้ำ คลองลาดชะโดแยกย่อยมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาเกิดเป็นชุมชนขนาบคลองซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ตำบล ๑๗ หมู่บ้าน ฝั่งหนึ่งเรียกบ้านหนองน้ำใหญ่ประกอบด้วย ๑๑ หมู่บ้านกับอีกฝั่งเรียกว่าบ้านจักราชแยกเป็นอีก ๖ หมู่บ้าน
มารศรีเป็นบุตรสาวคนเดียวของนางผ่องแผ้ว ผลบุญกับนายกุศล ผลบุญ อดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งของตำบลจักราชหล่อนได้รับฉายาว่าดอกบัวแย้มกลีบแห่งคุ้งลาดชะโดด้วยวัยเพียง ๒๐ ปีทำให้หล่อนเสมือนบัวเพิ่งบานชูเกสรล้อแมลงเพศผู้
อาจเพราะธรรมชาติลำเอียงจึงได้เสกสรรความงามให้กับหญิงสาวเสียจนล้นเหลือ รูปร่างระหงเพรียวบางประกอบเข้ากับผิวขาวเหลืองละเอียดลออดั่งปั้นจากขี้ผึ้งเนื้อดีดวงหน้าหวานไร้สีสันอำพราง นัยน์ตาดำขลับตัดกับผิวหน้าอ่อนเยาว์ กลีบปากสีชมพูสดโค้งหยักเป็นกระจับ งามไม่เป็นรองสาวใด
ความสวยของหล่อนดึงสายตาเหล่าภมรให้หันใสสนใจโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องสำอางประทินผิวเข้าช่วย สัดส่วนสะโอดสะองไม่แพ้สาวงามจากเวทีประกวดใด ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มารศรีจะหลงรูปโฉมของตนถึงขนาดมั่นใจว่าทั่วคุ้งน้ำแห่งนี้ไม่มีใครงามสู้หล่อนได้
ความสวยราวนางอัปสรของมารศรีน่าจะทำให้หล่อนเป็นสาวเนื้อหอมดึงดูดความสนใจเพศตรงข้ามมากกว่าจะทำให้หล่อนเป็นสาวช้ำรักโดนชายหนุ่มที่หมายปองหักอกซ้ำบ่อย ๆอย่างที่เป็นอยู่หากไม่ใช่เพราะบุคลิกก๋ากั่นกว่าสาววัยเดียวกันประกอบกับฝีปากของหล่อนร้ายกาจจนใคร ๆ พากันขยาดไม่กล้าโต้คารมด้วยนัก
“แดดอ่อนพอดี ก่อนกลับบ้านเราแวะเก็บโสนไปลวกจิ้มน้ำพริกกินกันดีกว่าเนอะพี่จืด” มารศรีเอ่ยทำลายความเงียบ
จืดพยักหน้าพลางใช้ไม้พายพวยน้ำนำเรือเข้าหาฝั่งซึ่งมีต้นโสนเรียงรายเต็มตลิ่ง ดอกโสนสีเหลืองเป็นพวงเต็มต้นตัดกับเสื้อผ้าสีสดของสองสาวอย่างน่ามอง
“เด็ดสายบัวกับผักบุ้งไปด้วยนะน้องศรี พอถึงบ้านค่อยใช้ไอ้พี่แอ๊ะไปหาปลามาทำแกล้มน้ำพริกกัน” สาวร่างเล็กเอ่ยพลางพายเรือเป็นจังหวะเข้าหาตลิ่ง
“ก็ดีนะ เดี๋ยวเก็บดอกโสนเสร็จเราแวะไปเก็บมะดันตรงท่าน้ำบ้านยายปริกด้วยดีกว่าพี่จืด เห็นแม่บ่นอยากกินน้ำพริกมะดันมาตั้งแต่เมื่อวาน เราตำน้ำพริกทอดปลาเตรียมไว้แม่กลับจากตลาดจะได้กินกัน”
จืดพยักหน้าพร้อมกับวางไม้พายข้างตัว เอื้อมมือเด็ดดอกโสนและดึงบัวสายใส่ไว้ในท้องเรือ เสร็จแล้วจึงพายเรือเลาะไปตามตลิ่งเข้าหาท่าน้ำหน้าบ้านยายปริกเพื่อเก็บมะดันที่กำลังออกลูกดก
“อ้าว...นังศรี”
เสียงตะโกนของคนบนท่าน้ำทำให้มารศรีชะงักมือที่กำลังเด็ดดอกโสน หล่อนเงยหน้ามองไปในทิศทางของเสียงร้องทัก
“เอ็งไม่ได้ไปบางกอกกับพวกนังชวนชมมันหรอกรึ ข้านึกว่าป่านนี้เอ็งคงหนีพ่อกุศลไปดูไอ้วิชาญมันแสดงที่บางกอกแล้วเสียอีก”
“อะไรนะจ๊ะป้าชื่น นี่นังชวนชมมันไปดูลิเกถึงบางกอกเลยรึ” มารศรีทำตาโตร้องตะโกนถามชวนชื่นอย่างสนใจ
“ใช่ มันไม่ได้ชวนเอ็งหรอกรึ ทุกทีข้าเห็นมันจะไปดูลิเกแต่ละทีต้องแวะไปชวนเอ็งด้วยทุกครั้งนี่หว่า” บุตรสาวยายปริกซึ่งเป็นมารดาของชวนชมตะโกนถาม
จืดหย่อนไม้พายลงพุ้ยน้ำเบา ๆ บังคับหัวเรือหันเข้าหาฝั่งเพื่อความสะดวกในการสนทนาของมารศรีกับนางชวนชื่น
“นั่นสิจ๊ะ ปกตินังชมมันจะต้องไปชวนฉันทุกครั้ง ทำไมครั้งนี้มันไม่เห็นบอกข่าวอะไรฉันเลย นี่ถ้าฉันรู้ว่ามันไปฉันกับพี่จืดต้องไปกับมันด้วยแน่ ๆ” มารศรีถอนหายใจแรง ใบหน้าของหล่อนงอง้ำแสดงอารมณ์ หมดความสนใจผลมะดันที่ตั้งใจจะมาเก็บไปโดยปริยาย
“เออแปลก...ทำไมมันไม่ไปชวนเอ็งทั้งที่คราวนี้มันมาบอกข้าว่าจะไปกับพวกคณะลิเกเขาเลยทีเดียว เห็นว่าไปเรือลำเดียวกับพวกพระเอกนางเอกของคณะเขานี่นะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ย
“อะไรนะจ๊ะป้า! ไปเรือลำเดียวกับพี่วิชาญเลยเหรอ” มารศรีอุทานเสียงแหลมรู้สึกเสียดายโอกาส
“ใช่” นางชวนชื่นพยักหน้าพลางเอ่ยต่อ “เห็นว่าเพื่อนมันที่เป็นนางเอกลิเกเป็นคนมาชวน”