สองพี่น้องจึงออกไปด้านนอกก่อน ลู่เพ่ยไปอาบน้ำ ลู่จื้อนำน้ำออกไปให้บิดาได้ลองใช้ แต่นางยังไม่รู้ว่าจะให้บิดาใช้ยังไง นางเลยรอปรึกษาพี่ชายของนางก่อน
ลู่เพ่ยเดินเข้ามาในบ้านที่ลู่จื้อนั่งรออยู่
“ว้าว บุรุษบ้านไหนหลงเข้ามาในบ้านข้าได้” ลู๋จื้อส่งสายตาหยอกล้อพี่ชาย ลู่เพ่ยได้เค้าโครงใบหน้ามาจากบิดา หากบิดาของนางอยู่ดีกินดีคงจะรูปงามเช่นท่านพี่ของนางแน่
ตอนนี้ลู่เพ่ยผิวพรรณเหมือนคุณชายในตระกูลใหญ่ๆ อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้พี่ชายของนางท่าทางดีกว่าบัณฑิตทั้งหลายในหมู่บ้านอีกด้วย หรือจะให้พี่ชายไปเข้าเรียนดี ลู่จื้อเหมือนจะมีความคิดดีๆ ขึ้นมา ลู่เพ่ยเห็นสายตาของน้องสาวถึงกับขนลุก ไปทั้งตัว
ทั้งคู่ได้ข้อสรุปจะลองให้บิดาลงไปแช่ในน้ำ เพราะบิดาบาดเจ็บที่ขา หากไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรแค่ลองดู ทุกอย่างย่อมมีความหวัง
จากนั้นลู่เพ่ยไปหาอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่พอให้บิดาลงไปได้เข้ามาในห้องของบิดา จางหมินมองอย่างสงสัย แต่สองพี่น้องยังไม่ยอมบอกเพียงแค่บอกให้บิดาลองแช่น้ำก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง เพราะทั้งคู่กลัวหากไม่ได้ผลบิดาจะเสียใจ
จางหมินถึงจะสงสัยแต่ก็ทำตามความต้องการของลูก เขามองลู่เพ่ยเหมือนมองคนแปลกหน้าจนลู่เพ่ยหน้าแดงด้วยความเขินอาย ในห้องมีเพียงลู่เพ่ยที่คอยดูแลบิดา ลู่จื้อออกมารอด้านนอก
ระหว่างที่รอบิดาแช่น้ำจิตวิญญาณนางก็เข้าครัวทำอาหาร วันนี้มารดาของนางไปช่วยงานในหมู่บ้านจึงไม่ได้อยู่ที่บ้าน หากกลับมาคงได้ตกใจแน่ แค่นางคิดถึงหน้าของมารดาก็หัวเราะแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามลู่เพ่ยก็วิ่งออกมาเรียกลู่จื้อ
“จื้อเออร์มาดูท่านพ่อเร็วเข้า” ลู่จื้อลุกพรวดรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องของบิดาทันที
แต่สิ่งที่นางเห็น บิดาของนางนั้นนั่งอยู่บนเตียงใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่เหลือเค้าโครงคนเจ็บหนักที่ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเหมือนก่อนหน้านี้ ใบหน้าที่ดูอายุน้อยลงไปหลายปี
“จื้อเออร์” จางหมินเรียกบุตรีแล้วเดินเข้ามากอดนาง
ลู่จื้อน้ำตาไหลพราก มันคือน้ำตาแห่งความยินดี อาจจะเป็นความรู้สึกของร่างเดิมที่อยากเห็นบิดากลับมาเดินได้อีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านเดินได้แล้ว ฮึก ฮึก” ลู่เพ่ยก็เช็ดน้ำตาเช่นกัน
“พ่อหายแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเจ้าแล้ว” ทั้งสามกอดกัน
“ข้ากลับมาแล้ว อ้าวไปไหนกันหมด เพ่ยเออร์ จื้อเออร์ พวกเจ้าหาข้าวให้ท่านพ่อกินหรือยัง” นางจินหรูที่ไปช่วยงานในหมู่บ้านเพิ่งกลับมาถึง
“น้องหญิง” นางจินหรูที่เห็นจางหมินเดินได้แล้วก็ปิดปากร้องไห้โฮ จางหมินจึงเดินเข้าไปสวมกอดนางเอาไว้แน่น แล้วปลอบประโลมอยู่นาน
กว่าที่นางจินหรูจะสงบลงแล้วรับฟังเรื่องราวต่างๆ จากปากบุตรทั้งก็ได้ลู่จื้อที่บ่นว่าหิวข้าว ทั้งหมดจึงรู้สึกตัว
ทั้งสี่คนกินข้าวไปคุยกันไป ข้าวมื้อนี้นับว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่จางหมินกับลู่จื้อเกิดเรื่องขึ้น
“น้ำในมิติของเจ้าเช่นนั้นรึ” จางหมินไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอเรื่องแปลกใจอีกมากเพียงใด
“เจ้าค่ะ ข้าก็ไม่คิดว่าจะดีเพียงนี้ หากท่านพี่ไม่ไปดื่มเข้า ข้าก็คงไม่รู้ถึงความวิเศษของมัน”
“เจ้าคงดื่มไปไม่น้อยเลยอาเพ่ย” จางหมินมองบุตรชายอย่างหยอกล้อที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วลู่จื้อจึงบอกให้บิดาแสร้งทำเป็นป่วยเช่นเดิม หากหายเร็วเกินไปชาวบ้านจะสงสัยเอาได้ นางบอกบิดามารดาเรื่องที่จะพาลู่เพ่ยเข้าไปในมิติจิตคืนนี้เพื่อเปิดจุดตันเถียน นางอยากให้ทั้งครอบครัวได้เป็นผู้ฝึกตน ทุกคนจึงเห็นดีด้วยและคืนนี้จะเข้าไปด้วยกันทั้งหมดเลย
ทั้งสี่เข้าไปในมิติจิต จางหมินกับจินหรูเข้ามาครั้งแรกก็มีอาการเช่นเดียวกับลู่เพ่ย เพียงแค่ไม่ได้วิ่งไปทั่วเหมือนลู่เพ่ยเท่านั้น
“ท่านพี่ไม่ต้องหัวเราะท่านพ่อกับท่านแม่เลย ตัวท่านวิ่งไปทั่วมิติจำได้หรือไม่” ลู่เพ่ยถูจมูกอย่างเขินอายเมื่อถูกน้องสาวเปิดโปงเรื่องขายหน้าของตน
“ประหลาดนัก มีเรื่องเข่นนี้ด้วยรึ” จางหมินไม่คิดว่าในชีวิตจะได้พบเจอเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้
เมื่อบิดามารดาสำรวจมิติจนพอใจแล้ว ลู่จื้อจึงให้ทั้งสามนั่งสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร นางบอกวิธีดึงแสงสีขาวให้เข้ามารวมที่จุดตันเถียน
เมื่อเห็นทั้งสามเข้าสมาธิแล้วนางจึงเฝ้าดูอยู่เงียบๆ เวลาผ่านไปสองชั่วยามเป็นบิดาที่ทำสำเร็จก่อน ตามมาด้วยลู่เพ่ยและมารดา
“ลู่จื้อลูกคิดจะทำสิ่งใดกับพื้นที่ว่างพวกนี้” จางหมินเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าจะปลูกผักเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าซื้อเมล็ดผักมาแล้ว คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
“แต่วันนี้ยังมิต้องปลูกเจ้าค่ะ ข้าจะให้พวกท่านเข้าไปศึกษาตำรายุทธก่อน ข้าอยากให้พวกเราแข็งแกร่งใครจะมารังแกเราไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะข้ารู้มาว่าในแคว้นนี้มีผู้ฝึกตนน้อยนัก อีกอย่างหากเรามีพืชวิญญาณคนรู้เข้าบ้านเราจะมีภัยเจ้าค่ะ”
“ตอนที่พ่อเรียนในสถานศึกษามีคนพูดเรื่องสมุนไพรวิญญาณอยู่บ้างแต่หายากนัก แล้วยังมีราคาสูงชาวบ้านอย่างพวกเราไม่มีใครเคยเห็น หากเจ้าปลูกผักวิญญาณได้คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”
“ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน ยังไงผักวิญญาณก็ปลูกในมิติของเจ้าชาวบ้านคงไม่สงสัยพวกเรา หากจะนำออกไปขายค่อยหาคนที่ไว้ใจได้แล้วกัน” จางหมินเอ่ยออกมา
ทั้งหมดจึงเข้าไปอยู่ในห้องตำราแล้วเลือกตำราตามที่ตนสนใจ จางหมินเลือกตำราฝึกวรยุทธ์ นางจินหรูเลือกตำราฝึกลมหายใจเพราะเส้นลมปราณของนางไม่ได้ใหญ่อย่างจางหมินหรือลู่เพ่ย
ลู่จื้อจึงอยากให้มารดาค่อยๆ ฝึกไป เรื่องต่อสู้ให้เป็นเรื่องของบุรุษ ลู่เพ่ยเลือกตำราฝึกดาบ ลู่จื้อตอนนี้นางสนใจตำราปรุงยา
จินหรูที่ไม่รู้หนังสือมาก่อน ก็มีบุตรทั้งสองที่ช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง ในตอนแรกนางก็แปลกใจที่ลู่จื้ออ่านออก แต่พอคิดเรื่องวิญญาณที่หลุดออกจากร่างไป ก็เข้าใจในทันที
หากคนภายนอกรู้เรื่องของบ้านรองจางคงจะสะเทือนไปทั้งแคว้นแน่นอน
แต่ละคนจมอยู่ในโลกของตนจนลู่จื้อเอ่ยเตือนให้ออกไปพักผ่อน จึงได้ออกจากมิติกัน แต่ทุกคนต่างก็หยิบตำราติดมือออกไปกันทุกคน
“ท่านแม่ หากท่านอยากไปบ้านท่านตาพรุ่งนี้เราไปกันดีหรือไม่เจ้าคะ ยังไงท่านพ่อก็ดูแลตัวเองได้แล้ว” นางจินหรูลังเลเพราะกลัวมีคนมาที่บ้านแล้วจะรู้เรื่องจางหมินหายดีแล้วเข้า
“น้องหญิงเจ้าไปเถิด ข้าละเลยบ้านท่านพ่อตามานานนัก หากช่วยเหลือสิ่งใดท่านได้เจ้าตัดสินใจได้เลย” นางจินหรูน้ำตาซึมที่ทุกคนไม่ว่านางหากนางจะช่วยเหลือบ้านเดิม
“ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ” นางรู้ดีว่าบุตรสาวที่แต่งออกมาแล้วจะกลับไปช่วยเหลือบ้านเดิมบ่อยก็ดูไม่ดี
เวลาด้านนอกผ่านไปเพียงสองชั่วยามเท่านั้น ทั้งหมดจึงเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปบ้านท่านตาอีก