Share

บทที่ 10

Author: ดอกถังร่วงหล่น
บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่งโม่เยี่ย

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน...ท่านอ๋อง?”

จิ่งโม่เยี่ยมองสำรวจนางเงียบๆ ก่อนจะโยนบ่วงเชือกป่านลงตรงหน้านาง “ใครเป็นคนทำ?”

เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าเขาปีนเข้ามาทางหน้าต่าง

ปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าต่างแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังทำลายรุนแรงมาก ในสถานการณ์ปกติ หากเผลอเหยียบเข้าไป จะถูกปมเชือกพวกนั้นพันธนาการแล้วจับแขวนทันที

เชือกป่านยามนี้ถูกตัดขาด นอกจากจิ่งโม่เยี่ยจะปลอดภัยดีแล้วยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แสดงให้เห็นชัดว่ากับดักเชือกที่นางตั้งใจเตรียมเอาไว้ใช้กับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ผล

นางด่าสาดเสียเทเสียในใจ คนที่นี่สมองมีปัญหากันหรืออย่างไร ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน คนหนึ่งปีนหน้าต่าง คนหนึ่งงัดประตู บุกรุกห้องนอนของเด็กสาวกลางดึก

แต่กลับแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้ากลัวว่าพวกท่านลุงจะทำร้าย ข้าก็เลยวางปมเชือกพวกนี้ไว้ที่หน้าต่างเพื่อป้องกันตัวเอง”

“หากข้าทราบว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะมาหา ข้าคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้ไปวางที่หน้าต่างแน่นอน”

หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกนาง

เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากจะเข้าไปใกล้เขาสักนิด แต่พอนึกถึงฉากที่เฉินเยี่ยนเซิงถูกแล่เนื้อเถือหนังทั้งเป็นในอาราม นางก็ฉีกยิ้มเดินเข้าไป ไม่กล้าขัดใจเขาแม้แต่นิดเดียว

จิ่งโม่เยี่ยกวักมือต่ำๆ บอกใบ้ให้นางย่อตัวลง

นางไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงยอมย่อตัวลงแต่โดยดี “ท่านอ๋อง ท่านมาหาข้าดึกดื่นเช่นนี้ เพราะคิดถึงข้าใช่หรือไม่?”

จิ่งโม่เยี่ยหนังตากระตุก เหลือบมองนางแล้วกล่าว “คิดถึงเจ้า? เจ้าคู่ควรหรือ?”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

ต่อให้นางจะตอบสนองไวสักแค่ไหน ก็คงตอบโต้คำพูดของเขาไม่ได้อยู่ดี

จิ่งโม่เยี่ยกลับเป็นฝ่ายที่หมดความอดทน มือหนาของเขากดลงบนไหล่ของนาง

นางเผลอแปปเดียว ก็ถูกเขาผลักจนล้มก้นกระแทกพื้นข้างเตียง เพราะล้มแรงเกินไป อวัยวะภายในของนางก็เลยสั่นสะเทือนไปหมด

นางแหงนหน้ามองสบตาจิ่งโม่เยี่ย มองเข้าไปนัยน์ตาเย็นชา ล้ำลึกและมีจิตสังหารสาดประกายของเขา

เพราะบรรยากาศที่แผ่จากตัวเขาแกร่งกล้ามาก อีกทั้งการกระทำของเขายังก้าวร้าวอีกด้วย ร่างกายของนางจึงสั่นระริกเบาๆ

เขายื่นมือมาเชยคางของนาง จิตสังหารอันโหดเหี้ยมพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขา มือหนาค่อยๆ เลื่อนลงไปที่คอของนางแทน

ฝ่ามือของเขาใหญ่มาก นิ้วทั้งห้าเรียวยาว คอของนางบอบบางขาวผ่องดุจหิมะ เขาออกแรงเพียงนิดเดียวก็หักคอของนางได้อย่างง่ายดายแล้ว

ช่วงเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเหมือนโดนสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจ้องมอง หลั่งเหงื่อเย็นจนเปียกชุ่มแผ่นหลัง

นางยกมือจับแขนของเขาไว้ “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไป?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของนาง นางสังเกตเห็นประกายสีแดงพาดผ่านแววตาของเขาและเลือนหายไป

นางแอบตกใจเล็กน้อย ก่อนจะวาดยันต์สงบจิตกลางอากาศแล้วกดลงบนฝ่ามือของเขา

จิ่งโม่เยี่ยพลันรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนเองแจ่มใสขึ้นมาก อารมณ์ฉุนเฉียวในใจเบาบางลงอย่างรวดเร็ว

เขาเอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนสำนักลี้ลับ?”

เฟิ่งชูอิ่งเป็นคนลัทธิเต๋า ลัทธิเต๋ากับสำนักลี้ลับค่อนข้างมีความใกล้เคียงกัน แต่ร่างเดิมไม่ใช่คนสำนักดังกล่าว

นางจึงส่ายหน้า “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คนสำนักลี้ลับ”

จิ่งโม่เยี่ยขยับเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่ใช่? ถ้างั้นเจ้าก็เป็นแค่ขยะ ขยะไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อ”

เขาออกแรงบีบมือที่กุมคอของนางอยู่ ทำเอานางรู้สึกขาดอากาศหายใจทันที

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ นางก็รู้แล้วว่าเขาบ้าแค่ไหน แต่นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะบ้าได้ขนาดนี้!

นางถูกบีบคออยู่จึงไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้ ต้องพยายามวาดยันต์อย่างสุดชีวิต

เมื่อวานยันต์เสร็จสมบูรณ์ จิ่งโม่เยี่ยก็รู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง มือที่บีบคอของนางจึงคลายออก ก่อนที่ตัวของเขาจะร่วงลงมาจากเตียง

เนื่องจากตอนที่เขาร่วงลงมา มือข้างที่บีบคอนางอยู่จึงตกลงมาด้านล่าง จนวางแหมะอยู่บนหน้าอกของนางพอดิบพอดี

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

จิ่งโม่เยี่ย “......”

ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นสิ่งที่พวกไม่ได้คาดคิดไว้ จึงชะงักไปทั้งคู่

เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกแสบคออย่างมากจึงไอออกมาอย่างรุนแรง

จิ่งโม่เยี่ยนอนนิ่งๆ และถามนางว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรกับข้า?”

เขาทดลองขยับมือของตัวเองดู พบว่าสัมผัสที่ฝ่ามือของตนเองนั้นนุ่มหยุ่นแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงแอบสงสัยใคร่รู้อยู่เล็กน้อย

เฟิ่งชูอิ่งเจ็บคอหนักมาก จึงไม่มีเวลาไปสนใจเขา เขาจึงออกแรงบีบซ้ำอีกสองที

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

พอได้ลวนลามแล้วเกิดติดใจขึ้นมางั้นหรือ?

เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!

นางคิดจะผลักตัวเขาออก แต่กลับไม่มีแรงมากพอ จึงผลักเขาออกไปไม่พ้นตัว

นางโกรธจัดจวนจะระเบิด รู้สึกว่านางจะไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้เด็ดขาด จึงเลิกพยายามผลักตัวเขา โฉบหน้าเข้าไปใกล้แล้วกัดปากอีกฝ่ายแรงๆ

จิ่งโม่เยี่ยตัวแข็งทื่อ มือไม้ที่อยู่ไม่สุขก็หยุดนิ่งทันที

ดวงตาสองคู่สบประสาน คู่หนึ่งเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ อีกคู่ฉายแววอันตราย

จิ่งโม่เยี่ยผลักนางลงพื้น “เจ้าบังอาจนักนะ!”

หลังจากเฟิ่งชูอิ่งสบตากับเขา นางก็ได้สติกลับคืนมา

นางนึกขึ้นได้ว่าตรงหน้านางคือตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ในนิยาย แม้แต่พระเอกของเรื่องยังถูกเขาเล่นงานจนเกือบตาย ไม่ใช่คนที่นางจะล่วงเกินได้

นางงุดหน้าลงเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าหลงรักท่านอ๋องมาเนิ่นนาน เมื่อครู่นี้จึงอดใจไม่ไหว ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยเพคะ!”

จิ่งโม่เยี่ยพลิกตัวลงนั่งบนพื้น เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าเชื่อคำพูดไร้สาระนั่นไหม?”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

นางรู้สึกจากขั้วหัวใจเลยว่าผู้ชายคนนี้รับมือยากเกินไปแล้ว เขาเหมือนกับคนที่ป่วยจิต เดาไม่ออกสักนิดว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

นางกัดฟันกล่าว “เมื่อครู่นี้เป็นคำพูดจากใจจริงของข้าเพคะ”

“แม้คำพูดเหล่านี้จะฟังดูใจกล้าหน้าด้าน ไม่ถูกขนบธรรมเนียม แต่ข้าเป็นว่าที่ภรรยาของท่านอ๋อง จะใจกล้าสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง”

จิ่งโม่เยี่ยใช้สายตาจับผิดมองนาง เอ่ยเสียงเฉยชา “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าใช่คนสำนักลี้ลับหรือไม่?”

เฟิ่งชูอิ่งกลัวว่าหากนางปฏิเสธ เขาจะเข้ามาบีบคอนางอีกรอบ เพราะหากรอบนี้เขาทำซ้ำ นางต้องตายคามือของเขาแน่นอน

นางจึงกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนสำนักลี้ลับ แต่ข้าสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ จึงเคยศึกษาอยู่บ้าง”

จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงเย็นชา “เป็นสตรีที่พูดโกหกได้หน้าตายจริงๆ”

เขากล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปที่เตียงของนางแล้วล้มตัวนอน ก่อนจะใช้มือตบเตียงเบาๆ

นางถามอย่างระแวง “ทำอะไรน่ะเพคะ?”

จิ่งโม่เยี่ยคลี่ยิ้มบางๆ “เจ้าหลงรักข้ามิใช่หรือ? ข้าก็เลยให้โอกาสเจ้าได้ใกล้ชิดข้าอย่างไรล่ะ”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

ขอบใจ แต่โอกาสแบบนี้นางไม่อยากได้สักนิด

นางถามเขา “ขอบังอาจถามท่านอ๋อง ท่านเปลี่ยนจากคนที่อยากบีบคอให้ตาย เป็นคนที่อยากใกล้ชิดสนิทสนมได้อย่างไร โดยที่ไม่ตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อยเพคะ?”

จิ่งโม่เยี่ยตอบกลับ “แล้วแต่อารมณ์”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

แม้นางจะไม่ได้คาดหวังคำตอบจากปากของเขาแต่แรก แต่วิธีการพูดจาของเขามันทำให้นางอยากบีบคอเขาเหลือเกิน

ผู้ชายคนนี้พูดจาหาเรื่องโดนต่อยเก่งจริงๆ!

จิ่งโม่เยี่ยมองนางแล้วกล่าว “ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ยอมมาตรงนี้ ข้าจะ...”

เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค เฟิ่งชูอิ่งก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วดึงผ้านวมห่มคลุมร่างของพวกเขา

จิ่งโม่เยี่ย “...เจ้าจะทำอะไร?”

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถาม “ท่านอ๋อง คราวนี้ท่านพอใจแล้วหรือยัง?”

จิ่งโม่เยี่ยหรี่ตาเล็กน้อยแล้วตอบ “พอใช้ได้”

เฟิ่งชูอิ่งพลิกขึ้นคร่อมร่างเขา “พอใช้ได้แปลว่าไม่เลว ถ้างั้นตอนนี้พวกเราก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันได้แล้วสินะ?”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 997

    เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 996

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 995

    สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 994

    แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 993

    ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 992

    หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status