Share

บทที่ 11

Author: ดอกถังร่วงหล่น
จิ่งโม่เยี่ย “......”

จิ่งโม่เยี่ย “!!!!”

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าทำจริง!

นางไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยสักนิด

เขายกมือขึ้น ใช้สันมือสับหลังคอนางดังพลั่ก

ก่อนนางจะหมดสติได้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง

นางสบถด่าหยาบคายในใจชุดใหญ่ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะดับวูบ สลบไสลของจริงแบบไม่ได้เสแสร้ง ล้มฟุบพิงแผงอกของจิ่งโม่เยี่ย

คิ้วของเขาขมวดชนกันเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร

เขาผลักร่างของนางออกจากตัวด้วยท่าทางแอบรังเกียจ ทว่ายามที่มือสัมผัสโดนตัวนาง กลับรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

จิ่งโม่เยี่ยก้มมองนางแวบหนึ่ง คิ้วตาของเด็กสาวภายใต้แสงเทียนสลัวให้ความรู้สึกอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนกับท่าทางดื้อรั้นแสนซนเมื่อครู่นี้เลย

เขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ ก่อนจะผลักนางออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจ

เขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป กลับพบว่าความบ้าคลั่งที่อาละวาดอยู่ภายในศีรษะของเขามาเนิ่นนานเบาบางลงไปมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

เขายกมือกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่หลับสนิท แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง

เขานั่งอยู่อย่างนั้นราวๆ ครึ่งเค่อ[footnoteRef:1] อาการคุ้มคลั่งนอกจากจะไม่กำเริบขึ้นมาแล้ว เขายังรู้สึกอยากนอนอยู่หลายส่วนด้วย [1: 刻 1เค่อเท่ากับประมาณ15นาที]

ความรู้สึกแบบนั้นทำเขาประหลาดใจมาก ตั้งแต่ถูกคนวางแผนร้ายใส่เป็นต้นมา ไม่ว่าเขาจะง่วงมากสักแค่ไหน ก็ไม่เคยนอนหลับได้เลยสักครั้ง

ถึงจะหลับได้ แต่เพียงครึ่งเค่อเขาก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่ร่างกายของเขามีความรู้สึกง่วงงุนจนอยากจะนอนหลับ

เขาใช้มือพลิกตัวของเฟิ่งชูอิ่งจนกลิ้งไปอยู่ริมขอบเตียงอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ นาง

เพียงแค่เขาล้มตัวลงนานได้ไม่ทันไร ก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เฟิ่งชูอิ่งที่โดนเขาตีจนสลบ หลับไปเพียงไม่นานก็ตื่นขึ้นมา

เมื่อนางลืมตาก็มองเห็นเสี้ยวหน้าที่หล่อเหลาอย่างใกล้ชิด เล่นเอานางตกใจจนสะดุ้งเฮือก

นางคิดจะลุกนั่งโดยสัญชาตญาณ ทว่านางยังไม่ทันจะได้ยกตัวขึ้นมา ก็ถูกแขนยาวของจิ่งโม่เยี่ยตวัดคร่อม แล้วดึงตัวนางเข้าไปกอดแนบอก

เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!”

นางไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาเลยสักนิด จึงเอ่ยเรียกเบาๆ “ท่านอ๋อง...”

“หุบปาก” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดุร้าย “หากยังพูดมากข้าจะบีบคอเจ้า”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

นางเพิ่งเคยพบเจอคนที่อาศัยนอนเตียงของผู้อื่น แล้วยังกล้าดุเจ้าของเตียงเช่นนี้อีก

นางไม่คุ้นชินการนอนร่วมกันคนอื่น จึงคิดจะขยับตัวเปลี่ยนท่า ทว่านางขยับแค่นิดเดียวก็ถูกเขาพลิกกลับไปแล้ว

เสียงของจิ่งโม่เยี่ยลอยมาอีกครั้ง “หลับซะ!”

เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าเขาน่าจะป่วย แถมยังป่วยหนักมากเสียด้วย!

ไม่รู้ว่าเทียนในห้องถูกดับไปตั้งแต่ตอนไหน ยามนี้จึงมีเพียงแสงจันทร์นวลอ่อนที่ส่องทะลุหน้าต่างเข้ามา

แสงจันทร์เบาบางมาก นางจึงมองเป็นเพียงเค้าโครงใบหน้าของเขา

ท่าทางตอนเขานอนหลับตาดูอ่อนโยนเหมือนสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ไม่เหลือคราบของบุรุษที่สั่งให้คนเฉือนร่างเฉินเยี่ยนเซิงเป็นชิ้นๆ ในยามกลางวันเลย

คนผู้นี้ยามลืมตาจะเป็นมารร้าย ยามหลับตาจะเป็นพระพุทธองค์สินะ

นางไม่ชินเวลามีคนนอนกอด จึงดิ้นยุกยิกไปมาเพราะอยากเปลี่ยนท่า ทว่าครู่ต่อมา นางก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยสับหลังคอจนสลบไปอีกครั้ง

ก่อนนางจะหมดสติไป ได้เอ่ยทักทายบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเขาในใจ

นางสลบไปไม่นานนักก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้นางทำตัวฉลาดเฉลียว ไม่ดิ้นรนขัดขืนแม้แต่น้อย เพียงหลับตาอยู่ภายในอ้อมกอดของเขานิ่งๆ

แม้นางจะไม่ชินกับการนอนกอดคนอื่น แต่หากนางต้องเลือกระหว่างนอนกอดเขากับถูกเขาตีสลบ นางเลือกอย่างแรกแน่นอนอยู่แล้ว

นางกลัวว่าหากถูกเขาตีอีกสักสองสามครั้ง คอของนางจะหักคามือของเขาน่ะสิ

อีกอย่าง ถึงจิ่งโม่เยี่ยจะเป็นจอมวายร้ายในนิยาย แต่เขาก็หน้าตาดีจะตายไป!

นอนกับเขา นางไม่ขาดทุนหรอก!

นางตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามา จิ่งโม่เยี่ยก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว เชือกป่านที่นางผูกเป็นบ่วงไว้เมื่อคืนก็หายไปแล้วเหมือนกัน

นางขยับตัวนิดเดียวก็แทบจะร้องโอดโอย

เพราะเมื่อคืนท่านอนของนางมันผิดแปลกจากปกติ ตอนที่ตื่นขึ้นมาถึงได้ปวดเอวเมื่อยหลังไปหมด

เฟิ่งชูอิ่งแอบด่าต้นตระกูลจิ่งโม่เยี่ยแบบสาดเสียเทเสียในใจ หงายหลังลงไปนอนเหมือนเดิมอย่างยอมรับชะตากรรม บิดข้อมือขยับข้อเท้าสักพัก แล้วค่อยลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

ขณะที่เฟิ่งชูอิ่งตื่นมาด้วยความหดหู่ห่อเหี่ยว จิ่งโม่เยี่ยกลับตรงกันข้าม

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้หลับสบายแบบนี้ หลังจากตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกว่าจิตใจแจ่มใสเป็นอย่างมาก

เขาไม่ได้กลับจวนอ๋องและมุ่งหน้าไปที่อาราม เจ้าอาวาสเห็นเขาเดินเข้ามาก็ยิ้มทักจนตาหยี “ท่านอ๋องวันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษนะ”

จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเรียบ “เมื่อคืนข้านอนหลับไปสามชั่วยาม[footnoteRef:2]” [2: การนับเวลาแบบจีน 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง]

สามชั่วยามสำหรับคนทั่วไปถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่สำหรับเขามันกลับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างมาก

เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะนานหลับได้ยันฟ้าสาง

เจ้าอาวาสเอ่ยด้วยความยินดีปรีดา “ท่านอ๋องหลับได้อย่างไรกัน?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามนั้น เขายื่นเชือกป่านที่เอามาจากห้องของเฟิ่งชูอิ่งให้เจ้าอาวาส “เจ้าลองดูสิ การถักเชือกแบบนี้ใช่ฝีมือของสำนักลี้ลับไหม?”

เจ้าอาวาสรับเชือกมาตรวจดูอย่างละเอียด “ดูแล้วก็คล้ายกับวิธีการมัดของสำนักลี้ลับอยู่เหมือนกัน แต่ข้าไม่อาจยืนยันแน่ชัดได้”

“เพราะว่าก่อนที่สำนักลี้ลับจะถูกล้มล้าง พวกเขาก็ทำตัวลี้ลับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข้าวของที่เล็ดรอดออกมาด้านนอกก็มีน้อยมาก”

“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย...”

ตอนที่เขาแตะโดนตำแหน่งสำคัญของเชือก เชือกที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรก็ดีดฟาดหน้าของเขาอย่างรุนแรง จนข้างแก้มของเขาเป็นรอยแดงเถือก

เขาทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ข้ามั่นใจแล้ว เจ้าของสิ่งนี้จะต้องเป็นของสำนักลี้ลับแน่นอน!”

“มีแค่พวกสำนักลี้ลับที่ไร้คุณธรรมพวกนั้นแหละ ที่จะสร้างของขาดคุณธรรมเช่นนี้ออกมาได้!”

จิ่งโม่เยี่ยมองเจ้าอาวาสที่เดือดดาลจนกระทืบเท้าเร่าๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย

เจ้าอาวาสเอ่ยถาม “เจ้าได้ของชิ้นนี้มาจากไหนหรือ?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของเขาเหมือนเดิม เพียงเอ่ยว่า “เรื่องนี้น่าสนใจมิเบาเลย”

เจ้าอาวาสงุนงง “เรื่องอะไรน่าสนใจหรือ?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบแต่ถามกลับ “หากข้ายังนอนหลับสนิทแบบนี้ไปเรื่อยๆ คำสาปจะส่งผลต่อข้าลดลงบ้างหรือไม่?”

เจ้าอาวาสพยักหน้า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยหลังจากท่านได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มที่ ก็จะรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลายมากขึ้น

“พอร่างกายผ่อนคลาย ไม่หงุดหงิดอารมณ์ร้าย สมองก็จะปลอดโปร่งขึ้นด้วย

“ต่อให้โชคชะตาของท่านจะถูกสูบออกไปจนหมด ด้วยสมองของท่านก็น่าจะพอดึงกลับมาได้บ้าง โอกาสที่ตายโหงก็ลดน้อยลงมาก”

จิ่งโม่เยี่ยเอียงตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป

เจ้าอาวาสเอ่ยถาม “เมื่อคืนเจ้านอนหลับได้อย่างไรกันแน่?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขา ก้าวขาเดินตรงไปด้านหน้า เจ้าอาวาสคิดว่าเขาคงไม่ยอมตอบคำถามของตนแล้ว กลับได้ยินเสียงของเขาลอยมาสองคำ “เดาสิ”

เจ้าอาวาสได้ยินเช่นนั้นก็เท้ากระตุกแทบอยากจะลุกกระโดดถีบอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะยกเท้าพ้นจากพื้นก็สูดหายใจลึกๆ กล่าวกับตัวเองว่า “ข้าเป็นภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าต้องรักษากิริยาอันสูงส่งเอาไว้ ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยติดใจเอาความ”

เขาท่องประโยคเดิมวนไปวนมาอยู่เป็นสิบครั้ง ถึงสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย

เขานับลูกประคำในมือแล้วท่องต่ออีกหลายรอบ จิตใจถึงกลับมาสงบได้ดั่งเดิม

พระภิกษุที่เดินผ่านเขาไป เห็นว่าเขานับลูกประคำขณะที่ปากก็พึมพำอะไรสักอย่าง จึงพากันคิดไปว่าเขากำลังท่องบทสวด

ทำให้พวกเขารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาเจ้าอาวาสอย่างมาก เจ้าอาวาสก็คือเจ้าอาวาส แม้แต่ตอนเดินก็ยังท่องบทสวดมนต์ ช่างเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้อย่างลึกซึ้ง

พวกเขาจึงเลียนแบบการกระทำของเจ้าอาวาสบ้าง โดยการเดินไปด้วยท่องบทสวดไปด้วย

หลังจากเจ้าอาวาสสงบจิตสงบใจได้แล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่จิ่งโม่เยี่ยมาหาเขาวันนี้ดูมีพิรุธอย่างมาก...
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (1)
goodnovel comment avatar
Manasanan
แปลได้ดีมาก
Tignan lahat ng Komento

Pinakabagong kabanata

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 997

    เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 996

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 995

    สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 994

    แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 993

    ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 992

    หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status