และแล้ววันนี้ก็มาถึงวันที่ฉันต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ตีสี่ ดีที่เมื่อคืนฉันมาส์กหน้าทิ้งไว้และเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้วันนี้ผิวหน้าฉันฉ่ำฟูดูสุขภาพดีไม่ต้องแต่งอะไรมากเน้นแค่ดวงตาให้กลมโตดูคมมากขึ้นและเพิ่มขนตานิดหน่อยให้พอเป็นแพงอนยาว ลงแก้มอีกนิดเติมหางคิ้วนิดหน่อย และทาปากอวบอิ่มให้ชุ่มฉ่ำ เกล้าผมดัดรอนเป็นหางม้าประดับด้วยเครื่องประดับที่เข้ากับชุดไทยบรมพิมานที่จะใส่ในวันนี้ ซึ่งเสร็จทันเวลาใส่บาตรเช้าพอดี
ฉันค่อยๆ เดินลงบันไดมาจากชั้นสองของบ้าน เพื่อมาหาคุณพ่อคุณแม่ที่นั่งรออยู่พร้อมญาติญาติที่กำลังทยอยมา รวมถึงคุณลุงคุณป้าและเขาก็นั่งรออยู่พร้อมหน้า ทันทีที่เขาเห็นฉันกำลังก้าวลงบันไดทีละขั้นด้วยความระมัดระวังเพราะรองเท้าส้นสูงแหลมและผ้าถุงยาวแคบที่ไม่ค่อยถนัด เขาก็ลุกจากโซฟาเดินมารอรับฉันตรงบันไดขั้นสุดท้าย พร้อมยื่นมือมาให้ฉันจับพยุงตัวไม่ให้ก้าวพลาด ฉันที่กำลังเดินยิ้มลงมาสวยๆ เกือบจะต้องหุบยิ้มเพราะปากของเขา แต่ก็ต้องกัดฟันยิ้มเอาไว้เพื่อไม่ให้คุณพ่อคุณแม่สงสัยและดูมีพิรุธ "แต่งตั้งนาน ได้แค่นี้" "วันหลังฉันแต่งให้ก็ได้" "ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร แนะนำให้เงียบ" "..." อันที่จริงทันทีที่ผมเห็นยัยลูกหมูกำลังลงมาจากบันได้ เป็นภาพที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมจะได้เห็นเธอแต่งหน้าทำผมและอยู่ในชุดสวยสง่าแบบนี้ ทำผมเกือบหยุดหายใจไปเลย ก่อนจะได้สติเพราะแม่สะกิดที่แขนผมส่งสัญญาณให้ผมไปยืนรอรับ ผมถึงลุกขึ้นไปหาเธอ และพอถึงเวลาจริงๆ เมื่อเธอเอื้อมมือมาจับที่มือของผม มันเหมือนสวิตซ์ให้ปากของผมทำงานพูดอะไรแบบนั้นออกไปให้เธอได้ว่าผมกลับราวกับว่ามันคือความสุขของผมไปแล้ว สุดท้ายผมเลือกที่จะยักคิ้วเข้มใส่เธอข้างหนึ่งและอมยิ้มเบาเบาเก็บอาการแอบเขินของผม แล้วจับมือเธอมาคล้องเข้าที่แขนแกร่งของผมพาเธอเดินไปใส่บาตรหน้าบ้านของเธอ ซึ่งตลอดการใส่บาตรเธอดูพยายามวางมือเธอไว้บนมือผมทุกครั้งและไม่ยอมให้ผมขยับเปลี่ยนจนหลวงพ่อและญาติผู้ใหญ่พากันอมยิ้มจนผมอดสงสัยไม่ได้ ได้แต่เก็บงำความสงสัยนั้นไว้ค่อยไปแอบถามพ่อกับแม่ผมแล้วกัน "นาย สวมแหวนให้หนูมายสิลูก" "ครับ" ผมเอื้อมมือหนาของผมไปจับมือนิ่มนิ่มของเธอเอาไว้ แล้วค่อยๆ สวมแหวนที่เราสองคนเลือกเข้าที่นิ้วนางเรียวเล็กของเธอ ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปหยิบแหวนอีกวงมาใส่ที่นิ้วนางของผมเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าตอนนี้เราสองคนไม่ใช่ว่าที่คู่หมั้นแต่เป็นคู่หมั้นกันแล้วจริงๆ แต่สิ่งที่ผมภูมิใจสุดสุดและแอบหยิบสมาร์ทโฟนข้างๆ มาเก็บภาพเอาไว้ คือตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอกระซิบบอกให้เธอยกมือไหว้ผม ทำเธอถึงกับอึ้งเก็บอาการขั้นสุดและยอมทำตามที่พวกท่านบอกเพื่อไม่ให้อายขายหน้าญาติที่มาร่วมงาน มันเป็นภาพที่ผมคิดว่าคงหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตผมกับยัยลูกหมูคนนี้... "นาย ลุกไปนอนโซฟาเดี๋ยวนี้เลย" "ไม่ ปวดหลัง" "จิ๊ แล้วทำไมต้องมาแย่งที่นอนฉันด้วยเล่า" "ที่นอนตั้งกว้าง แบ่งกันสิ" พรึ่บ! "ทำอะไรของเธอ ลูกหมู" "กั้นเขต ตรงนี้ฝั่งของฉัน นายห้ามข้ามมาแม้แต่นิดเดียว" "ถามจริง เธอคิดว่าตุ๊กตานี่จะขวางฉันได้" "ถ้านายข้ามมาฉันถีบตกเตียงแน่" "อยากลองจัง หึ" ผมเก็บเสื้อผ้าหอบตามเธอกลับมานอนที่ห้องของเธอในฐานะคู่หมั้น ระหว่างที่ผมกับเธอกำลังต่างพักผ่อนให้หายเหนื่อยอยู่ อยู่อยู่เหมือนยัยลูกหมูจะพึ่งรู้สึกตัวว่าต้องไล่ผมที่นอนเล่นเกมส์บนเตียงสีชมพูของเธออย่างสบายใจ จึงกระโดดลงจากเตียงแล้วโวยวายใส่ผมยกใหญ่จนเธอเหนื่อยกับความดื้อดึงของผมเลยไปอุ้มตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟามาวางตรงกลางเตียงราวกับเป็นกำแพงไม่ให้ผมข้ามแดนไปได้ เล่นเหมือนเด็ก หึ ก่อนจะสงบศึกแยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดสบายสบายผมที่จัดการตัวเองเสร็จก่อนก็ทำหน้าที่สั่งอาหารเย็นสำหรับเราสองคนมาไว้ โดยเลือกสั่งเป็นเมนูง่ายๆ เป็นชุดคัตสึด้งกุ้งราดไข่ของเธอ คัตสึด้งสันในราดไข่ของผม พร้อมกับเครื่องเคียงอย่างกิมจิและซุปมิโซะ มีของกินเล่นเป็นไก่ทอดคาราเกะ และชาเขียวเย็น ส่วนของหวานผมไม่ได้สั่งเพราะแอบไปเปิดตู้เย็นดูแล้วยังมีผลไม้และไอศครีมให้เธอเลือกอยู่ หลังจากผมกับคุณคู่หมั้นจัดการอาหารตรงหน้าจดหมดเกลี้ยง เธอก็อาสาเก็บทุกอย่างไปทิ้งถังขยะอย่างใจดีและหยิบผลไม้มาเผื่อผมส่วนเธอมีไอศครีมโคนวนิลาถืออยู่ในมือ นั่งดูทีวีกันอย่างเงียบๆ เงียบจนผมแปลกใจผิดวิสัยของเธอเลยหันหน้าไปดูก็เห็นยัยลูกหมูนั่งคอพับหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หนังท้องอิ่มหนังตาหย่อนสินะ ยัยอ้วนเอ้ย หึ จึงต้องลำบากผมอุ้มตัวกลมกลมเดินเข้าไปนอนในห้องค่อยๆ วางบนเตียง ทั้งที่ใจอยากจะลองโยนลงไปดูเพราะอยากรู้ว่าจะกลิ้งได้หรือเปล่า แต่กลัวโดนกินหัวเนี่ยแหละ ผมที่กำลังฝันหวานต้องสะดุ้งเฮือกเพราะรู้สึกขยับตัวไม่ได้หายใจไม่ค่อยออกอาการเหมือนโดนผีอำที่ผมเคยฟังเรื่องเล่ารายการผีในยูทูป พอค่อยๆ ลืมตามองดู ก็เห็นขาขาวซีดพลาดอยู่ตรงหน้าท้องแกร่ง เลื่อนขึ้นมาเป็นแขนขาวขาวกำลังกอดรัดผมเอาไว้ ทำผมแทบกรี๊ด ก่อนจะเลื่อนสายตาทำใจกล้าหันไปมอง ก็เห็นเป็นหน้าเธอ ยัยคู่หมั้นของผม ปึก! ตุบ! "นี่นาย...ข้ามเขตมาได้ยังไง" "อ้วน เธอดู นี่เขตใคร"ฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้สีขาวสวยมากและกว้างมากด้วยมีหิ่งห้อยบินเต็มไปหมดจนรู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่ไม่อยากไปไหน จนได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยเรียกชื่อฉันอยู่ไกลๆ พร้อมกับเสียงร้องโยเยจากเด็กน้อยเหมือนร้องเรียกหา ฉันเลยค่อยๆ เดินไปตามเสียงทีละนิดทีละนิดฉันนอนมองใบหน้าที่ดูอิดโรยคิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นมีมือหนาของเขาจับมือบางของฉันไปแนบแก้มสากไว้ราวกับกลัวหายจนผ่านไปนานหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมา ฉันเลยใช้นิ้วเรียวเล็กที่อยู่ตรงแก้มนั้นลูบสัมผัสปลุกเขาเบาเบาแต่กลับไม่ได้ผล เลยต้องเปลี่ยนเป็นหยิกลงไปแทนทำเขาสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นมามองหน้าฉันด้วยแววตาเป็นประกายฟอด ฟอด ฟอด"ตื่นแล้วหรอ อ้วน""นายกับลูกลูกรอตั้งนาน""เจ็บมั้ย""เจ็บ""ขอโทษคับ จุ๊บ" "ลูกละ" "เดี๋ยวพยาบาลพามา""รอแป๊บนะนายไปตามหมอก่อน"เขาโผเข้ากอดและหอมฉันอยู่นานราวกับว่าคิดถึงฉันมาก ฉันก็รู้สึกคิดถึงเขามากเหมือนกันเลยปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นทั้งๆ ที่ก็แอบเจ็บแผลอยู่หน่อยๆ จนกระทั่งคุณหมอมาตรวจอาการฉันอย่างละเอียดและบอกให้ฉันกับลูกลูกนอนพักที่นี่อีกสี่ห้าวันให้แข็งแรงขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยก
"สวัสดีคับลูกหมู""ได้ยินเสียงปะป๊ามั้ย""หึ" "อยากออกมาเตะบอลกับป๊าใช่มั้ย""ปะป๊าอย่าพึ่งชวนลูกเตะบอลได้มั้ย""ลูกพากันเตะท้องมามี๊จนจุกไปหมดแล้วเนี่ย""จุ๊บ ขอโทษคับ"ตอนนี้เจ้าลูกชายของผมสองคนที่นอนอยู่ในพุงกลมกลมของเธออายุเกือบหกเดือนแล้ว ท่าทางจะแสบซนกันใช่ย่อย เพราะกว่าที่ผมจะสามารถเข้าใกล้เธอได้ก็ต้องรอเข้าเดือนที่สี่อาการเหม็นผมของเธอถึงจะเบาลงไป ผมถึงสามารถเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกันนอนบนเตียงเดียวกันกับเธอได้ แถมยังพากันดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาทำเอามามี๊ตัวกลมเจ็บและจุกอยู่บ่อยๆ จนบางทีผมก็ต้องแกล้งเอ็ดดุไปนิดหน่อยถึงพากันหยุดนอนนิ่งราวกับเป็นเด็กดีเชื่อฟังปะป๊าไม่กล้าดื้อไม่กล้าซน แต่บางทีด้วยความใจร้อนของผมก็อยากให้ลูกหมูออกมาวิ่งเล่นเตะฟุตบอลกับผมซะวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย ชานมลูกสาวคนโตก็จะได้ไม่เหงามีเพื่อนเล่นเพิ่มด้วย"นาย ตั้งชื่อลูกกันมั้ย""อืมมม มายมีที่ชอบยัง""มายเลือกไม่ถูกชอบหลายชื่อมาก""หึ มีชื่ออะไรมั่ง""มี เลนส์ ฟิล์ม กล้อง แกรม โฟกัส""เพราะมายชอบถ่ายรูป มีนายเป็นตากล้องให้""งั้น...ชื่อนี้ดีมั้ย เลนส์กับฟิล์ม""นายมองมายผ่านเลนส์ ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพฟิล์ม"
และแล้ววันที่ฉันรอคอยก็มาถึง วันแต่งงานของฉันกับเขา ฉันเฝ้าคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดยืนเคียงข้างเขาได้อย่างมั่นใจที่สุดในวันนี้ เราใช้เวลาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ และแขกที่มาร่วมงานนานเกือบสองชั่วโมง ดีที่เจ้าบ่าวของฉันคอยยืนกอดคอฉันบ้าง นวดให้บ้าง โอบเอวประคองฉันไว้บ้างทำให้ฉันไม่เมื่อยเท่าไหร่ แถมยังมีเพื่อนน่ารักๆ อย่างสองสาวมินนี่และลลิล ที่คอยมาซับเหงื่อช่วยดูแลหน้าผมและป้อนน้ำให้ฉันอยู่ตลอด ฉันมีหน้าที่แค่ยืนแจกรอยยิ้มหวานหวานเท่านั้นหลังจากพิธีการเสร็จ เราสองคนก็ต้องรีบขึ้นมาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้บนห้องที่เปิดไว้ให้ทันภายในยี่สิบนาที เพราะต้องลงไปสนุกกับเพื่อนๆ ต่อที่งาน อยากขอบคุณตัวฉันเองและเขาด้วยที่เลือกชุดที่ใส่ง่ายใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีฉันก็อยู่ในชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว มีเวลาได้นั่งพักหายใจอีกสักหน่อย แต่แล้วดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด"นาย รูดซิปให้มายหน่อยสิ""เดี๋ยวค่อยรูด""อ๊ะ อย่าแกล้งนะ""ไม่แกล้ง เอาจริง""กระโปรงสั้นสั้นมันดีแบบนี้นี่เอง""นายใส่เลยนะ เวลาน้อย""อ๊ะ อื้อ""ซี้ด" "เดี๋ยวได้ทาลิปใหม่หรอก"เพี๊ยะจากที่ผมตั้งใจจะอ
และเราสองคนก็ได้ฤกษ์วันแต่งงานหลังจากฝึกงานเสร็จหนึ่งเดือนทำให้เธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลกลัวจะเตรียมงานไม่ทัน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ปลอบใจและหาออแกไนซ์มืออาชีพมาช่วยให้เธอเบาใจขึ้นให้เธอมีหน้าที่บอกธีมงานในฝันของเธอกับทีมงานแค่นั้น โดยไม่ได้กำหนดธีมสีว่าจะต้องเป็นสีไหน เพื่อเพื่อนๆ และแขกที่มาร่วมงานจะได้ใส่ชุดและสีที่ตัวเองมั่นใจที่สุดจะได้มีความสุขและสนุกไปกับงานของเราทั้งคู่ แล้ววันนี้เราสองคนมีนัดลองชุดแต่งงานซึ่งก็เป็นร้านเดียวกันกับชุดวันหมั้นนั่นแหละเพราะเธอชอบการตัดเย็บและดีเทลของแบรนด์นี้เลยไม่เปลี่ยนใจไปมองร้านอื่น"นายว่ามายใส่แบบไหนดี""ไม่เอาเกาะอก""เอาสิ มายว่ามายใส่เกาะอกสวย""ไม่สวย""...""แต่มายอยากลอง""...""พี่ขา หนูมายขอลองสองชุดนี้ก่อนค่ะ"ผมได้แต่นั่งไขว่ห้างกอดอกตกอยู่ในพะวังความคิดเฝ้าถามตัวเองด้วยความสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เธอจะหันมาถามความเห็นของผมทำไมเพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เลือกลองชุดแบบที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แถมเป็นแบบเกาะอกไม่มีแขนทั้งสองชุดต่างกันแค่กระโปรงทรงสุ่มกับทรงเมอร์เมดก็เท่านั้น ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพนักงานในร้านก็เดินมาค่อยๆ เ
เราสองคนยืนกอดกันอยู่พักหนึ่ง ผมก็พาเธอเดินเข้าไปดูห้องน้ำที่มีอ่างกุชชี่ขนาดใหญ่ไว้สำหรับแช่น้ำกันสองคนและอาจจะพาลูกหมูตัวน้อยน้อยลงมาเล่นน้ำด้วย ถัดไปอีกหน่อยเป็นวอคอินโครเซทสำหรับเธอที่ชอบแต่งตัวสวยสวยซึ่งผมแบ่งที่แขวนเสื้อผ้าส่วนของเธอไว้ให้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเสื้อผ้าของผม โดยตรงกลางห้องมีตู้กระจกไว้แชร์กันสำหรับใส่เครื่องประดับอย่างสร้อยต่างหูและนาฬิกาข้อมือของเราสองคน ก่อนจะพาไปดูห้องนอนลูกลูกที่ผมทำเตรียมไว้สามห้องสำหรับสามคนเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัวเราสองคนในอนาคต และที่ขาดไม่ได้ก็คือห้องสุดท้ายที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอนใหญ่ของผมกับเธอเป็นห้องของลูกสาวคนโตของเราคือห้องของชานมนั่นเอง ซึ่งภายในห้องก็มีทั้งเบาะที่นอนนุ่มนุ่ม คอนโดหลายระดับหลายชั้นไว้ให้เจ้าตัวเล็กได้เลือกนอนตามใจชอบ รวมถึงห้องน้ำแมวอัตโนมัติด้วย ทำเธอกระโดดกอดผมอย่างดีใจและทำท่าทางตื่นเต้นไม่หยุดเดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ดูว่าขาดเหลืออะไรตรงไหนเธอจะได้ไปเดินเลือกซื้อมาเพิ่ม"มายอยากแก้ตรงไหนมั้ย""ยังมีเวลา จะได้เสร็จทันก่อนย้ายเข้ามา""มายไม่อยากแก้ เพราะนายตั้งใจเลือกและทำให้มาย""ม
"ไอ้เตอร์ ฝึกงานเสร็จมึงจะแต่งเลยป่าววะ""อืม กูอยากมีลูกเลย มึงอะ""กูก็อยากแต่งเลย แต่ไม่รู้มายจะอยากแต่งมั้ย""มีแพลนกับเค้าบ้างมั้ยมึงอะ ไอ้กาย""...""อย่าไปถามมัน ไอ้นี่มันเสือซุ่มเงียบ""..."วันนี้ผมกับเธอขับรถพาชานมลูกสาวของเรามาพบสื่อมวลชนที่คาเฟ่มินิมินนี่ ทันทีที่สองสาวเห็นเจ้าตัวกลมก็พากันเอ็นดูผลัดกันอุ้มผลัดกันเล่นอยู่ไม่ห่าง ไม่นับรวมกับลูกค้าในร้านที่ต่างมาขอถ่ายรูปลูกผมจนต้องต่อแถวคิวยาวไปถึงหน้าร้าน เรียกว่าเวลานี้ชานมกลายเป็นซุปตาร์หน้าใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ลูกสาวของผมน่ารักจริงๆ นี่นาตัวกลมกลมขนนุ่มๆ ตาโตโต แถมขี้อ้อนมากมากด้วยจะว่าไปก็เหมือนมามี๊ของเธอนั่นแหละ ไม่รู้ว่าถ้าเกิดว่ามีลูกหมูตัวเล็กเล็กที่เกิดจากผมเอง จะขี้อ้อนแบบนี้มั้ยถ้าใช่ผมก็คงหลงลูกมากไม่อยากห่างไปไหนแน่เราสองคนอยู่นั่งคุยนั่งเล่นกับเพื่อนๆ จนเย็นก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน และวันนี้เป็นอีกวันที่ผมมาค้างที่บ้านของเธอเป็นปกติไปแล้วเพราะตั้งแต่มีชานมเธอก็จะชวนผมมาที่นี่ทุกอาทิตย์จนคุณอาทั้งสองยกห้องนอนส่วนตัวให้ผมหนึ่งห้องเป็นที่เรียบร้อย และที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผมก็มีห้องนอนส่วนตัวขอ